จริงๆ แล้วการมาเที่ยวในช่วงนี้จัดได้ว่าเป็นช่วง Golden Week

แต่หลายวันที่ผ่านมาพวกเราก็รอดจากมหาชนจำนวนมากมาได้พอควรทีเดียว

หรือจะเป็นเพราะเราใช้วิธีชิงลงมือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ นั้น

ก่อนที่ชาวญี่ปุ่นจะมากันอย่างจริงจังได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ก็ต้องมาดูกันว่าวันนี้เราจะรอดปลอดภัยแบบวันก่อนๆ ไหม

เพราะวันนี้จัดได้ว่าเริ่มเข้าวันหยุดทั่วประเทศอย่างจริงจังแล้ว

จากตอนที่แล้ว Japan Golden Week ไปก็ไป เอาไงเอากัน#5 (Japan Alps - Snow Wall)

https://th.readme.me/p/4700

เราไปต่อกันดีกว่าค่ะ

วันนี้ตามแผนคือการไปเที่ยวปราสาท Matsumoto เราขับรถไปจอดตึกให้บริการจอดรถไม่ไกลจากตัวปราสาทมากนัก

ถึงแล้วค่ะ

เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าทางเข้า ผู้คนที่มาเที่ยวจัดได้ว่าเยอะพอสมควร

พี่ใหญ่ หนูเล็กและสมาชิกทุกคนก็ทำใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่าคงจะต้องเจอคนเยอะแน่นอนกับสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้

เมื่อเดินเข้าไปยังบริเวณประตูทางเข้าจุดจำหน่ายตั๋วก็เริ่มมีอาการลังเล ลองดูสิคะ

แถวรอซื้อตั๋วที่ยาวคดโค้งไปจนถึงด้านหลัง

พวกเราเริ่มมองหน้ากันว่าจะรอหรือจะเลิก หลังจากคุยกันแล้วตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน

เพราะไหนๆ มาแล้ว ก็เลยยืนต่อคิวไปกับชาวญี่ปุ่นด้วย

ซึ่งเรื่องแบบนี้ชาวญี่ปุ่นเขาไม่เดือนร้อนกัน เรื่องเข้าคิวกับคนญี่ปุ่นนี่ถือเป็นวัฒนธรรมประจำชาติไปเสียแล้ว

จะว่าไปพอยืนต่อแถวไปสักพักแถวก็ขยับไปเรื่อยๆ ถ้าไม่สนใจอะไร ยืนคุยๆ กันไปแถวก็ค่อยๆ ขยับให้ใจชื้นเอง

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่อาจไม่มีเวลามากนัก อาจจะตัดสินใจได้ว่าจะรอหรือไม่รอได้

บริเวณหน้าประตูเขาจะมีกระดานมาคอยเขียนปรับปรุงข้อมูลตลอดว่าจะต้องรออีกประมาณกี่นาทีที่จะได้เข้าชม

จะว่าดีก็ดีที่ได้รู้ แต่จะว่าไม่ดีก็อาจจะว่าอย่างนั้นได้เหมือนกัน เพราะตอนที่หนูเล็กยืนต่อแถวอยู่นั้น

เขามาเขียนว่าจะต้องรออีกประมาณชั่วโมงสี่สิบนาทีจึงจะได้เข้าชม

ก็มาขนาดนี้แล้ว อย่างไรวันนี้ต้องเข้าดูให้ได้

ระหว่างยืนคอยในแถว พวกเราสลับกันไปเดินชมความสง่างามของตัวปราสาทไปพลางๆ

โดดเด่น สง่างาม ในวันฟ้าเปิด

มีดอกไม้สวยๆ ด้วย

ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) สร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1593 โดยขุนนางตระกูลอิชิกาว่า

เพื่อใช้เป็นสถานที่หลบภัยและใช้ในการวางแผนการศึก ปราสาทถูกโอบล้อมด้วยกำแพงหินสูงใหญ่และคูน้ำล้อมรอบ

มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปราสาทฟุกาชิหรือปราสาทอีกา

เนื่องด้วยผนังปราสาทมีสีดำ และปีกด้านต่างๆของปราสาทแผ่กางออกคล้ายปีกนก

เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของปราสาทที่สร้างบนที่ราบ

ต่างจากปราสาททั่วไปที่สร้างบนเนินเขาหรือกลางแม่น้ำ อาคารปราสาทสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มี 6 ชั้น

ในระยะต่อมาโชกุนโทกุกาวะ อิเอยาซุ ได้เข้ามาครอบครองแทน

ปราสาทเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น. ค่าเช้าชม 610 เยน

มีบริการรถลากด้วย ราคาไม่เบาเลย

หลังจากรอคอยแบบไม่ใส่ใจเวลา เราก็ได้ซื้อตั๋วเข้าชม

ทุกคนหายใจแบบโล่งอกที่จะได้เข้าไปชมด้านในกันเสียที

ได้ตั๋วแล้วก็เดินเข้าสู่ด้านในกันได้เลย

พวกเราหารู้ไม่ การได้ซื้อตั๋วนั้นเป็นเพียงบทเริ่มต้นแห่งการรอคอยในลำดับถัดไป

นี่คือสิ่งที่เราเจอ

เมื่อผ่านเข้าประตูชั้นในเข้าไปเราก็จะพบแถวที่ยืนคอยอีกยาวเหยียด

เขาก็บอกแล้วยังไม่เชื่อเขาอีกว่าต้องรอเป็นชั่วโมง

ณ จุดนี้เราซึ้งทันทีถึงบรรยากาศของการมาท่องเที่ยวในช่วง Golden Week

เขาถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่าอย่ามาเที่ยวในช่วงนี้เลยเพราะเป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นจะเที่ยวกันทั้งประเทศ

และสถานที่ท่องเที่ยวของพวกเขาก็คือโบราณสถานเสียเป็นส่วนใหญ่

มีคุณลุงนักรบมาช่วยทำให้บรรยากาศการรอคอยที่น่าเบื่อหมดไป

พวกเรานักท่องเที่ยวชาวไทยสี่คนจึงต้องยืนก้มหน้าต่อแถวร่วมกับชาวญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ

การรอคอยยังคงดำเนินต่อไป

นานๆ ทีก็มีสาวสวยมาเดินทักทายหรือเธอจะมาให้กำลังใจก็ไม่รู้

มองย้อนกลับไป

แถวขยับไปทีละน้อยจนกระทั่งเราได้เข้านั่งในเต็นท์

การได้นั่งในเต็นท์เป็นความหมายว่าเราเกือบจะได้เข้าชมแล้ว

และเมื่อถึงคิวได้เข้าชม ตรงปากประตูทางเข้าเขาจะแจกถุงให้เราเอารองเท้าใส่ถุงแล้วถือไปด้วย

เพื่อให้ดูแลรองเท้าของตัวเองและสามารถใส่ได้เลยเมื่อถึงทางออก


ไปเข้าชมข้างในกันเลยค่ะ

ปราสาทมัตสึโมโตะถูกจัดให้เป็นปราสาทที่มีสภาพสมบูรณ์

และมีอายุเวลาการสร้างยาวนานเป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น

และเนื่องจากปราสาทมีความเก่าแก่จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของชาติในเวลาต่อมา

เมื่อได้ขึ้นทะเบียนแล้วทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

สำหรับรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและประวัติศาสตร์ของจังหวัด Nagano

ปราสาทแห่งนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่มีหอคอยและป้อมปืนเชื่อมต่อกับโครงสร้าง อาคารหลักภายในตกแต่งด้วยไม้

ด้านในปราสาท

แสดงส่วนของอาคารที่ชำรุด

บันไดไม้ที่สูงชัน ยิ่งชั้นที่สูงขึ้นก็ยิ่งชันขึ้น

วิวที่มองออกมาจากด้านใน

จุดที่น่าสนใจ ได้แก่ ช่องเก็บหินสำหรับโจมตีศัตรู ช่องสำหรับธนู และหอสังเกตการณ์บนชั้น 6 ป้อมมี 3 ป้อม

ช่องเอาไว้ส่องปืนออกไปยิงศัตรู

บรรยากาศด้านใน


มองจากภายนอกตัวปราสาทจะดูเหมือนมีแค่ 5 ชั้น แต่ที่จริงจะมี 6 ชั้น

เนื่องจากสมัยที่สร้างปราสาทเป็นช่วงสงคราม จึงมีการสร้างชั้นลับขึ้นมาที่ชั้นที่ 3 ไม่มีหน้าต่างให้เห็นจากภายนอก

จุดประสงค์เพื่อเป็นคลังแสง เก็บอาหาร ดินปืน และอาวุธต่างๆ

พื้นที่ชั้น 3 ที่ใช้เป็นคลังแสง จะไม่มีหน้าต่าง

ด้านนอกนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสาย

ทางเดินด้านในจะจัดเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมแสดงส่วนของอาคารที่ชำรุด

และสมบัติจากยุคก่อนที่หลงเหลืออยู่ เช่น อาวุธปืน ของใช้ต่างๆ

ทางขึ้นแต่ละชั้นชันมาก

ต้องระวังทั้งศีรษะและระวังลื่นหล่น

บันไดแคบเวลาขึ้นลงต้องต่อแถวค่อยๆ เดินทีละคน

หนูเล็กและพี่ใหญ่ไต่ไปตามบันได จนถึงชั้นสุดท้าย

มองลงไปเห็น Matsumoto ทั้งเมือง

เครื่องราง

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชันสุดๆ

สถานที่ที่ไดเมียวใช้ในการบัญชาการรบ

หลังจากได้เข้ามาเดินชมภายในปราสาท ทำให้หนูเล็กได้คำตอบว่า

เพราะอะไรกว่าจะได้เข้าชมมันจึงได้นานขนาดนั้น

ก็ทางเดินภายในจะต้องเดินตามแนวเชือกที่เขากั้นไว้ ค่อยๆ เดินทีละชั้น

แต่ละชั้นเวลาจะไต่บันไดขึ้นลงทีต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก

เพราะมีความสูงชัน ชั้นแรกๆ ว่าชันมากแล้ว ยิ่งชั้นสุดท้ายยิ่งชันสุดๆ

การขึ้นลงไม่สามารถสวนกันได้ยิ่งไปกว่าชั้นอื่นๆ

ความชันและความแคบของขั้นบันไดแต่ละขั้น แค่จะเอาเท้าวางก็แทบจะแย่แล้ว

แล้วไหนนักท่องเที่ยวแต่ละคนจะใส่ถุงเท้าอีก

ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังจะลื่น ส่วนศีรษะก็ต้องระมัดระวังไม่ให้โขกกับขอบไม้ในขณะกำลังขึ้นบันไดอีก

ไม่เข้าใจคนญี่ปุ่นยุคก่อนเลย ปีนขึ้นลงกันได้อย่างไรกัน

แล้วเป็นพวกทหาร นักรบอะไรพวกนี้ด้วยนะ ตัวน่าจะใหญ่กว่าพวกเราอีก

ไม่อยากจะคิดเลย ก็น่าจะทุลักทุเลไม่แพ้พวกเราเหมือนกันละ

หลังจากเดินภายในอาคารหลักเรียบร้อย เส้นทางจะพาเราออกมายังอาคารอีกด้านหนึ่ง

ด้านนี้เขาเรียกว่า Moon View Wing

ที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะหากนั่งที่ระเบียงตรงนี้จะได้ชมดวงจันทร์ถึง 3 ดวงพร้อมๆ กัน

ดวงแรกคือบนท้องฟ้า ดวงที่สองคือเงาสะท้อนในคูน้ำด้านล่าง ส่วนดวงที่สาม ก็จากถ้วย แหม...ช่างคิดจริงๆ

ได้เวลาอำลาปราสาทและท่านไดเมียวกันแล้ว

สวนปราสาท

ดอกโบตั๋นขนาดมหึมา

ได้เวลาออกเดินทางกันอีกแล้ว

หลังจากได้ชมปราสาทกันสมใจก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง ต้องไปหาร้านกินกันละทีนี้

เปิดตำราหาร้านราเมงแนะนำตามตรอกซอกซอยต่างๆ เพื่อจะขอชิมลิ้มรสกะเขาดูบ้าง

พอเดินไปถึงร้านแทบหมดแรง ภาพคนต่อคิวรอหน้าร้านอาหารที่เคยเห็นตามรายการโทรทัศน์เป็นอย่างไรอย่างนั้นเลย

พี่ใหญ่กับหนูเล็กอยู่สุดท้ายปลายแถวเลยค่ะ

หนูเล็กกับพี่ใหญ่ไปยืนต่อแถวกันอยู่พักใหญ่ แถวก็ไม่มีทีท่าขยับเขยื้อนเลย

ปัญหาของเราก็คือบ่ายนี้เราจะต้องมุ่งหน้าไปนอนยังเมืองอื่นอีก ถ้ามัวแต่ปล่อยให้เวลาเรื่อยเปื่อยอยู่เช่นนี้คงจะไม่ได้

พวกเราจึงตัดสินใจออกเดินทางไปก่อน เจอร้านรวงระหว่างทางก็ค่อยหาอะไรใส่ท้องแล้วกัน

ร้านหนังสือเก่าท่ามกลางตึกสมัยใหม่ ก่อนจาก Matsumoto


สำหรับจุดหมายปลายทางของคืนนี้อยู่ที่เมืองมรดกโลกอย่าง Shirakawago

หนูเล็กให้ GPS ช่วยนำทางเราไปโดยไม่ลืมเลือกเส้นทางที่ไม่ใช้บริการทางด่วนเช่นเคย

การเดินทางไป Shirakawago จะผ่านเมืองเก่าอย่าง Takayama

ขาไปเราจะเพียงแค่แวะทักทายแล้วค่อยกลับมาค้างสักคืนตอนขากลับ

เพราะที่พักที่จองไว้ที่ Shirakawago ในคืนนี้เท่านั้น

สองข้างทางสู่ Shirakawago เต็มไปด้วยทิวทัศน์แบบธรรมชาติที่แสนรื่นรมย์

พวกเราเพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทางโดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าหายนะจะมาเยือน

เพราะมีช่วงหนึ่ง GPS ให้เราวิ่งเข้าทางด่วนที่อยู่ตรงหน้า

เราไม่ยอมเข้าคิดว่าคงมีอะไรผิดพลาดระหว่างการตั้งค่า GPS จึงได้วิ่งไปทางอื่น

และนั่นคือจุดหายนะที่เราสร้างขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว

เพราะเมื่อขับรถปุเลงๆ ไปจนระยะทางในมือถือแสดงให้เห็นว่าเหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้ว

คาดว่าวันนี้เราจะถึงที่พักโดยฟ้าไม่มืดกันเป็นแน่นั้น

ทิวทัศน์สองข้างทางดูจะไม่เป็นอย่างที่เส้นทางในมือถือบอกเอาเสียเลย

เพราะดูเหมือนเส้นทางจะขึ้นเขา เปล่าเปลี่ยว ไร้ผู้คน มีเพียงรถเราคันเดียวบนเส้นทางนี้ที่ขับปุเลงๆ อยู่

เหล่าสมาชิกที่เบาะนั่งตอนสองจากที่เคลิ้มๆ หลับ เริ่มตื่นมาร่วมตื่นเต้นด้วยกัน

อีกเพียงห้าร้อยเมตรระยะทางในมือถือบอกว่าเราจะถึงที่หมายแล้ว

แต่ในความเป็นจริงรถยังวิ่งอยู่กลางป่าเปลี่ยวอยู่เลย

และแล้วรถเราก็มาหยุดเอาหน้าป้ายที่เขียนว่า “ทางปิด อันเนื่องมาจากหิมะตกหนักในฤดูหนาว"

การแก้ปัญหาในตอนนี้คือเราต้องย้อนรถกลับออกมาทางเดิมก่อน เพราะมันไม่มีทางไปต่อได้ในเส้นทางนี้

เมื่อขับย้อนมาเรื่อยๆ เจอชาวบ้านสองสามคนริมทาง เราจึงจอดถามทางที่จะไป Shirakawago

ชาวบ้านผู้อารีตอบมาให้พวกเรารู้สึกชื่นใจว่า “ต้องย้อนกลับไปเส้นทางเดิม"

เมื่อดูจากเวลาและระยะทางแล้ว สุดท้ายเราจึงต้องจบลงด้วยการใช้ทางด่วนในที่สุด

เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจึงที่พักกันกี่โมงกันแน่

ที่สำคัญก็คือเราจะต้องไปติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภายในเวลาห้าโมงเย็นก่อนปิดทำการ

เพื่อให้แนะนำเราก่อนด้วยว่าที่พักที่เราจองไว้อยู่ตรงไหนในหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนั้น

เสียค่าธรรมเนียมผ่านทางที่ Hirayu Toll Gate เหมือนเป็นค่าธรรมเนียมการใช้ทางหลวง

มีอัตราค่าผ่านทางประกาศไว้ชัดเจน

คิวยาวเหยียดสำหรับรถที่จะไป Takayama

ยังมีหิมะตกค้างให้เห็น

ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเวลาในที่สุด

เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุโมงค์

อุโมงค์แล้ว อุโมงค์เล่า

ออกจากทางด่วนกันเสียที

ค่าทางด่วน 1,220 เยน

เมื่อออกจากทางด่วนจะมีป้ายบอกทางไป Shirakawago ชัดเจน

ที่หนูเล็กเอาประสบการณ์หลงทางมาเล่า ก็อยากจะบอกเลยค่ะว่า

เป็นเพราะพี่ใหญ่กับหนูเล็กพลาดเอง ทำการบ้านกันมาน้อย

เพราะทริปของเราขับรถไปนู่นนี่เยอะมาก คิดแต่ว่าถ้าเรามี GPS ก็คงจะรอด

หารู้ไม่ว่ามันจะนำพาความลำบากมาให้ขนาดนี้

การเดินทางสู่ Shirakawago อย่างไรก็ต้องใช้เส้นทางนี้ ไม่มีเส้นทางอื่นค่ะ

ผู้ที่คิดจะเช่ารถขับแบบหนูเล็กอย่าพลาดแบบหนูเล็กกันเลย

หลังจากใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงอันเนื่องมาจากความประหยัดเป็นหลัก

ประกอบกับการทำการบ้านมาไม่เพียงพอ

พวกเราเดินทางมาถึงหมู่บ้านมรดกโลกกันในเวลาเกือบหกโมงเย็น

ซึ่งนั่นหมายความว่า เราต้องหาทางไปที่พักกันเอง

เพราะการติดต่อจองที่พักเป็นการติดต่อผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

และ GPS ของที่นี่ จะค้นหาจากหมายเลขโทรศัพท์เป็นหลัก

เราเองก็ชะล่าใจไม่ได้หาเบอร์โทรศัพท์ของที่พักเอาไว้ด้วย เวรกรรมแท้

แต่ในความโชคร้ายและวิบากกรรมที่เผชิญมาในวันนี้ ก็ยังมีเรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตกันบ้าง

เพราะขณะที่พวกเรากำลังคว้างคิดอะไรไม่ออกกันอยู่นั้น

ไม่ยักรู้ว่าจุดที่เราจอดรถนิ่งทำอะไรกันไม่ถูกอยู่นั้นคือ หน้าสถานีตำรวจ

จู่ๆ ก็มีรถตำรวจวิ่งมาจอดที่หน้าอาคารฯ หนูเล็กไม่รอช้ารีบเข้าไปขอความช่วยเหลือ

ที่พักของเราคืนนี้คือ บ้านแบบมินชูกุของคุณยายโยชิโร (Yoshiro)

หนูเล็กยึดความเชื่อแต่เดิมว่า ตำรวจจะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้เสมอ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

พี่ตำรวจหนุ่มพยายามที่จะอธิบายเส้นทางไปยังที่พักด้วยภาษาญี่ปุ่นปนภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ พร้อมทำมือไม้ประกอบ

แต่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะไม่พอใจคำตอบของตัวเองเท่าไรนักจึงหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า

ให้ขับรถตามรถเขาไปแล้วกัน เดี๋ยวเขาจะนำไปที่พักเอง ให้มันได้อย่างนี้สิน่ะ

พี่ตำรวจเปิดไฟวับวาบนำไปเลยค่ะ

เย็นวันนั้นชาวประชาหมู่บ้าน Shirakawago และนักท่องเที่ยวทั้งมวลในเย็นย่ำวันนั้น

จะพบเห็นรถตำรวจคันหนึ่งเปิดไฟวับวาบวิ่งนำรถโตโยต้า วิทซ์สีฟ้าสดวิ่งผ่าเข้าไปใจกลางหมู่บ้านอย่างช้าๆ

สายตาทุกคู่เหมือนจะมองมาที่รถสองคันนี้แบบงงๆ ว่าคืออะไรกัน

จากนั้นไม่นานรถตำรวจก็จอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

นั่นหมายความว่า คืนนี้เราจะได้นอนในบ้านชาวนาแบบโบราณที่มีอายุกว่า 250 ปีสมดังตั้งใจแล้ว

http://www.shirakawa-go.gr.jp/details/?i=80

เว็บไซต์บ้านคุณยายโยชิโร

ภายในห้องพักที่จัดเตรียมไว้

ภายในบ้านคุณยายโยชิโร

ที่นี่เป็นการพักแบบมินชูกุ (Minshuku) ให้ได้รับประสบการณ์และเรียนรู้การดำรงชีวิตของชาวบ้าน

ว่าเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากจริงๆ

มีที่จอดรถไว้ให้อย่างสะดวกสบาย

บรรยากาศด้านนอกของบ้านคุณยาย

คืนนี้นอกจากเราจะนอนในบรรยากาศแบบบ้านชาวนาแล้ว

ยังมีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นแบบที่เรียกว่า ไคเซกิ (Kaiseki) หรือ ไคเซกิ เรียวริ (Kaiseki Ryori)

ซึ่งเป็นอาหารที่แต่ละเมนูจะเน้นความสดใหม่ของอาหาร เน้นรสชาติแท้ๆ ของวัตถุดิบแต่ละอย่าง

โดยจัดอย่างสวยงาม ให้เป็นศิลปะบนภาชนะ ทำด้วยความปราณีตใส่ใจอย่างที่สุด

ทำให้สัมผัสได้ถึงธรรมชาติตามฤดูกาลของญี่ปุ่นและความเอาใจใส่

พิถีพิถันต่อสิ่งเล็กน้อยของคนญี่ปุ่นไปในคราวเดียวกัน

ว่ากันว่า แต่ก่อนเป็นอาหารของชนชั้นสูงหรือในราชสำนัก

แหล่งกำเนิดจึงอยู่ที่เกียวโตเมืองหลวงเก่า แต่ภายหลังได้มีการปรุงกันโดยทั่วไป

เขาว่ากันว่าการกินอาหารตามฤดูกาลจะทำให้เราได้กินของที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด มีหลากหลายมากที่สุด

คนโบราณไม่ว่าชาติใดล้วนสืบทอดประเพณีเช่นนี้สืบต่อกันมา

โดยมีนัยยะว่าเป็นการกินเพื่อเตรียมร่างกายให้เหมาะกับฤดูกาลนั้นๆ

การไปพักที่บ้านคุณยายโยชิโร ซึ่งเป็นเพียงบ้านชาวนาแต่กลับได้ลิ้มรสอาหารไคเซกิแบบชาวบ้านๆ

ที่เต็มอิ่มไปด้วยศิลปะบนภาชนะจนแทบจะไม่กล้ากินเช่นนี้ ช่างเป็นประสบการณ์ที่วิเศษจริงๆ

แม้ว่าวันนี้จะผ่านการผจญภัยให้ได้เมื่อย ได้เหนื่อย ได้ลุ้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายของวันช่างคุ้มค่าดีจริงๆ

บางทีการที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามแผนบ้าง ก็สร้างสีสันในการเดินทางให้ได้จดจำไม่รู้ลืมเอาเลย

ที่นอนอุ่นๆ ของคุณยายโยชิโรคงทำให้วันพรุ่งนี้สดใสกว่าวันนี้เป็นแน่

ไว้มาติดตามการผจญภัยของพี่ใหญ่และหนูเล็กกันต่อค่ะ

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายกันได้ค่ะที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/


Piyai&Noolek

 วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 11.08 น.

ความคิดเห็น