จากตอนที่แล้วที่หนูเล็กพามาจนถึงโถงบันไดเอกของโรงอุปรากร Palais Garnier
ได้เวลาไปกันต่อแล้วค่ะ หนูเล็กจะขอพาไปต่อ
ถ้าเตรียมอกเตรียมใจพร้อมแล้วเราไปชมอีกไฮไลต์หนึ่งที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
และที่นี่เป็นสุดโปรดปรานของหนูเล็ก นั่นคือ ห้องโถงเอก (Grand Foyer)
เมื่อก้าวเข้าไปจะรู้สึกได้ถึงความโอ่โถงกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาของห้องนี้
นั่นเป็นเพราะลูกเล่นของการติดกระจกและหน้าต่าง จึงทำให้ห้องดูกว้างใหญ่กว่าความเป็นจริง
อย่าลืมที่จะแหงนหน้ามองภาพวาดบนเพดานซึ่งเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับดนตรีที่วาดไว้อย่างวิจิตรบรรจง
โคมไฟระย้ายิ่งทำให้ห้องทั้งห้องดูอลังการราวกับเดินอยู่บนแดนสวรรค์
หนูเล็กเดินชื่นชมและแหงนมองมุมนั้นมุมนี้ของห้องอย่างไม่รู้เบื่อ
วนเวียนเดินดื่มด่ำไปมาเพื่อให้สมกับที่อยากมาเห็นด้วยตาตนเอง
นี่ละค่ะ ห้องโถงเอก งดงามสมคำร่ำลือ
อย่าลืมที่จะแหงนหน้าชม
แค่แชนเดอร์เลียร์ก็กินขาดแล้ว
พี่ใหญ่กำลังยืนตะลึงงันอยู่กลางห้องเช่นกัน
ห้องถัดไปที่ยังคงมีการแสดงอยู่อย่างต่อเนื่องนั่นคือ The Auditorium
การตกแต่งเป็นแบบ Italian-style การจัดวางเก้าอี้นั่งไว้ถึง 1,979 ที่นั่ง
มีห้องที่สามารถรองรับนักแสดงได้กว่า 450 คน การตกแต่งหรูหราตามสถาปัตยกรรม Baroque
เก้าอี้บุด้วยกำมะหยี่สีแดง ประดับด้วยสีทองและดรุณเทพ ยิ่งขับให้ห้องทั้งห้องดูเข้ม ขรึม
บริเวณเพดานรอบโคมระย้าที่กลางห้องที่มีน้ำหนักกว่า 6 ตันนั้นมีภาพเขียนที่อาจดูขัดๆ ตากับห้องไปสักหน่อย
และห้องนี้เองเป็นที่มาของอุปรากรเก่าแก่ชื่อก้องโลก อย่าง "The Phantom of the Opera"
ซึ่งมีที่มาจากวันหนึ่งในปี ค.ศ.1896 โคมไฟแชนเดอร์เลียกลางห้องที่เต็มไปด้วยน้ำหนักได้ร่วงหล่นลงมา
และทำให้ผู้ชมเสียชีวิตหนึ่งคน เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่บทประพันธ์แนว Gothic ของ Gaston Leroux
แค่ทางเข้าด้านหน้าก็เรียกความสนใจได้อักโขแล้วค่ะ
โถงด้านหน้าห้อง Auditoriam
เพดานด้านบนทั้งภาพวาดและโคมไฟสวยงามจริง
ลวดลายแกะสลักที่งดงามไม่มีที่ติ
อลังการด้วยเก้าอี้บุกำมะหยี่สีแดงและสีทองทั้งหมด
เมื่อออกจากห้องนี้เราก็ไปชมห้องถัดไปคือ ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์
ซึ่งเก็บรักษาเอกสารกว่า 600,000 ฉบับและหนังสือกว่า 100,000 เล่ม
อีกทั้งยังมีจดหมาย ภาพถ่าย ภาพวาด และของเก็บสะสมต่างๆ อีกมากมายนับแสนชิ้น
ตามทางเดินยังมีชุดที่ใช้ในการแสดงอุปรากรจัดโชว์ไว้ให้เห็นด้วย
บทประพันธ์ต่างๆ ถูกเก็บรวบรวมไว้อย่างดี
ประติมากรรมรูปริชาร์ด วากเนอร์ ศิลปินในดวงใจของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย
ตัวอย่างชุดที่ใช้ในการแสดง
จัดแสดงไว้เป็นตัวอย่างหลายชุดเลยค่ะ
เมื่อเดินชมจนทั่วบริเวณเราจะต้องเดินสู่ทางออกซึ่งจะอยู่บริเวณโถงที่เรียกว่า Grand Vestibule
ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่เราจะออกสู่บริเวณร้านขายหนังสือและร้านของที่ระลึก
ซึ่งเต็มไปด้วยของที่ระลึกเกี่ยวกับการแสดงมากมาย ทั้งตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อย ชุดบัลเล่ต์สวยๆ อุปกรณ์สำหรับใส่เล่นบัลเล่ต์
สมุดโน๊ต พวงกุญแจ ฯลฯ เห็นแล้วก็ได้แต่เมียงมองและให้มันอยู่ของมันอย่างนั้นน่าจะสบายกระเป๋ากว่า
บริเวณนี้คือ Grand Vestibule
บริเวณร้านขายของที่ระลึก
มีสินค้าน่ารักๆ จำหน่ายให้ซื้อติดมือกลับบ้านค่ะ
เวลาที่หมดไปราวสองชั่วโมงเศษกับ Palais Garnier สำหรับหนูเล็กแล้วช่างคุ้มแสนคุ้มที่ได้มาเห็นด้วยตาครั้งหนึ่งในชีวิต
อีกทั้งการได้ทำการบ้านศึกษามาก่อนบ้างยิ่งทำให้การเดินชมได้รับสาระไปพร้อมๆ กับความเพลิดเพลินตระการตา
อำลาโรงอุปรากรอันแสนประทับใจไปด้วยภาพนี้
แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเที่ยวปารีสของเราในวันนี้ที่เหลืออยู่
วันนี้หนูเล็กยังมีโปรแกรมพาเที่ยวปารีสอีกหลายแห่งค่ะ
ติดตามกันต่อว่าหนูเล็กและเหล่าสมาชิกจะไปไหนกันต่อกับเวลาที่เหลืออยู่ในเวลาที่นับถอยหลังไม่กี่ชั่วโมงนับจากนี้
แวะไปทักทายกันได้ค่ะที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 19.58 น.