จากตอนที่แล้วที่พากันอำลาสวนสวยๆ หลังจากเดินไตร่ตรองอยู่นานว่าเราจะหนีฝนไปทางไหนกันดี
ก็พบว่ายังมีสถานที่ที่ควรจะไปเยือนอีกแห่ง นั่นคือ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส (Cathe'drale Notre-Dame de Paris)
ดังนั้น อย่าได้รีรอมือไวเท่าความคิด หนูเล็กค้นหาแผนที่ Metro ทันทีเลยว่าเราจะเดินทางไปได้อย่างไรบ้าง
เรื่องเที่ยวไม่มีช้าอยู่แล้วค่ะ
ศิลปะริมถนนแบบนี้ หนูเล็กชอบจริงๆ
จากสถานี Palais Royal - Musée du Louvre เราต้องนั่ง Metro สาย 1 ไปลงที่สถานี Chatelet
จากนั้นเปลี่ยนเป็นสาย 4 ไปลงที่สถานี Cite' ซึ่งเป็นสถานีที่ใกล้กับ Notre-Dame ที่สุดแล้ว
เมื่อออกจากสถานีไปจะต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อยจึงจะถึงมหาวิหารโดยจะผ่าน Palace of Justice
และโบสถ์ Saint Chapelle ไป สองแห่งนี้เราไม่ได้แวะเพราะเวลาไม่อำนวยและแห่งหลังมีค่าเข้าชม
ถึงที่หมายแล้วค่ะ
Palace of Justice
ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องคนค่อมแห่งน็อทร์-ดาม (The Hunchback of Notre-Dame) คงจะรู้จักสถานที่นี้กันดี
ในภาษาฝรั่งเศสจะอ่านว่า "กาเตดราลน็อทร์-ดามเดอปารี" เป็นมหาวิหารสมัย Gothic
ตั้งอยู่บนเกาะซิเต้ (Ile de la Cite') คือฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส เกาะนี้จะถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Seine
คำว่า Notre Dame แปลว่า พระแม่เจ้าของเรา (Our Lady) ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระแม่มารี
ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นโบสถ์ของคริสตจักรโรมันคาทอลิกและเป็นที่ตั้งอาสนะของอาร์คบิชอปแห่งปารีส
ที่นี่ถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในลักษณะ Gothic แบบฝรั่งเศส
Cathedral of Notre Dame de Paris
มหาวิหารน็อทร์-ดามจะมีประตูใหญ่ 3 ประตู ได้แก่ ประตูด้านหน้าคือ ประตูพระแม่ (The Portal of the Virgin)
ประตูคำพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Portal ifthe Last Judgement) และประตูแซงต์แอนน์ (The Portal of Saint Anne)
เหนือประตูที่เป็นซุ้มจะมีการแกะสลักเล่าเรื่องราวของแต่ละประตูด้วย
เหนือประตูทั้ง 3 ประตูจะเป็นรูปสลักของกษัตริย์ยิวโบราณ 28 พระองค์ ที่เคยถูกตัดพระเศียร
และทำลายไปในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส และเมื่อมองสูงขึ้นไปจะเห็นกระจกสีกลมตรงกลาง หรือ Rose Window (หน้าต่างกุหลาบ)
ที่ทำจากกระจกสี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นรูปพระแม่มารีห้อมล้อมด้วยรูปปั้นจาก The Old Testament
Rose Window
ความงดงามของมหาวิหารไม่เพียงแต่ด้านนอกที่ทำให้หนูเล็กเดินวนเวียนเก็บภาพอย่างไม่รู้เบื่อ
เมื่อเข้ามาด้านในยิ่งทำให้เดินหลงไหลชมสถาปัตยกรรมด้านในทุกจุดทุกมุมไม่ยอมออก
แม้จะไม่ใช่ชาวคริสต์แต่ทุกครั้งที่เข้าชมโบสถ์หรือวิหารเหล่านี้ มักจะรู้สึกดื่มด่ำไปกับบรรยากาศด้านในจนลืมเวลาทุกครั้ง
คงเหมือนกับเวลาที่ต่างชาติมาเมืองไทยแล้วหลงไหลได้ปลื้มกับวัดพระแก้วหรือพระปรางค์วัดอรุณอย่างไรอย่างนั้นกระมัง
วัฒนธรรม ความเชื่อและศรัทธาที่แตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้และน่าศึกษาจริงๆ
ความศรัทธาเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สร้างสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จมาได้นักต่อนักแล้ว
หลังจากเดินชมด้านในอย่างดื่มด่ำ อินไปกับบรรยากาศเสียจนสมาชิกด้านนอกต้องคอยเสียเป็นนาน
หนูเล็กมีข่าวแจ้งให้สมาชิกทราบว่ายังมีอีก mission หนึ่งที่พวกเราจะต้องกระทำให้สำเร็จ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่
หากไม่สำเร็จจะถือว่าทัวร์เรานั้นยังมาไม่ถึงฝรั่งเศสกันจริงๆ หรอกนะ
ในระหว่างที่ mission ยังไม่สำเร็จให้ค้างคาใจ พี่ใหญ่ชวนให้เดินเล่นไปยังทางเดินริมน้ำ
เพราะเห็นสีชมพูแว๊บๆ ให้รู้สึกว่าไม่ไปไม่ได้แล้ว
ทางเดินริมน้ำที่ว่านี้คือ Promenade Maurice Careme จะเป็นทางเดินข้างๆ มหาวิหารที่เลาะเลียบไปกับแม่น้ำแซน
สิ่งที่สะดุดตาพี่ใหญ่ก็คือ ดอกซากุระ ที่นี่ถือเป็นจุดชมดอกซากุระบานที่ปารีสที่สวยมากจุดหนึ่ง
นอกเหนือไปจากบริเวณ Champ de Mars
วันนี้กำลัง bloom เต็มที่ ทำให้บรรยากาศดูหวานมดขึ้นมาเลยทีเดียวเชียว
อารมณ์ปลงแบบนักบวชที่เพิ่งเดินออกจากมหาวิหารเมื่อสักครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
ให้บังเอิญมีหนุ่มสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันเข้าไปอีก นักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณนั้นเลยยิ่งได้อารมณ์ฟินๆ กันเข้าไปใหญ่
แต่อย่างไรพวกเราก็ไม่ลืมภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ ว่าแล้วก็เดินตามแผนที่ในมือไปค้นหากันอีกรอบ
และแล้วพี่ออหนึ่งในลูกทัวร์ของเราก็ตามหาจนเจอ นั่นก็คือ Point Zero บางคนเรียก Kilometre zero
หรือ กิโลเมตรที่ 0 หรือบางทีเรียกกันเสียน่าเกลียดน่าชังว่า "สะดือปารีส"
นับเป็นจุดศูนย์กลางเอาไว้ใช้สำหรับเป็นจุดเริ่มต้นของการวัดระยะทางจากกรุงปารีสไปยังเมืองต่างๆ ในฝรั่งเศสนั่นเอง
จุดนี้อยู่บนพื้นหน้าประตูใหญ่ของมหาวิหาร Norte-Dame
พี่ใหญ่ หนูเล็ก ได้พาลูกทัวร์อีกสามชีวิตมาเหยียบที่จุดนี้ เพื่อจะบอกลูกทัวร์ทั้งสามว่า
เราได้พาท่านมาถึงกรุงปารีสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนี่คงเป็นสัญญาณว่า
พรุ่งนี้เราคงต้องอำลากรุงปารีสกันอย่างมิต้องสงสัย แต่ราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก
และ "ปารีส" ยังรอให้เราค้นหา มาติดตามกันต่อว่ากับเวลาที่เหลืออยู่ เรายังจะไปไหนกันได้อีก
ทัวร์นี้หัวหกก้นขวิด เที่ยวกันจนสิ้นแสงตะวันกันเลยทีเดียวเชียว
หลังจาก mission สำเร็จ พี่ใหญ่กับหนูเล็กยังพาวนเวียนอยู่แถวมหาวิหารน็อทร์-ดามอยู่นั่นแล้ว
นั่นเพราะหัวหน้าทัวร์ยังหาที่ไปไม่ได้ นี่เรื่องจริง ไม่ใช่ล้อเล่น ก็ที่เที่ยวเยอะเสียปานนั้น จะไปนั่นก็เสียดายนี่
จะไปนี่ก็เสียดายนั่น เช่นนั้นแล้ว เดินเที่ยวแบบไร้แผนกันบ้างจะเป็นไรมี
ใครมาเที่ยวกับทัวร์นี้อย่าหวังว่าจะได้เที่ยวแบบทัวร์อื่นๆ เราจะมีสถานที่แบบแถมๆ มั่วๆ มาเป็นระยะๆ
หากมากับทัวร์อย่าได้หวังว่าจะได้เห็น ระดับทัวร์หัวหกก้นขวิดอย่างเราๆ
ลองมาเดินเลาะเลียบริมถนนทำตนเป็นชาวปาริเซียงกันบ้างดีกว่า
หลังจากชมมหาวิหารก็แล้ว ไปชมดอกซากุระบานกลางกรุงปารีสก็แล้ว
ทีนี้ได้เวลาเดินตุหรัดตุเหร่แบบไร้จุดหมายไปตามถนน Rue d' Arcole
หนูเล็กมีอันสะดุดตากับร้านอาหารธีมแสนหวานที่เล่นเอาคนโสดอย่างหนูเล็กอยากฆ่าตัวตายลงหน้าร้าน
ใครมาปารีสกับคุณแฟนแวะมาสร้างอารมณ์สุนทรีย์กันที่นี่น่าจะดีค่ะ บอกชื่อร้านไว้เลย "Au Vieux Paris d'Arcole"
ไม่ไกลจากมหาวิหารมากนัก save ภาพเก็บไว้เป็นข้อมูลได้เลย ส่วนราคาก็...เอิ่ม ตัวใครตัวมันค่ะ
หลังจากหนูเล็กยืนเพ้อเจ้อไปกับความหวานสักพัก ก็ต้องออกจากภวังค์และกลับมาสู่โลกความเป็นจริงที่เบื้องหน้าต่อไป
ถนนนี้จะพาเราไปสู่แม่น้ำแซน (La Seine) หากมองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นอาคารขนาดใหญ่นั่นคือ Hotel de Ville
กรุณาอย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่โรงแรมหรืออะไร แต่นั่นคือศาลาว่าการเมือง (Town Hall) ของกรุงปารีสค่ะเขาเรียกกันแบบนั้น
เมื่อเดินมายืนริมน้ำและหันมองไปทางขวาจะเห็นสะพานหลุยส์-ฟิลิปเป้ (Pont Louis-Phillipe)
และหากมองไปทางซ้ายก็จะเห็นสะพานน็อทร์-ดาม (Pont Norte-Dame)
แม่น้ำแซนยามนี้สงบนิ่งชวนให้ยืนทอดอารมณ์นึกถึงใครต่อใครไปเรื่อยเปื่อย
หรือจะเป็นเพราะยังมีอารมณ์ค้างมาตั้งแต่ดอกซากุระหวานๆ จนมาถึงร้านอาหารเมื่อตะกี้ก็ไม่รู้ เฮ้อ....
ตำรวจม้า เท่ดีจัง
พี่ใหญ่กล้วอารมณ์ลูกทัวร์จะกระเจิงเกินเหตุเลยพาไปเดินทัวร์ตลาดกันดีกว่า
แถวๆ นี้มีตลาดดอกไม้ที่คนปารีสนิยมมาเดินกัน หากเรียกในภาษาฝรั่งเศสก็ต้องเรียกว่า Marche'-aux-fleurs
แต่เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษคือ Flower Market Queen Elizabeth II ตลาดนี้เปิดทุกวัน
แต่จะมีการนำนกมาจำหน่ายร่วมด้วยในวันอาทิตย์ ร้านแต่ละร้านตั้งอยู่ใต้โครงเหล็กจำหน่ายสินค้าทั้งดอกไม้
ต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวนที่คนรักบ้านเห็นแล้วอยากขนซื้อกลับไปใจจะขาด
ดอกไม้ที่วางขายก็มีนานาพันธุ์ทั้งไม้ใบไม้ดอก แต่ดูจะเน้นไม้ดอกเป็นหลัก ดอกลาเวนเดอร์แห้งจาก Provence ก็มีจำหน่าย หรือจะผลิตภัณฑ์ของกระจุกกระจิกที่ระลึกทีผลิตจากดอกลาเวนเดอร์ก็สามารถหาซื้อได้จากที่นี่
แม้ไม่มีโอกาสไปเยือนดินแดนแถบนั้นในฤดูกาลนี้ บางร้านก็ใจดีอยากถ่ายรูปก็ถ่ายไป บางร้านเขียนติดป้ายไว้เลยว่า
ถ้าอยากถ่ายรูปต้องมาทักทาย say "Hi" กับเจ้าของร้านก่อน ก็จะได้ถ่าย 1 รูป อะไรประมาณนี้
ก็คงเพราะมีแต่คนมาเดินเก็บภาพแต่ไม่ซื้ออะไรกันกระมังก็เลยคิดแผนการตลาดแบบใหม่
แต่ก็น่าเสียใจที่ใช้ไม่ได้ผลกับพวกเราที่ตัดสินใจเดินไปถ่ายร้านอื่นที่ยินยอมให้ถ่ายได้ตามแต่ใจจะปรารถนา
ดูเหมือนว่าโปรแกรมทัวร์วันนี้ของพี่ใหญ่จะออกแนวหวาน อบอุ่นในหัวใจมากไป
ทั้งๆ ที่ลูกทัวร์แต่ละคน ถ้าไม่โสด ก็เป็นพวกห่างคนข้างเคียงมา ช่างสอดรับกับบรรยากาศฟ้าหม่นฝนพรำ
ที่มาเพิ่มความหนาวเย็นให้พวกเราที่ต้องต่างคนต่างพากันกระชับเสื้อหนาวของตัวเองให้รัดกุมขึ้นมาในทันที
อย่าได้หวังหาหนุ่มสาวอิตาลีแถวๆ นี้มาช่วยจับกระชับให้
พี่ใหญ่เห็นว่าอากาศและบรรยากาศจะพาลูกทัวร์เตลิดไกลเกิน
ก็เลยขอพาไปปิดกิจกรรมทัวร์ปารีสกับ a must แห่งสุดท้ายก่อนที่เราจะอำลาปารีสกัน
จากตลาดดอกไม้ พี่ใหญ่หัวหน้าทัวร์สุมหัวกับหนูเล็กตัดสินใจพาลูกทัวร์ทั้งสามปิดทริป
ทัวร์กรุงปารีสเมืองหลวงของฝรั่งเศสกันที่ "ประตูชัย" (Arc de triomphe de l'Étoile) อ่านว่า อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอ เลตวล
เพื่อประกาศชัยชนะของพวกเราที่ปฏิบัติภารกิจมาถึงกรุงปารีสได้สำเร็จเรียบร้อย
และปลอดภัยจากมิจฉาชีพอันแสนขึ้นชื่อลือชาตลอดสองวันที่ผ่านมา เย้....
เรานั่ง Metro จากสถานี Cite' โดยขึ้นสาย 4 ไปลงที่สถานี Chatelet
แล้วไปต่อสาย 1 ไปยังสถานี Charles de Gaulle-E'toile เมื่อโผล่ขึ้นไปสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เดินตามป้าย Sortie หมายเลข 1 ค่ะ
ประตูชัยฝรั่งเศส เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญ ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ล เดอ โกล (Place Charles de Gaulle)
หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "จัตุรัสแห่งดวงดาว" (Place de l'Étoile) อยู่ทางทิศตะวันตกของ Champ-Elyse'es
ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของ "แกนกลางอันเก่าแก่" (L'Axe historique)
ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ไปยังชานกรุงปารีส ออกแบบโดยฌ็อง ชาลแกร็งในปี ค.ศ.1806
โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลังต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเครา
และใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1
Arc de Triomphe มีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต)
เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
สงสัยใช่ไหมว่าอันดับหนึ่งของโลกอยู่ที่ไหน อย่ากระนั้นเลย ขอออกนอกเรื่องเพื่อความรู้กันสักนิด
ประตูชัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Arch of Triumph) อยู่ที่กรุงเปียงยาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
หรือเกาหลีเหนือ ของพี่คิมจองอึน เขาเรียกเป็นภาษาเกาหลีว่า "แกซอนมุน"
สร้างด้วยการซ้อนหินแกรนิตสีขาวจำนวน 25,500 บล็อก มีความสูง 60 เมตร ความกว้าง 52.5 เมตร
ซุ้มประตูโค้งสูง 27 เมตร กว้าง 18.6 เมตร รถสามารถวิ่งผ่านได้ 2 ช่องทางแบบสบายๆ
ได้รับการตกแต่งด้วยภาพนูนอย่างสวยงาม เปิดตัวในโอกาสฉลองครบรอบวันเกิด 70 ปีของท่านประธานาธิบดีคิมอิลซุง
และเพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านคิมอิลซุงต่อสู้ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นช่วงปี ค.ศ.1925-1945
ว่าแล้วก็กลับมาประตูชัยของเราต่อกันดีกว่า
จากริมถนนชองป์-เซลิเซส์เราสามารถเดินไปยังประตูชัยที่อยู่กลางจัตุรัสได้โดยไมต้องวิ่งข้ามการจราจรอันวุ่นวายค่ะ
เขามีทางเดินลอดด้านล่างให้เดินไปได้ มีหรือที่หนูเล็กจะพลาด
ก็เลยพาลูกทัวร์ส่วนหนึ่งไปชมด้วยกันด้วย ส่วนที่สมัครใจจะชมระยะไกลก็ให้รออยู่ที่นี่กับพี่ใหญ่
เมื่อเดินเข้าไปด้านในทางลอดได้สักพักจะมีประตูทางขึ้นด้านบน เลือกขึ้นให้ถูกค่ะ
ทางหนึ่งคือขึ้นไปบนลาน อีกทางหนึ่งคือขึ้นไปสู่ด้านบนซึ่งมีพิพิธภัณฑ์สามารถเลือกขึ้นได้ทั้งบันไดวน 284 ขั้น
หรือขึ้นลิฟท์และเดินขึ้นบันไดต่ออีก 46 ขั้น รวมทั้งสามารถออกไปชมวิวด้านนอกในมุมสูงได้ด้วย
ซึ่งอันนี้เสียค่าธรรมเนียมค่ะ แต่แนวนี้ทัวร์เราไม่นิยมค่ะขอบาย
เราแค่ชมความงามบนพื้นราบที่ลานตรงกลางและแหงนหน้าชมก็พอแล้ว
ประตูชัยก่อสร้างในรูปแบบศิลปะที่เรียกว่า Neo-Classic ที่ได้ดัดแปลงมาจากสถาปัตยกรรมโรมันโบราณ
ช่างแกะสลักที่สำคัญของฝรั่งเศสในยุคนั้นหลายคนได้มีส่วนร่วมในรูปแกะสลักของประตูชัยฝรั่งเศสด้วย
รูปแกะสลักที่สำคัญจะไม่ได้เป็นลวดลายยาวบนกำแพง
แต่จะเป็นรูปแกะสลักลอยตัวที่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะติดกับตัวประตูชัย
โดยรูปแกะสลัก 4 กลุ่มบริเวณฐานประตูชัยที่สำคัญ ได้แก่
1 .Le Départ de 1792 (เรียกว่า La Marseillaise) โดยฟรองซัวส์ รูด
2. Le Triomphe de 1810 โดยฌอง-ปีแอร์ กอร์โตต์
3. La Résistance de 1814 โดยอองตวน เอเตกซ์
4. La Paix de 1815 โดยอองตวน เอเตกซ์
นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักหินนูนต่ำ 6 ชิ้นที่อยู่บนประตูทั้งสี่ทิศ
เล่าเหตุการณ์การปฏิวัติและจักรวรรดิฝรั่งเศส อยู่เหนือรูปแกะสลักลอยตัวทั้งสี่ชิ้นนั่นอีก
และก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากที่ปรากฏอยู่บนประตูชัยที่ล้วนมีความหมายเกี่ยวกับสงครามต่างๆ
ทั้งรายชื่อสงครามและรายชื่อทหารที่ร่วมรบสลักไว้เต็มไปหมด
นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นเยี่ยมอีกแห่งหนึ่งที่น่าศึกษา
ทัวร์ปารีสสำหรับพวกเราจบลงแล้ว ณ ประตูชัยแห่งนี้ แต่เดี๋ยวก่อน
ยังมีอีกสิ่งที่เราไม่ควรพลาดเมื่อมาเหยียบย่างแถวนี้ นั่นคือ การถ่ายรูปและเช็คอินกับป้ายข้อความว่า Champ-Elyse'es
เพื่อประกาศให้โลกออนไลน์ได้รู้ทั่วกันว่าเรามายืนอยู่บนถนนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก
โดยมีอัตราค่าเช่าสูงถึง 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี สำหรับพื้นที่ 1000 ตารางฟุต (93 ตารางเมตร)
หรือสูงที่สุดในยุโรปเลยทีเดียวเชียว OMG!!!
ก่อนจะสิ้นแสงสุดท้ายของวัน เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าทัวร์ปล่อยให้ลูกทัวร์ช้อปปิ้งได้ตามอัธยาศัย
ได้ที่ร้านเครื่องกีฬาสัญชาติฝรั่งเศสที่เพิ่งมาเปิดสาขาที่บ้านเราอย่าง Decathlon ที่บริเวณถนน Wagram
ที่นี่เป็นร้านที่รวมอุปกรณ์กีฬาทั้งทางบก ทางน้ำ อุปกรณ์แค้มปิ้งที่ราคาย่อมเยา
ยิ่งตอนนี้กระแสนักปั่นกำลังฮิต สามารถไปจัดหาอุปกรณ์จักรยานกันได้เต็มที่
แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือ เป้ใบน้อยยี่ห้อนี้ที่หนูเล็กสู้อุตส่าห์สะพายไปจากเมืองไทย ราคาถูกกว่าเสียอีก นี่มันอะไรกัน
มาทำตลาดในบ้านเราเรียบร้อยแล้ว
เป้ใบน้อยที่หนูเล็กสะพายไปจากเมืองไทย แบบนี้เลย
ไว้มาตามกันต่อค่ะ พรุ่งนี้เราจำจากปารีสกันแล้ว ที่หมายต่อไปยังมีเรื่องราวสนุกๆ บนเส้นทางอีกค่ะ
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายกันได้ค่ะที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.16 น.