การเดินทางท่องเที่ยวในช่วง Japan Golden Week ของหนูเล็กและพี่ใหญ่เริ่มจะเข้าสู่ไฮไลต์ของการเดินทางกันแล้ว
วันนี้เรามาออกเดินทางกันต่อจากตอนที่แล้ว https://th.readme.me/p/4640 กันดีกว่าค่ะ
เป้าหมายการเดินทางในวันนี้เป็นสาเหตุหลักที่หนูเล็กและพี่ใหญ่จำใจจำยอมเดินทางในช่วงที่ (เขาว่ากันว่า) ไม่ควรจะมา
ภาพกำแพงหิมะสีขาวสูงท่วมหัวเป็นภาพความฝันของนักเดินทางจำนวนมากที่อยากได้ไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต
มันเป็นเหมือนภาพแห่งปริศนาว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เมื่อเริ่มทำการบ้านศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวดังกล่าว ไฮไลต์ของมันไม่ได้มีแต่เพียงกำแพงหิมะ (Snow Wall) เท่านั้น
แต่มันมีอยู่ตลอดการเดินทางซึ่งเป็นแนวยาวจาก Toyama ไปถึง Nagano หรือจะย้อนจาก Nagano ไปยัง Toyama ก็ได้
ขึ้นอยู่กับว่าจะขึ้นจากฝั่งไหน และเป็นเพราะธรรมชาติอันหลากหลาย
ทำให้การเดินทางตลอดเส้นทางจึงมีการปรับเปลี่ยนด้วยยานพาหนะหลากหลายรูปแบบ
จึงนับเป็นอีกสีสันหนึ่งที่ทำให้อยากไปเยือนสถานที่แห่งนี้สักครั้งในชีวิต
เมื่อคืนก่อนเข้านอนเรานัดกันไว้ว่าเช้าวันนี้กำหนดการล้อหมุนคือตีสี่
แต่ ณ เวลานี้มันคือเวลาตีห้า นั่นคือนาฬิกาไม่ปลุกตามเวลาที่ตั้งเอาไว้
เราต้องใช้เวลาในการเดินทางไปราว 1 ชั่วโมงเพื่อให้ไปถึงที่หมายคือ Ogizawa Station ซึ่งเราเลือกเป็นจุดเริ่มต้น
สำหรับการเดินทางสู่เส้นทางการท่องเที่ยวหลังคาญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่อว่า Tateyama Kurobe Alpine Route
เป็นการท่องเที่ยวผ่านหุบเขาหิมะ เขื่อน ผ่านหุบเขาตามธรรมชาติด้วยวิธีการเดินทางอันหลากหลาย
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก
https://www.alpen-route.com/th/
เราสองคนใช้เวลากันเพียง 15 นาที ก็พาตัวเองลงมายังชั้นล่างซึ่งอีกสองหนุ่มคอยกันอยู่แล้ว
ไม่มีเวลาแม้จะขอโทษขอโพยได้แต่เร่งเอาของขึ้นรถและออกรถออกไปกันก่อน
ยังมีเวลาที่จะสารภาพบาปกันในรถอีกหลายวัน
จาก Chikuma สู่ Ogizawa Station
วิ่งผ่านป่า
วิ่งผ่านเขา
ทะลุภูเขาก็มี
หลังจากที่รถของพวกเราวิ่งอยู่ท่ามกลางป่าเขาแต่เพียงคันเดียวมาราวชั่วโมงเศษ
ทิวทัศน์ที่มองเห็นด้านหน้ากระจกรถเริ่มเปลี่ยนไป
เทือกเขาสีขาวโพลนเป็นแนวยาวที่ทำให้พวกเราใจชื้นขึ้น
เป้าหมายอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
ความยิ่งใหญ่ที่รออยู่
เริ่มใกล้ถึง Ogizawa Station
ยิ่งขับรถเข้าไปใกล้เป้าหมายมากเท่าไร ยิ่งรู้สึกว่าพวกเรากำลังถูกโอบล้อมไว้ด้วยธรรมชาติ
ถึงลานจอดรถแล้ว
เรามาถึงราวๆ เก้าโมงกว่า ซึ่งก็เป็นดังคาด เราจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มาสาย
เพราะที่ลานจอดเต็มไปด้วยรถนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ดีที่เราโชคดีมีที่ใกล้ๆ เหลืออีก 2-3 คัน
ทุกคนแยกย้ายกันจัดเตรียมสัมภาระ อุปกรณ์ถ่ายรูปพร้อมมือ ทุกคนพร้อมแล้วสำหรับการไปผจญภัยกับเส้นทาง Japan Alps
พี่ใหญ่เดินนำลิ่ว
ยังมีรถทยอยมาเรื่อยๆ
เดินไปตามแนวที่เขาวางไว้ให้เดิน
ถึงล่ะ ไปซื้อตั๋วเดินทางกัน
ตั๋วเดินทางสามารถซื้อแบบไป-กลับซึ่งจะมีส่วนลดให้ และจะต้องรักษาไว้ให้ดีเพราะต้องใช้ตลอดการเดินทาง
อาคารสถานี
แผนที่บอกความสูงของแต่ละจุด ระยะเวลาเดินทางไปจนถึงปลายทาง และวิธีการเดินทางในแต่ละช่วง
ป้ายราคาบอกไว้ชัดเจน single trip หรือ round trip เลือกได้ตามชอบใจ
เราเลือกตั๋วไป-กลับ ระหว่าง Ogizawa Station และ Murodo สนนราคา 9,050 เยน
จากสถานี Ogizawa เราต้องนั่งรถบัสไฟฟ้าผ่านอุโมงค์ (Kanden Tunnel)
เพื่อไปยังจุดหมายแรกคือเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)
เขื่อนที่สร้างขึ้นจากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อมีตั๋วในกระเป๋า สองเท้าก็เข้ามาด้านในเลย
เส้นทางนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าสัมผัสได้ราวๆ กลางเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
แต่ไฮไลต์สำคัญที่เรียกว่า “กำแพงหิมะ" นั้น จะสามารถชมได้แค่ช่วงสั้นๆ
คือประมาณกลางเดือนเมษายนถึงปลายเดือนพฤษภาคม
หิมะก็จะเริ่มละลาย ความสูงของกำแพงก็จะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนหมด
จึงเป็นไฟท์บังคับที่จะต้องมาในช่วงนี้ที่กำแพงยังคงความสูง
นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวพากันแห่มาเยือนกันอย่างเนืองแน่น
หลังจากรอคอยอยู่สักพัก นักท่องเที่ยวทั้งหมดก็ได้รับการปล่อยตัวจากจุดที่คอยอยู่ ให้ไปขึ้นรถบัสไฟฟ้า (Trolley Bus)
รถนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า วิ่งอยู่ในอุโมงค์ Kanden ซึ่งวิ่งมาตั้งแต่ช่วงที่มีการสร้างและขนถ่ายวัตถุดิบที่จำเป็น
ในการก่อสร้างเขื่อน Kurobe วิ่งระหว่างสถานี Ogizawa ไปยังเขื่อน Kurobe การเดินทางระยะทาง 6.1 กิโลเมตร
ภายในอุโมงค์ใช้เวลาประมาณ 16 นาที ความต่างระดับระหว่างสถานีอยู่ที่ 37 เมตร
เริ่มออกเดินทางแล้ว
ภายในอุโมงค์
ถึงแล้ว Kurobe Dam
ไปกันเล้ยยยย
เมื่อลงจากรถบัสนักท่องเที่ยวจะเข้าไปเจอบันไดสูงชันที่จะพาเราไปยังจุดชมวิว (Kurobe Resthouse)
ที่ระดับความสูง 1,508 เมตร
ถือเป็นบททดสอบบทแรกของการเดินทาง
จุดแวะดื่มตาน้ำระหว่างทาง ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ดื่มป้องกันเจ็บไข้ได้ป่วย
ถึงทางออกแล้ว
ด้านบนเป็นระเบียงกว้าง สามารถชมวิวได้รอบทิศ
เทือกเขาส่วนใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมด้วยเพราะเพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาวที่หนาวจัดมาไม่นาน
เขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) เป็นเขื่อนคอนกรีตแบบโค้งที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ครอบคลุมพื้นที่โค้งน้ำของทะเลสาบคุโรเบะ (Kurobe Lake)
มีความสูง 186 เมตร สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงการฟื้นฟูประเทศและพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงมาก โครงการสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าจึงเกิดขึ้น
แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
โดยเฉพาะการขุดอุโมงค์เพื่อวางรางไฟฟ้าสำหรับรถบัสที่ใช้วิ่งในหุบเขา
เนื่องจากมีน้ำใต้ดินและทรายจำนวนมากผุดขึ้นมาตลอดเวลา
จึงใช้เวลาก่อสร้างนาน 7 ปี ใช้คนงานไป 10 ล้านคน (มีผู้เสียชีวิตขณะทำการก่อสร้างถึง 171 คน)
แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1963 ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าให้แก่ภูมิภาคคันไซ
และกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเส้นทางทาเทยาม่า คุโรเบะ (Tateyama Kurobe Alpine Route)
ช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนตุลาคมจะมีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนทุกวัน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามอีกภาพหนึ่ง
วิวจากมุมสูง
บรรยากาศสดชื่น สบายตา
หลังจากชื่นชมวิวทิวทัศน์จากจุดชมวิวนี้จนพอใจ
ก็ต้องไต่บันไดเพื่อลงไปยังบริเวณสันเขื่อน เพื่อไปต่อพาหนะลำดับถัดไปอีก
ค่อยๆ ไต่บันไดกันลงไป
สันเขื่อน
น้ำในเขื่อนสงบนิ่ง ไม่ไหวติง
จุดกึ่งกลางของเขื่อน
เป้าหมายเราคือช่องเล็กๆ ที่ปลายทางนั้น
เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เจอสิ่งที่ประทับใจเลยค่ะ
แสดงถึงความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ต่อแถวรอขึ้นเคเบิ้ลคาร์ (Cable Car) เพื่อไต่ระดับขึ้นไปยังบริเวณที่เรียกว่า Kurobedaira
สถานีเคเบิ้ลคาร์ Kurobe Station เป็นสถานีเคเบิ้ลคาร์ใต้ดินหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นที่ระดับความสูง 1,455 เมตร
เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากหิมะตกหนักในฤดูหนาว
วิ่งในอุโมงค์ระหว่าง Kurobeko Station (ใกล้เขื่อนคุโรเบะ) กับ Kurobedaira Station
ใช้เวลาราว 5 นาที ระยะทาง 800 เมตร เขาจะแบ่งแถวเป็นสองแบบคือสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปกับพวกที่มาเป็นกลุ่ม
ระหว่างที่ยืนคอยเขาจะแจกบัตรสีเหลืองซึ่งมีหมายเลขระบุไว้ ก่อนจะแจกเจ้าหน้าที่จะตะโกนอธิบายเสียงดัง
แต่ขอโทษค่ะ เป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ
เราก็เดากันเอาว่าน่าจะเป็นหมายเลขของ ropeway ที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะใช้บริการในสถานีถัดไป
เพื่อเป็นการจัดจำนวนนักท่องเที่ยว
บัตรหน้าตาแบบนี้ค่ะ เก็บรักษาไว้ให้ดี
เมื่อเคเบิ้ลคาร์มาจอด เจ้าหน้าที่จะให้นักท่องเที่ยวที่ลงมากับเคเบิ้ลคาร์ลงมาให้หมดก่อน
จากนั้นจึงจะให้กลุ่มที่รอขึ้นค่อยๆ เดินขึ้นไปโดยนักท่องเที่ยว
ทุกคนจะต้องหยิบตั๋วใบเดิมขึ้นมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจอีกรอบ
จะเห็นได้ว่าตั๋วนั้นมีความหมายและความสำคัญมาก จะหายไม่ได้เลยต้องเอาติดตัวไว้ตลอดเวลา
และสามารถหยิบใช้งานได้ง่ายๆ ด้วย
การนั่งเคเบิ้ลคาร์เพื่อไปยังสถานีถัดไปที่สนุกและหนูเล็กขอแนะนำคือการไปอยู่ที่ด้านหน้าสุดติดกระจก
เพราะจะทำให้เราได้ลุ้นระทึกไปกับการมุดอุโมงค์ระยะทาง 800 เมตร
ซึ่งถ้าจะพูดเรื่องความปลอดภัยแล้วค่อนข้างจะเต็มร้อย
นับเป็นประสบการณ์หนึ่งที่น่าตื่นเต้นและหาไม่ได้ง่ายๆ ในชีวิตหนึ่ง
ออกเดินทางกันล่ะ
วิวดีๆ ในอุโมงค์คือช่วงกลางทางจะมีรางแยกเป็นช่วงสั้นๆ
ให้เคเบิ้ลคาร์สองคันวิ่งสวนกันภายในอุโมงค์ที่กำลังไต่ระดับความสูง 373 เมตร
เร็วจนถ่ายภาพไม่ทันเลย
เมื่อไปถึงจุดหมายบริเวณสถานี Kurobedaira จะมีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายขนม ไอศกรีม
และมีทางออกให้ไปชมวิวทิวทัศน์ที่ด้านนอก ซึ่งหนูเล็ก พี่ใหญ่และสมาชิกไม่มีใครพลาดโอกาสนี้
เพราะสถานีนี้อยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,828 เมตร
ขาวโพลนไปด้วยหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา
แว่นตากันแดดเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้
เพราะเกล็ดหิมะเมื่อต้องแสงอาทิตย์จะสะท้อนจนแสบตาเลยทีเดียว
แม้ว่าเราสามารถออกไปเดินเล่นได้ก็จริง
แต่ก็อย่าลืมคอยมาดูว่าหมายเลขของ ropeway ที่เราได้มานั้นขึ้นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง
เราจะได้รีบมาต่อแถวเพื่อรอคิวขึ้น Ropeway ตามหมายเลขที่เขากำหนด
หลังจากใช้เวลาเดินวนไปมาสักพัก หน้าจอคอมพิวเตอร์บริเวณทางเข้าก็ปรากฏหมายเลขคิว
ตามบัตรคิวสีเหลืองที่ได้มาจากสถานีที่แล้ว
ถึงคิวให้ขึ้นกระเช้า (Ropeway) จากสถานี Kurobedaira ไปยังสถานีถัดไป นั่นคือ สถานี Daikanbo กันเสียที
หลังจากตรวจบัตรคิวที่ด่านแรกพร้อมกับตั๋วเรียบร้อย เขาก็จะให้เราเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน
เพื่อรอขึ้นกระเช้าทาเทยาม่า (Tateyama Ropeway)
ซึ่งรับคนจาก Daikanbo ลงมายังสถานีแห่งนี้ รอจนกระเช้าจอดสนิท
นักท่องเที่ยวขาลงออกจากกระเช้าและพื้นที่บริเวณนี้จนหมดแล้ว
เขาจึงจะเปิดประตูกระเช้าให้พวกเราขึ้นไป กระเช้านี้บรรทุกนักท่องเที่ยวได้จำนวนมากพอควร
เมื่อขึ้นครบตามจำนวนที่เขากำหนดไว้แล้วประตูจะปิด การเดินทางระหว่างสถานีก็เริ่มขึ้น
วิวโอโม่จากใน Ropeway
กระเช้าทาเทยาม่า (Tateyama Ropeway) มีระยะทาง 1.7 กิโลเมตร นำเราไต่ระดับความสูงขึ้นไปอีก 488 เมตร
เป็นเส้นทางกระเช้าที่ไม่มีเสาค้ำสลิงระหว่างสถานีด้านบนกับสถานีด้านล่าง ใช้เดินทางเพื่อข้ามเหวลึกระหว่างสถานี
ในระดับความสูง 2,316 เมตร นั่นหมายความว่า สลิงของกระเช้าจากต้นทางถึงปลายทางที่ไม่มีเสาค้ำสลิงคั่นกลางนี้
มีความยาวถึง 1,700 เมตร จัดได้ว่าเป็นทางกระเช้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความที่ไม่มีเสาค้ำสลิงอยู่เลย
ทำให้วิวทิวทัศน์ระหว่างทางบนกระเช้านี้สวยเกินคำบรรยาย หากกระเช้านี้ไม่ได้บรรทุกคนเต็ม
น่าจะสามารถมองได้กว้างรอบตัว 360 องศาเลยทีเดียว
การเดินทางในช่วงนี้ใช้เวลาเพียง 7 นาที เป็น 7 นาทีที่หนูเล็กไม่อยากให้หมดลงเอาเสียเลย
ยิ่งได้รับรู้ว่าการก่อสร้างกระเช้าแห่งนี้ไม่มีเสาสลิงคั่นกลาง
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การก่อสร้างนี้จะต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยมากเพียงใด
ใกล้ถึงปลายทางแล้วค่ะ
ถึงแล้ว สถานี Daikanbo
เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว
เมื่อไปถึงสถานี Daikanbo นักท่องเที่ยวมีสิทธิ์เลือกว่าจะหยุดชมวิวทิวทัศน์ที่จุดชมวิวของสถานีก่อน
หรือว่าจะเดินทางต่อเพื่อไปยังไฮไลต์สำคัญของการเดินทาง
นั่นคือ บริเวณจุดสูงสุดของเส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route
ที่ระดับความสูง 2,450 เมตร ซึ่งจะใช้เวลาอีกประมาณ 10 นาที
หนูเล็กและพี่ใหญ่เลือกที่จะเดินทางต่อในทันที
เพราะเราอยากเร่งไปเห็นความยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ที่รออยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ซึ่งหากใครจะเดินทางต่อก็แค่มองหาป้ายที่บอกทางไปขึ้นรถบัสไฟฟ้าสู่สถานี Daikanbo
ไปต่อ ดูป้ายนี้ค่ะ
แต่หากอยากจะหยุดชมวิวก็ตามป้ายที่บอกว่า View Point ก็จะมีทางให้เดินขึ้นบันไดไปยังจุดชมวิว
ซึ่งพวกเราคิดเอาไว้ว่าค่อยมาเก็บตอนขาลงก็แล้วกันเพราะเราจะต้องย้อนกลับกันมาทางนี้อยู่แล้ว
ร้านของที่ระลึกและอาหารกล่องภายในสถานี
การเดินทางจากสถานี Daikanbo ไปสู่สถานีมูโรโด (Murodo)
จุดสูงสุดของเทือกเขาทาเทยาม่าเป็นรถบัสไฟฟ้าลอดอุโมงค์
ด้วยระดับความสูง 2,450 เมตร รถบัสนี้จะวิ่งลอดในอุโมงค์ที่เย็นจับขั้วหัวใจ
บนรถไฟฟ้าสู่ Murodo
อาจเป็นเพราะเราอยู่ในรถเราจึงไม่รู้สึกถึงความเย็นจัดนั้น รถจะใช้พลังกระแสไฟฟ้าเป็นแรงขับเคลื่อน
ดังนั้นจึงปราศจากควันและปลอดมลภาวะ ใช้เวลาในการเดินทาง 10 นาทีกับระยะทาง 3.7 กิโลเมตร
โดยมีความต่างระดับระหว่างสถานี 134 เมตร ช่วงกลางของอุโมงค์จะมีช่วงที่รถบัสไฟฟ้าวิ่งสวนกัน
ให้ได้บรรยากาศเก๋ๆ อีกเช่นกัน
ถึงที่หมายแล้วค่ะ
สำหรับสถานีมูโรโดถือเป็นสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
เป็นจุดหมายของการเดินทางบนเส้นทางนี้ที่นักท่องเที่ยวทุกคน
มีจุดชมวิวและความงดงามมากมายรออยู่ในทุกฤดูกาล
และยังเป็นที่อาศัยอยู่ของนกไรโจ (นกสายฟ้า หรือ Ptarmigan)
ที่อาศัยอยู่เฉพาะแถบภูเขาและได้รับความสำคัญในฐานะที่เป็น "นกส่งสารของเทพเจ้า" ในยุคก่อน
ซึ่งมีอยู่ประมาณ 200 กว่าตัว มีแต่คนที่โชคดีเท่านั้นทีจะได้เห็นเพราะมีเหลือน้อยเต็มที
สัญญลักษณ์ที่ทางเข้าของสถานีนี้จึงเป็นรูปนกสายฟ้า
ทุกคนรีบลงจากรถ ไม่มีรอช้า
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีมูโรโด เราจะพบว่าที่นี่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
เราก็แค่เดินตามป้ายบอกทางเพื่อออกสู่ภายนอกอาคารซึ่งจะนำเราไปสู่ไฮไลต์สำคัญที่เราตั้งตารอคอย
ตามป้ายนี้ออกไปสู่ด้านนอกอาคารได้เลย
ทันทีที่เดินออกจากอาคารสถานี เขาจะจัดแนวทางเดินให้เราเดินไปเพื่อความปลอดภัยและความเป็นระเบียบ
เพราะบริเวณนี้ยังจะมีรถที่นำนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาจาก Toyama วิ่งขึ้นมาจอดที่สถานีแห่งนี้ได้อีก
ดังนั้น เราจะต้องเดินตามแนวเชือกที่เขากั้นไว้โดยเคร่งครัด
แต่ทั้งนี้ เขาเราได้จัดเจ้าหน้าที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวไว้เป็นระยะๆ ตามจุดต่างๆ อย่างดี
เจอป้ายนี้ป้ายแรกเลย
นักท่องเที่ยวต้องเดินตามแนวทางเดินที่เขาวางไว้
เดินถัดมาหน่อยจะพบกับบริเวณของนักผจญภัยตัวน้อยสำหรับเส้นทางสายหิมะ
พื้นที่บริเวณนี้เป็นลานเล่นหิมะ (Snow Playground)
เด็กๆ สามารถสัมผัสประสบการณ์เล่นกระดานหิมะลื่นหิมะได้โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลแข็งขัน
นักท่องเที่ยวตัวน้อยสนุกสนานกันมาก
ในขณะที่ผู้ใหญ่หลายคนรวมทั้งหนูเล็กได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
ด้วยนึกอยากมีช่วงเวลาประทับใจแปลกๆ บนยอดเขาแห่งนี้กับเขาดูบ้าง
จากนั้นเราก็พากันเดินเท้าตามนักท่องเที่ยวคนอื่นไปตามทางที่เขาทำแนวทางเดินไว้
ภาพที่ปรากฏตรงหน้า มีแต่ความขาวและขาวเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
จึงได้แต่กวาดสายตาให้กว้างที่สุดเท่าที่สายตาคู่นี้จะทำได้
ราวกับว่าจะจดจำภาพตรงหน้าเอาไว้ให้ได้ทั้งหมดในความทรงจำโดยไม่ลืมเลือนแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เส้นทางที่หนูเล็กและพี่ใหญ่กำลังเดินไปจัดเป็นสุดยอดปรารถนา
และเป็นหัวใจของการเดินทางมายังเส้นทางสายหิมะแห่งนี้
เพราะมันคือการเดินท่ามกลางกำแพงหิมะ (Snow Wall หรือ Snow Corridor) ซึ่งภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Yuki No Otani
มี One Man Show Trekking ด้วย
Tateyama เป็นภูเขาที่มีหิมะตกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีความสูงของหิมะที่ทับถมเฉลี่ย 7 เมตร
และอาจสูงถึง 20 เมตร (สูงเท่าตึก 10 ชั้น)ในปีที่หิมะตกหนัก
นักเดินทางสามารถเดินผ่านกำแพงหิมะเป็นทางยาวเกือบครึ่งกิโลเมตร
หลังเปิดเส้นทางในช่วงเดือนเมษายนของแต่ละปี ซึ่งปกติจะเริ่มเปิดตอนปลายเดือนเมษายน โดยเขาจะประกาศเป็นปีๆ ไป
สามารถตรวจสอบเวลาที่แน่นอนได้ตามประกาศจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
สำหรับช่วงที่กำแพงหิมะมีความสูงที่สุด ก็คือ หลังเปิดเส้นทางในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
เมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายนหิมะก็จะค่อยๆ ละลายและลดความสูงลงเรื่อยๆ
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในความคิดของหนูเล็กก็คือความคิดในการสร้างกำแพงหิมะ
เพื่อใช้เป็นจุดขายสำหรับการท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น
เพราะกำแพงหิมะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นเพราะคนญี่ปุ่นได้สำรวจแล้วพบว่า บริเวณนี้เป็นจุดที่มีระดับหิมะปกคลุมเฉลี่ยสูงที่สุดของประเทศ
ดังนั้น เขาจึงเอาเครื่องมาเป่าหิมะที่ตกบนพื้นขึ้นไปไว้ข้างๆ ใช้เครื่องจักรอัดหิมะให้แน่นหนา
ให้เป็นเหมือนกำแพงทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้ได้กำแพงน้ำแข็งที่มีความสูงเป็น 10 เมตร ให้นักท่องเที่ยวมาเดินชม
ไม่เพียงแต่มาจากมันสมอง ยังผนวกด้วยฝีมือล้วนๆ ที่ยากจะมีชนชาติใดเลียนแบบ
เดินไปได้นิดเดียว เขามีทางแยกขวามือมีป้ายบอกว่าทางนี้คือไป Panorama
ส่วนถ้าเดินตรงต่อไปก็คือไปยังกำแพงหิมะ
หนูเล็กกับพี่ใหญ่ตัดสินใจว่าเราไปชมทิวทัศน์แบบ Panorama กันก่อนดีกว่า
ก็เลยเดินตามๆ คนอื่นที่เลี้ยวไปก่อนหน้านี้
ทางแยกสู่เส้นทาง Panorama
ขาวโอโม่ดีแท้
เดินบนหิมะหนาๆ แบบนี้ ไม่ง่ายเลย
การเดินเที่ยวบนเส้นทาง Panorama เขาจะจัดแนวเชือกกั้นเอาไว้ไม่ให้เราเดินออกนอกแนวเส้นทางที่กำหนด
นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นเทือกเขาทาเทยาม่าได้ตลอดแนวทางเดินนั้น
การเดินบนหิมะที่กลายเป็นน้ำแข็งไปจนหมดแล้วนี้ จะว่าเป็นเรื่องยากก็ได้ เพราะเราต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ลื่นล้ม
ไม่เช่นนั้นคงได้มีเปียกปอนก้นจ้ำเบ้ากันบ้าง แต่นักท่องเที่ยวบางราย ถือโอกาสนี้ลงนอนกลิ้งเกลือกถ่ายรูป
หรือไม่ก็แอ็คชั่นกันสารพัดท่วงท่า เพราะโอกาสที่จะมาทำอะไรประหลาดๆ แบบนี้ก็คงไม่ได้มีกันได้บ่อยๆ
ภาพมุมไหนก็ขาวโพลนแบบนี้
วกกลับสู่กำแพงหิมะ
ตรงช่วงกลางนั้นจะมีจุดที่เขาบอกว่ากำแพงหิมะสูงที่สุดในวันนี้เป็นเท่าใดให้ได้ไปเช็คอิน
ระหว่างการเดินกลับจะมีรถบัสที่มาจาก Toyama ขึ้นมาเป็นระยะๆ
พอรถวิ่งมาคันหนึ่งนักท่องเที่ยวก็จะพากันยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
เมื่อเทียบกับรถบัสแล้ว จะเห็นได้ว่ากำแพงสูงมาก
และสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดูมุมมองจากมดกันบ้าง
หนูเล็กเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ มาจนถึงจุดที่มีป้ายบอกว่า จุดนี้เป็นจุดที่กำแพงหิมะสูงที่สุด
สำหรับวันนี้คือ 15 เมตร หรือเทียบได้ประมาณตึก 4 ชั้น ซึ่งลดลงจากวันเปิดใหม่ๆ ซึ่งสูงถึง 18 เมตร
นักท่องเที่ยวพากันเข้าคิวถ่ายกับป้ายสัญญลักษณ์ที่เขาทำไว้เพื่อเป็นหลักฐานกันเป็นที่สนุกสนาน
หากพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่ากำแพงหิมะนั้นได้รับการอัดไว้อย่างแน่นหนา
ขนาดแดดแรงๆ แบบนี้ก็ยากที่จะทลายลงมาได้ง่ายๆ
หนูเล็กได้แต่ยืนแหงนมองดูคอตั้งบ่าด้วยความทึ่งในความสามารถของคนญี่ปุ่นเจ้าไอเดียเสียจริงๆ
บริเวณนี้เขาจะมีติดป้ายแบนเนอร์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นว่าที่มาที่ไปของกำแพงหิมะที่เราได้มาเดินเที่ยว
ถ่ายรูปสวยๆ นี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร น่าเสียดายที่ประเทศญี่ปุ่นยังคงความเป็นชาตินิยมอยู่มาก
จึงมักมีแต่ข้อมูลที่เป็นภาษาญี่ปุ่น เราจึงได้ดูแต่จากภาพไม่ได้ข้อมูลรายลเอียดที่เขียนอธิบายไว้
แต่เท่าที่ดูจากภาพที่ปรากฏก็น่าจะพอทำให้รู้สึกได้ว่ากว่าจะมาเป็นความงดงามอลังการอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่จะต้องผจญความหนาวสุดขั้วในการทำงานบนยอดเขาสูง
การทำงานท่ามกลางหิมะที่ตกหนักได้ขนาดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อีกทั้งถ้าคิดถึงการจัดวางระบบการขนส่งตลอดการเดินทาง
ตั้งแต่เริ่มเดินทางขึ้นมา ที่จะต้องขุดเจาะอุโมงค์เพื่อใช้ในการเดินทางท่ามกลางความหนาวเย็นและเทือกเขาสูง
ค่าตั๋วที่เราต้องจ่ายไปนั้นดูจะถูกไปเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้เขายังมีป้ายแสดงไว้ให้เห็นถึงความหนาของปริมาณหิมะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันโดยทำเป็นผ้าสีผูกเชือกไว้ด้วย
ที่ใกล้ๆ กันก็มีป้ายให้นักท่องเที่ยวไทยอย่างเราได้ชื่นใจ
เพราะเขาทำป้ายยินดีต้อนรับเป็นภาษาไทยไว้ชัดเจนพร้อมกับภาษาอื่นๆ
แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวไทยก็เป็นขาประจำที่มาเยือนเขาบ่อยเหมือนกัน
หลังจากเดินอยู่ท่ามกลางกำแพงหิมะจนพอใจ พวกเราก็เดินกลับเข้าไปในอาคารสถานี
รถของเจ้าหน้าที่ยังพร้อมปฏิบัติงานตลอดฤดูกาลท่องเที่ยว
จากภายในอาคารสถานีจะมีทางออกไปยังจุดชมวิวที่สามารถมองลงไปยังพื้นที่ด้านล่างที่เราเดินเล่นเมื่อสักครู่
ในบริเวณนี้ยังมีป้ายบอกระดับความสูงของสถานีนี้คือ 2,450 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ที่เขาจัดไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นทางเดินออกไปสำหรับพวกที่จะไปเล่นสกีหรือเทรคกิ้งด้วย
หากเดินไปอีกทางมีทางแยกให้ไปสู่พื้นที่ให้แกะสลักเขียนข้อความฝากไว้บนกำแพงหิมะขนาดย่อม
นักท่องเที่ยวสามารถมาสลักข้อความและคำอธิษฐานบนกำแพงหิมะนี้ได้
นักท่องเที่ยวบางคนนิยมมาถ่ายรูปบริเวณนี้มากกว่าที่กำแพงหิมะขนาดใหญ่ด้านนอก
เพราะจุดนี้ไม่มีแดด คนก็น้อย สามารถถ่ายรูปได้สารพัดท่า
และบริเวณพื้นหิมะก็ขาวโพลนไม่ได้เป็นพื้นถนนให้รถวิ่งแบบด้านนอก
เมื่อถ่ายรูปออกมา จะดูสวยงามกว่า
อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างเป็นเรื่องยากลำบากสักนิดสำหรับผู้ที่อยากจะฝากข้อความไว้บนกำแพงหิมะ
หากไม่มีอุปกรณ์ช่วย เพราะกำแพงหิมะถูกอัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง จึงแข็งมาก
ถ้าเพียงจะใช้มือเปล่าขีดเขียนแบบบนพื้นทรายจะไม่สามารถทำได้
มองเห็นนักสกีและเทรคกิ้งลิบๆ
เป็นศูนย์อนุรักษ์ธรรมชาติทาเทยาม่า (Tateyama Nature Conservation Center)
จัดแสดงนิทรรศการพันธุ์ไม้และพันธุ์สัตว์ที่พบในพื้นที่บริเวณนี้
เจอแต่นักท่องเที่ยวที่แต่งตัวแบบนี้เต็มไปหมดเลย
แต่สำหรับพวกเราก็ได้แต่เพียงเดินเล่นไปบนหิมะสีขาวให้ได้ลื่นไถลไปมาด้วยความสนุก
หยิบหิมะปาใส่กันแบบที่เคยเห็นเด็กๆ ทำ ลองใช้เวลาแบบนี้ทำอะไรย้อนวัยกันดูบ้างก็สนุกดี
เนื่องจากหนูเล็กกับผองเพื่อนซื้อตั๋วเดินทางแบบไป-กลับโดยสุดทางแค่ Murodo ก็ต้องเดินทางกลับย้อนทางเดิม
ขากลับเราก็แค่ย้อนรอยแบบตอนขามาก็เท่านั้นเอง
เพียงแต่ตั้งใจว่าจะแวะใช้เวลาอีกสักนิดที่จุดชมวิวที่สถานี Daikanbo ที่ติดค้างอยู่
เมื่อมาถึงสถานี Daikanbo เราก็เดินตามป้าย View Point และขึ้นบันไดไป
จะนำเราไปยังจุดชมวิว
เมื่อออกมาด้านนอก สิ่งที่เห็นก็เป็นแบบนี้ค่ะ
ได้เห็นจังหวะที่กระเช้าสวนกันพอดี
หลังจากชมความอลังการจนพอใจ ก็ได้เวลาที่เราออกเดินทางลงสู่สถานีต่อไปกันต่อ
และนี่คือมุมมองจากบนกระเช้า Tateyama ค่ะ
ถ้าเป็นไปได้พยายามยืนให้ชิดติดกระจกจะได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้
เมื่อถึงสถานี Kurobedaira ยังไม่ทันจะเดินเล่นอะไร cable car มาพอดี ก็เลยลงกันเลยค่ะ
ก็เช่นเคย หนูเล็กเลือกที่จะไปอยู่ชิดติดหน้ากระจกที่ด้านหน้าสุด เพื่อเก็บบรรยากาศการเดินทางแบบแนวดิ่งภายในอุโมงค์
พร้อมออกเดินทางแล้ว
ระยะเวลา 50 นาทีที่ดูเหมือนจะนานแต่เมื่อเดินทางไปพร้อมๆ ความตื่นเต้น
กลับดูเหมือนระยะทางจากสถานีมันใกล้กันจนนึกเสียดายเวลา
ช่วงที่เคเบิ้ลคาร์ใกล้เทียบที่สถานี
นักท่องเที่ยวที่ยืนรอขึ้นในรอบถัดไปพากันเก็บภาพแบบที่หนูเล็กทำตอนขาขึ้นเหมือนกัน
ทำยังกับเราเป็นดารา พอรถมาจอดเทียบมีแต่แสงแฟลชขึ้นมาพรึ่บพั่บๆ
รอบต่อไปกำลังขึ้น
เมื่อลงจากเคเบิ้ลคาร์เราก็ต้องเดินย้อนกลับไปยังสันเขื่อนเหมือนเมื่อขามา เพื่อกลับไปขึ้นรถบัสไฟฟ้าที่สถานีเขื่อนคุโรเบะ
ไปต่อแถวรอขึ้นรถบัสสู่สถานี Ogizawa กันเลยค่ะ
เพียงสิบห้านาทีเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางนั่นคือสถานี Ogizawa ที่เราจอดรถทิ้งไว้เมื่อเช้า
บริเวณจุดขายตั๋วไม่มีนักท่องเที่ยวแล้ว ส่วนรถนักท่องเที่ยวที่จอดหนาแน่นเมื่อเช้าก็ค่อยๆ เบาบางลงไป
คงทยอยกันกลับลงมาก่อนหน้าเราไปบ้างแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าบางส่วนอาจจะไปค้างคืนที่บนเขา
เพราะที่สถานี Murodo จะมีโรงแรมทาเทยาม่าอยู่ใกล้ๆ สถานีไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่อยากไปพักค้างคืนเพื่อเล่นสกีกันด้วย
พวกเราขับรถออกมาเพื่อเรามุ่งหน้าไปยังที่พักของคืนนี้ที่ Matsumoto
วิวข้างหน้าต่างที่ยังพอให้เห็นเทือกเขา Tateyama
วิวเขียวชอุ่มเมื่อเริ่มเข้าสู่ Matsumoto
และแล้วเราก็ถึงที่หมาย โรงแรม Montagne Matsumoto ที่จองไว้
http://www.hotel-montagne.com/
จัดว่าเป็นที่พักราคาไม่แพงนัก และมีข้อดีตรงอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยทีเดียว
นักท่องเที่ยวแบกเป้ถ้าคิดจะมาเมืองนี้ละก็ สะดวกเลย แค่ 5 นาทีก็เดินถึงแล้ว
สภาพภายใน
และนี่คือวิวจากหน้าต่างห้องค่ะ
พรุ่งนี้เรามีแผนไปเที่ยวปราสาท Matsumoto ปราสาทชื่อดังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
อย่าลืม ไปเที่ยวกับพวกเรากันต่อค่ะ
ทักทายกันได้ค่ะที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 08.27 น.