ช่วงนี้หน้าฝน โดยส่วนตัวชอบเดินทางเที่ยวช่วงนี้อยู่แล้ว เห็นที่เที่ยวในอินเตอร์เน็ต อยากจะไปมันทุกๆที่ แต่ด้วยงบประมาณที่มีน้อยนิด เลยเลือกที่จะไปพักผ่อนใกล้ๆ ตั้งโจทย์ไว้ในใจ 3ที่ คือ สวนผึ้ง แก่งกระจาน และไทรโยค ทำฉลากขึ้นมาจับเล่นๆ เปิดแบบลุ้นๆ ในใจขอให้ได้สวนผึ้ง แต่แล้วมันดันเป็นไทรโยคซะงั้น เอาวะ ในเมื่อมีกติกา เราก็ต้องทำตามกติกา หาข้อมูลกับพี่กู๋ทันที เห็นที่พักเพียบ บางที่ก็ไปมาแล้ว บางที่ก็ยังไม่ได้ไป (แต่ราคาแอบสูงไปหน่อย) เลยหาที่พักที่ราคากลางๆ แต่ขอบรรยากาศแหล่มๆก็พอ ไปสะดุดตาที่รีสอร์ท " River Kwai Jungle Rafts " น่าสนแฮ่ะ เป็นแพบนแม่น้ำแคว อ่านรายละเอียดข้อมูลที่พัก โอ้วววมายกอตจิ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีทีวี ไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ ไม่มีwifi ตายๆ ทำไงดี อยากพักที่นี่ซะด้วยสิ เพราะที่อื่นก็ดันเต็มหมด คิดพิจารณาอยู่10วิ นั่งทำตาปริบๆ เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ (ปลอบใจตัวเอง) booking และเตรียมตัวเดินทางทันที
ก่อนจะไปอ่านรีวิว ขอฝากเพจการเดินทางอันน้อยๆไว้ด้วยนะครับ ^^
http://www.facebook.com/wanderaroundthailand.com
จังหวัดที่บรรยากาศดีๆที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ หลายคนคงจะเลือกกาญจนบุรีเป็นอันดับต้นๆ เพราะไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ขับรถเพียง2ชั่วโมงเศษๆก็ถึงแล้ว แต่ในรีวิวนี้ผมขอไม่พูดถึงการใช้เส้นทางและแผนที่การเดินทางแล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าสถานที่พักของผมอยู่ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 60 กม. ก่อนเดินทางผมได้โทรสอบถามกับทางที่พัก (โทรติดบ้างไม่ติดบ้างเพราะสัญญาณไม่ค่อยมี) ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาคร่าวๆว่า รีสอร์ทไม่สามารถนำรถส่วนตัวไปจอดได้ โดยจะต้องนำรถไปจอดที่ท่าเรือรีโซเทลก่อน แล้วนั่งเรือต่อเข้าไป โดยจะมีเรือจากทางรีสอร์ทมารับ (คิดห่วงรถในใจ ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยรึเปล่า)
ขับรถจากกรุงเทพ ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2ชั่วโมงกว่าๆ (เนื่องจากมีฝนตกตลอดเส้นทาง) ก็มาถึงท่าเรือครับ หาที่จอดได้ตามสบาย แต่วันนี้เป็นวันหยุด ที่จอดเลยมีจำกัด
หลังจากได้ที่จอดรถ ลำดับต่อไปคือ เดินลงไปที่ท่าเรือเพื่อรอเรือของทางรีสอร์ทมารับครับ รอไม่นาน และฝนยังคงตกลงมาเรื่อยๆ ใช้เวลาการเดินทางจากท่าเรือไปยังที่พัก ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ตลอดสองฝั่งบรรยากาศดีมากๆ ยิ่งฝนตกยิ่งทำให้ดูสวยขึ้นไปอีก
เมื่อมาถึงที่พัก เช็คอินเสร็จ อันดับแรกเลยที่ผมทำคือ วิ่งเข้าไปหาห้องทันที ฮ่าๆๆ เป็นความกังวลใจตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว เลยขอให้เห็นกับตาก่อนว่าเราจะสามารถนอนที่นี่ได้ แต่พอเห็นห้องพักก็โล่งใจทันที สะอาดสะอ้าน อยากทิ้งตัวลงทันที มีแค่มุ้ง(มิ้ง)ห้อยโต่งเต่งอยู่เท่านั้น เพราะอย่างที่บอกครับว่าไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ ไม่มีบลาๆ
สำรวจห้องเสร็จ ก็ได้เวลาออกมาชมวิวนอกห้องแล้วครับ ฝนยังคงตกอยู่ บอกเลยว่าได้บรรยากาศมากๆ มองไปทางไหนก็เขียวไปหมด เก็บภาพไปสูดอากาศไป บรรยากาศแบบนี้ผมเลยไม่แปลกว่าทำไมต้องนั่งเรือเข้ามาลึกขนาดนี้ เพราะความสวยงามมันซ่อนอยู่ตรงนี้นี่เอง
เห้ยๆๆ แต่ละห้องเขาจะมีเปลเอาไว้ให้นอนเล่นด้วยนะ นี่สิถึงจะเหมาะกับการมาพักผ่อนจริงๆ
กินบรรยากาศหน้าห้องพักเสร็จ ก็ไปรับ welcome Drink กันสักหน่อย น้ำอะไรผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่ามีมะนาว เปรี้ยวๆดี ฮ่าๆ
อ้อ..ลืมบอกครับว่า พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวมอญ เพราะด้านหลังของรีสอร์ทอยู่ติดกับหมู่บ้านมอญครับ ดังนั้นเมื่อมาที่รีสอร์ท สิ่งหนึ่งที่คุณห้ามพลาดเลยก็คือ การเจิมหน้าตัวเองด้วยทานาคา จะได้ดูกลมกลืนหน่อย ^^ โดยที่ผมได้ส่งหนูทดลองของผมไปแทน
สิ่งต่อไปหลังจากนี้ที่ผมจะต้องมีคือ "ตะเกียงเจ้าพายุ" ไม่ใช่เพียงแค่ผมคนเดียวที่จะต้องมี แต่ทุกๆห้องจะต้องมี เพราะตอนนี้ก็เริ่มใกล้ค่ำแล้ว เลยต้องเตรียมกันไว้ก่อน เพราะถ้ามืด แสงสว่างที่จะช่วยเรามองเห็นมีเพียงแค่ตะเกียงเท่านั้น T-T
หลังจากได้ตะเกียงมาครอบครองแล้ว สิ่งสุดท้ายที่จะต้องรอในค่ำคืนนี้คือ "อาหารเย็น" ฮ่าๆๆ ที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ครับ กินไม่อั้น เติมเข้าได้ตลอด กับข้าวก็ขอเพิ่มได้เรื่อยๆ ปูเสื่อตั้งหน้าตั้งตารอกันทันที เพราะเริ่มจะหิวกันแล้ว
ระหว่างรอข้าวเย็น เดินไปหลังห้องพัก เห้ยย..เจอเปลอีกอัน บอกนางแบบขึ้นไปคร่อม เฮ้ยย นอนทันที แชะ
แถ่นแถ้นแถ๊น...นี่คืออาหารเย็นของเราครับ น่ากินมากกกกกก ชื่ออะไรบ้างผมก็จำไม่ได้ ยิ่งบอกว่าเป็นแบบบุฟเฟ่ ยิ่งชอบเลย กินเต็มที่ ก่อนจะเข้านอน
ระหว่างทานข้าว ก็มีเพียงแสงไฟจากตระเกียงเท่านั้น รีบกินก่อนที่มันจะมืดลงกว่านี้ ลุยย
เมื่อทานเสร็จ เราก็เดินกลับมาพักผ่อนในความมืดสนิด มองหน้ากันแทบไม่เห็น ฮ่าๆ แต่ก็รู้สึกดีไปอีกแบบครับ ไม่ต้องเช็คเฟส ไม่ต้องอ่านไลน์ใคร เหมือนได้มาพักผ่อนจริงๆ ไม่มีwifi สัญญาณมือถือมีบ้างไม่มีบ้าง ทำให้เรามีเวลาอยู่กับสิ่งรอบข้างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ได้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่...ไหงวันนี้อากาศมันร้อนจุง ฝนก็ตกอยู่นร้าาา ก่อนนอนอีกหนึ่งสิ่งที่คุณอย่าลืม คือ "กางมุ่ง" ไม่งั้นอาจจะโดนยุงหามแน่ เพราะที่นี่ยุงค่อยข้างเยอะเหมือนกัน ใครมาก็เตรียมครีมทามาด้วยก็ดีนะครับเช้าแล้ววววว ไวปานโกหก เดินออกไปสูดอากาศยามเช้าข้างนอกสักหน่อย โอววว..อุทานในใจ เพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันดูดีมากๆ หมอกบางๆลอยเอื่อยๆอยู่บนยอดภู หืมมม สดชื่นขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็นึกถึงเพลงของพี่เบริ์ดเลย "หมอกจางๆ.........."
บรรยากาศแบบนี้ ได้กาแฟสักแก้ว คงจะฟินแน่ๆ จัดไปทันทีครับ
ปล.พึ่งตื่น ยังมึนๆ เลยถ่ายภาพออกมาเอียงๆ ฮ่าๆ ขี้เกียจเข้าไปแก้ไข โพสแบบเอียงๆนี่แหละ
ได้กาแฟ ร่างกายดีขึ้นมาหน่อย เดินดูบรรยากาศยามเช้ารอบๆที่พัก ก่อนจะไปเตรียมตัวทานอาหารเช้าครับ
ลืมบอกว่าตื่นมาตอนเช้าฝนก็ยังตกปรอยๆอยู่ครับ
เขียนมาตั้งนาน ลืมโชว์หมายเลขห้องที่เราพัก พลาดได้ไงเนี๊ย
เหลือบไปเห็นน้องคนนึงกำลังนั่งฟินอยู่ แอบแชะภาพซะเลย
และแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้าครับ ก็เป็นอาหารที่เราคุ้นเคยทั่วไป เพิ่มพลังก่อนที่จะหมดเวลาพักผ่อนที่นี่เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่อื่นต่อ ใช้เวลากับอาหารเช้าค่อนข้างนานหน่อย เพราะไม่อยากจากไปไหน ฮ่าๆๆ เพื่อนหลายๆคนคงจะเคยมีความมรู้สึกแบบเรา
นั่งทานอยู่สักพัก ได้ยินเสียงสัตว์หนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่แน่ๆ รีบวิ่งออกไปดู เห็นช้างกำลังลงมาสวัสดีแขกยามเช้า บางคนสงสัยว่าช้างมาจากไหน? บอกเลยว่ามาจากหมู่บ้านมอญด้านบนครับ ที่หมู่บ้านมอญจะมีช้างที่พวกเขาดูแลและเลี้ยงอยู่ ถ้าอยากเจอน้องช้าง ต้องตื่นเช้าแบบเรานะครับ เพราะช้างจะอยู่จุดนี้ก่อนกลับขึ้นไปไม่ถึงชั่วโมง
ในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง เวลาที่เราจะต้องมานั่งรอเรือเพื่อกลับไปยังท่าเรือที่เราจอดรถอยู่ เวลาความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเนอะ เอาเป็นว่าใครอยากมาลองใช้ชีวิตการพักผ่อนจริงๆ อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ ลองมาพักที่นี่ดูได้นะครับ ส่วนเรื่องราคานั้นต้องลองติดต่อกับทางรีสอร์ทโดยตรง เพราะราคามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โปรโมชั่นก็มีมากมาย บอกเลยว่าคุ้มมากๆ การมาพักผ่อนของเราในครั้งนี้ บอกเลยว่าชาร์ทพลังได้เต็ม100% ก่อนกลับไปสู้กับมลพิษในเมืองกรุง
ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ลองเข้าไปดูที่เว็บได้นะครับ http://www.riverkwaijunglerafts.com
ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านรีวิวผมจนจบนะครับ ^^ หากผิดพลาด ตกหล่นส่วนใดไป ต้องขออภัยด้วยนะครับ
Freelance บ้าเที่ยว
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.21 น.