ตอนที่แล้วที่หนูเล็กพาไปเที่ยวโรงอุปรากร Palais Garnier

ให้ตะลึงพรึงเพริศกับความมลังเมลือง งดงามอลังการไปเป็นที่เรียบร้อย

https://th.readme.me/p/4747

แต่การมาเที่ยวยุโรปในฤดูนี้ฟ้ายังสว่างอีกนาน เราไปกันต่อค่ะ

ไหนๆ มาถึงฝรั่งเศส จะไม่แวะสถานที่ที่ใครๆ เขามากันบ้างก็จะกระไรอยู่

พี่ใหญ่หัวหน้าทัวร์ก็เลยพาลูกทัวร์มาให้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อย ไม่งั้นกลับไปจะคุยโวโอ้อวดกับใครเขาไม่ได้

เพียงเดินลัดเลาะมาประเดี๋ยวเดียว โผล่พ้นตึกออกมา

ก็เจอลานกว้างอันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) กันแล้ว


ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเป็นภาพคุ้นตาที่เคยเห็นตามหน้านิตยสาร เว็บไซต์หรือสารคดีท่องเที่ยวต่างๆ

พีระมิดแก้วตั้งโดดเด่นอยู่กลางลาน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนั้นใช้เป็นทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์


พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ในชื่อทางการว่า the Grand Louvre

เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ซึ่งได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1793 ตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง

ปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมากกว่า 35,000 ชิ้น

จากตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงศตวรรษที่ 19

รวมทั้งภาพเขียนสำคัญอย่างภาพเขียน Mona Lisa ผลงานของ Leo Nardo da vinci

หรือรูปประติมากรรมหินอ่อนวีนัสของมิโล (Venus de Milo) ที่นี่มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนหลายล้านคนต่อปี

เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส


พีระมิดแก้วออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน

ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ.1988 เป็นหนึ่งในโครงการที่ริเริ่มของประธานาธิบดี Francois Mitterrand

โดยผู้เข้าชมจะต้องเข้าผ่านล็อบบี้ใต้ดินที่อยู่ใต้ฐานพีระมิด

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เป็นที่กล่าวขานและอยากมาเยือนมากขึ้น

เมื่อถูกใช้เป็นพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังจากนวนิยายเรื่อง Davinci Code ของ Dan Brown

พิพิธภัณฑ์ได้รับเงินสนับสนุนค่าพื้นที่การถ่ายทำถึง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปีค.ศ.2008

รัฐบาลฝรั่งเศสได้สนันสนุนงบประมาณทั้งหมด 180 ล้านเหรียญฯ จากงบประมาณที่ต้องการทั้งหมด 350 ล้านเหรียญฯ

โดยส่วนต่างที่เหลือมาจากเงินบริจาค และค่าเข้าชม



พี่ใหญ่และหนูเล็กไม่ได้บรรจุแผนการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ไว้ในทัวร์ของเราเพราะการเข้าชมที่ดีนั้น

ต้องมีเวลาให้กับสถานที่แห่งนี้ไม่น้อยกว่า 3 วัน จึงจะสามารถชมได้อย่างสบายๆ ก็ลองดูจากภาพที่หนูเล็กเก็บมาฝากสิ

อาคารโดยรอบทั้งหมดนั้นคือสถานที่แสดงศิลปะที่มีอยู่หลายหมื่นชิ้น หากต้องการดื่มด่ำกับศิลปะอย่างเต็มที่

ก็ควรมีเวลาราวๆ นั้น เพราะการมาชมศิลปะแบบกึ่งเดินกึ่งวิ่งคงไม่ได้ให้อรรถรสหรือสุนทรีย์ในอารมณ์แต่อย่างใดนัก

พาลจะเหนื่อยหอบราวกับกำลังทำกิจกรรม walk rally หาผลงานของดาวินชีเสียมากกว่า

สำหรับทัวร์แนวประหยัดของพวกเราห้าคนนี้ แค่ได้มายืนเหยียบลานกว้างๆ

ดูบรรยากาศผู้คนที่พากันมายืนต่อแถวรอเข้าชม แค่นี้ก็อิ่มอกอิ่มใจแล้ว

จากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พวกเราเดินข้ามถนนมายังอีกฝั่งหนึ่งเป็นปอดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส

ที่นี่คือ Tuileries Garden หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Jardin des Tuileries

แค่เพียงข้ามถนนมาก็จะพบกับ "ประตูชัยเล็ก" หรือ "ประตูชัยแห่งคาร์รูเซล" (Arc de Triomphe du Carrousel)

เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดีทหารที่เข้าร่วมรบในระหว่างสงครามนโปเลียน

โดยสร้างขึ้นในช่วงเดียวกันกับประตูชัย (Arc de Triomphe) แห่งฝรั่งเศสแต่แล้วเสร็จก่อน

หากแหงนดูจะพบความงดงามของลวดลายที่สรรค์สร้างไว้อย่างวิจิตรบรรจง



พื้นที่สีเขียวแห่งนี้นับเป็นสวนแบบฝรั่งเศสแท้ๆ

ที่สร้างขึ้นตามคำบัญชาของพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medici)

ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟากตะวันตกของเมือง แต่ปัจจุบันกินขอบเขตใหญ่ที่สุดในปารีส

กินพื้นที่ 2500 เอเคอร์ ทอดยาวไปกับแม่น้ำแซน (Siene) ตั้งอยู่ระหว่างพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

และลานคองคอร์ด (Place de la Concorde) ในฐานะที่เป็นสวนของTuileries Palace ในปี ค.ศ.1564

ออกแบบโดยหัวหน้าผู้ดูแลสวนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประดับด้วยหิน รูปปั้น ประติมากรรม บ่อน้ำ และน้ำพุอย่างสวยงาม


สวนนี้เปิดให้เป็นพื้นที่สาธารณะในปี ค.ศ.1667 และกลายเป็นสวนสาธารณะหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด

นับเป็นพื้นที่สีเขียวที่ชาวปารีเซียงนิยมมาใช้ในการพักผ่อนหย่อนใจ พบปะพูดคุย และใช้วันหยุดร่วมกันมากที่สุด


ช่างน่าเสียดายที่ฟ้าปารีสวันนี้มีละอองฝอยฝนพร่างพรมมา

อากาศที่ดูเหมือนจะหนาวอยู่แล้วยิ่งหนาวเพิ่มขึ้นไปอีกราวกับว่าเครื่องปรับอากาศของปารีสนั้น

คอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ พี่ใหญ่ หนูเล็กและลูกทัวร์ที่ริจะนั่งปิคนิคตากอากาศสบายๆ แบบชาวปาริเซียงกับเขาบ้าง

ดูเหมือนจะทนไม่ไหวไปตามๆ กัน พากันออกกำลังกายไปเดินเคลื่อนไหวตามซอกตึกหลบลมเย็นๆ น่าจะได้ผลกว่า

ว่าแล้วก็จรลีจากสวนแสนสวยไปในบัดดล

Piyai&Noolek

 วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.22 น.

ความคิดเห็น