จากตอนที่แล้ว หนูเล็กติดค้างไฮไลต์สำคัญของ Strasbourg เอาไว้
เที่ยวต่อกันดีกว่าค่ะ
ถ้ามา Strasbourg แล้วไม่มาที่นี่ ต้องบอกไว้เลยว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ถ้าคิดจะมาเยือนเมืองนี้ โปรดบรรจุสถานที่แห่งนี้ไว้ในแผนในบัดดล อย่าได้หลงลืมเป็นเด็ดขาด นี่เป็นคำเตือน ไม่ใช่คำขู่ แหะๆ
พี่ใหญ่สมัครใจเป็นคนเฝ้ากระเป๋าให้หนูเล็กและลูกทัวร์เข้าไปชมด้านในกัน ถ้าลองลากกระเป๋าเดินเข้าไปเป็นทิวแถวคงได้โดนไล่ออกมากันทั้งกลุ่มเป็นแน่แท้ ไปค่ะ ตามหนูเล็กเข้าไปด้านในกันก่อนเลย งานนี้ฟรีค่ะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร
สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่กลางลานจัตุรัส Place de la Cathédrale ที่เราจะต้องแหงนหน้ามองจนคอแทบหักนี้ก็คือ
Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg หรือ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งสตาร์ซบูรก์
(Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg) แปลได้ว่า Cathedral of Our Lady of Strasbourg
เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีสถาปนิกชาวเยอรมนี ชื่อ Erwin von Steinbach
เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1277 จนถึง ค.ศ. 1318
ตัววิหารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ (Romanesque) ผสมแบบโกธิค (Gothic) ตอนปลาย
ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างจากหินทรายสีชมพูอมแดง ภายนอกตัววิหารแสดงลวดลายวิจิตร
ที่ประกอบด้วยรูปนักบุญและบุคคลสำคัญเป็นจำนวนมาก ซุ้มประตูทางเข้าก็ประดับประดาด้วยรูปนักบุญองค์ต่างๆ
เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 142 เมตร
ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับที่ 6 ของโลก
และสูงที่สุดเป็นอันดับสองรองจากมหาวิหาร Rouen ในแคว้นนอร์มังดี
และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลางที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน มหาวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
โดยองค์การยูเนสโก ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมปีละประมาณ 4 ล้านคน
โดยถือเป็นมหาวิหารที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมต่อปีมากที่สุดรองจากมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส
ในช่วงคริสศตวรรษที่ 11 ถึงคริสต์ศตวรรษ เคยเป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก
แรกเริ่มเดิมทีเป้าหมายในการสร้างมหาวิหาร ต้องการสร้างยอดมหาวิหารสองข้าง
แต่เนื่องจากในครั้งแรก สร้างแล้วตัวโบสถ์ใหญ่นี้ เกิดทรุดจึงต้องระงับการสร้างอีกยอดไป เป็นเอกลักษณ์จนถึงทุกวันนี้
ห้องโถงใหญ่ของมหาวิหารนี้ สร้างเป็นรูปเรือลำใหญ่ (The navf - La nef) หมายถึง การเดินทางของชีวิต
ผนังทั้งหมดก่อด้วยหินอ่อนเป็นลวดลายที่ยังคงความงดงาม
ความตระการตามาจากกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวทางคริสตศาสนา
และ Rose window กระจกสีรูปวงกลมใหญ่ ซึ่งหมายถึง โลกและพระอาทิตย์ ประดับด้วยกระจกสีรุ้ง
ที่เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาทำให้ภายในดูมีชีวิตชีวา สดใส มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเข้าไปด้านในมหาวิหาร คือการเดินเข้าไปที่ด้านในสุด
เพราะที่นี่จะมี นาฬิกาดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ (Astronomical Clock - L'Horloge Astronomique)
ที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1547 โดยช่างมีฝีมือชาวสวิส นับเป็นผลงานที่มาจากการผสมผสานระหว่าง ศิลปิน ผู้ออกแบบ
นักคณิตศาสตร์ และนายช่างด้านเครื่องจักร แต่ก็ไม่ได้ใช้งานจนกระทั่งนาย Jean-Baptiste Schwilgue ได้ซ่อมแซม
และนำมาใช้ใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ.1840 โดยจะบอกเวลาทั้งในแบบธรรมดาคือ ทุกๆ 15 นาที
จะมีรูปมนุษย์ในช่วงชีวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา ออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก
ส่วนชั้นบนจะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ ออกมาเดิน 1 คน
แต่ในเวลา 12.30 น. ของทุกวัน จะมีการบอกเวลาแบบพิเศษ นั่นคือจะมีการบอกเวลาที่นานกว่าปกติ
ด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องจักรกลที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้าและมอเตอร์ใดๆ
มีแต่กลไกด้านฟันเฟืองและกลจักรที่ออกแบบในอดีตได้อย่างน่ายกย่องความคิดความสามารถของนายช่างในยุคนั้น
ที่ความเจริญยังไม่มากมายอย่างทุกวันนี้จริงๆ
พอนาฬิกาถึงเวลา 12.30 น. จะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้ง 12 คนออกมาเดินพาเหรด ผ่านหน้าพระเยซู
ทิ้งระยะสักครู่หนึ่งวนเวียนไป สลับกับเสียงไก่ขัน และเสียงระฆังประมาณ 3 ครั้ง
และในขณะเดียวกันชั้นต่ำลงมา รูปมนุษย์ในช่วงชีวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา
จะออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก ความเงียบของโบสถ์จะทำให้ได้ยินเสียงก้องกังวาน
ไปทั่วทั้งโบสถ์และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอัศรรย์ในภูมิปัญญาของผู้สร้างสร้างนาฬิกานี้มา
น่าเสียดายที่หนูเล็กไม่อาจอยู่คอยจนถึงเวลา 12.30 น. เพราะนั่นอีกตั้งชั่วโมงกว่า
เรายังต้องไป "ฆ่าเวลา" กับส่วนอื่นๆ ของ Strasbourg อีกหลายแห่ง จึงอดชมการบอกเวลาแบบพิเศษไป
นอกจากนี้หากต้องการขึ้นไปชมวิวของเมืองจากด้านบนของมหาวิหารสามารถไต่บันไดขึ้นไปด้านบนได้
ก็แค่เพียง 332 ขั้น เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร และมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
แต่สำหรับหนูเล็กและทัวร์ของเราไม่ได้ต้องการวิวมุมสูงมากขนาดนั้นก็เลยไม่ขอขึ้นค่ะ เน้นแนวราบเป็นหลักดีกว่า
หนูเล็กผู้หลงไหลในความงดงามอลังการของโบสถ์ก็เป็นเหมือนเคย
เดินวนเวียนชมทุกจุดอย่างละเมียดละไม เก็บภาพกระจกสีและ Rose window ไว้ทุกบานด้วยความรู้สึกชื่นชมในฝีมือ
และไม่เพียงแต่ด้านในที่สวยงามหมดจด ด้านนอกของมหาวิหารเองก็เถิด
ให้นึกแปลกใจว่าคนในยุคโบราณเอาความสามารถมาจากไหน
ถึงได้แกะสลักหินให้เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ให้งดงามอ่อนช้อย สีหน้า ท่าทาง ผ้าผ่อน อะไรจะเหมือนจริงได้ขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อจริงๆ สมแล้วกับความยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ก็อยากมาเห็นสักครั้ง
ไม่เสียเที่ยวเลยที่ได้มาเยือนที่นี่แม้จะเป็นเพียงเมืองทางผ่านก็ตามที
หลังจากชื่นชมกับความงดงามของมหาวิหารกันไปอย่างเต็มอิ่มแล้ว
พวกเราพากันเดินลากกระเป๋าเดินย้อนกลับไปยัง Place Gutenberg เพื่อชมเมืองไปเรื่อยๆ
และหาทางมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่ยังไม่ถึง นั่นคือ Petite France
วันนี้ผู้คนค่อนข้างมากมายเต็มท้องถนนเพราะเป็นวันหยุดทำให้ไม่เพียงมีนักท่องเที่ยว
ยังมีชาวเมืองออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอีก เมื่อเดินจาก Place Gutenberg มาตามถนนชื่อย๊าว ยาว
Rue du Vieux Marche' aux-Poissons เพื่อมาชมวิวริมแม่น้ำ L'ill ที่ไหลผ่านล้อมส่วนที่เป็นเมืองเก่าเอาไว้
สตราสบูร์ก (Strasbourg) ถูกบันทึกให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านมนุษยชาติขององค์การยูเนสโก
เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นอัลซาส (Alsace) แห่งฝรั่งเศส เป็นเมืองที่เรียกได้ว่ามี 2 วัฒนธรรม
คือ ฝรั่งเศสและเยอรมัน เนื่องจากผลัดกันอยู่ภายใต้การปกครองของ 2 ประเทศนี้สลับกันไปมา
ที่นี่ยังเป็นเมืองมหาวิทยาลัยดังอีกด้วย เกอร์เธ่ (Goethe) กวีเอกก็เคยศึกษาที่นี่
หลังจากนั่งรับแดดอุ่นๆ ชมวิวริมน้ำกันสักพักพวกเราก็เดินย้อนกลับไปยังถนน Rue de la Douane
นั่นเป็นเพราะเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาแอบเมียงมองไว้แล้วว่าบนถนนเส้นนี้มีตลาดนัด
แหม...สีสันชาวเมืองแบบนี้พลาดได้ที่ไหน แวะไปชมเป็นขวัญตาน่าสนุกดีออกค่ะ
ลองไปชมบรรยากาศที่หนูเล็กเก็บมาฝากดูค่ะ
จากนั้นพี่ใหญ่ก็พาเราสู่เป้าหมายสุดท้ายของนักฆ่า (เวลา) นั่นคือ Petite France
บริเวณนี้นับเป็นเขตเมืองเก่าที่มีคูคลองเชื่อมต่อกันไปหลายจุด
มีสะพานเล็กๆ แอบตัวอยู่หลายที่ มีบ้านเรือนสไตล์เก่าๆเรียงตัวกันไปตลอดแนวคลอง
แต่ที่เก๋กู้ดก็คือ ลักษณะบ้านจะมีเอกลักษณ์ของแคว้น Alsace อยู่ ลักษณะที่ว่าก็คือบ้านกรอบไม้ค่ะ
คือ ตีกรอบไม้ไว้ก่อน แล้วค่อยเอาปูนโบกไปตรงกลาง อารมณ์เหมือนทำกรอบรูปเลย
และคงเป็นเพราะที่นี่เป็นจุดขายของเมือง
ชาวบ้านแต่ละบ้านก็จะพากันประดับประดาบ้านตัวเองด้วยกระถางไม้ดอกสีสันสดใส สวยหวานไปหมด
นับเป็นอีกบริเวณหนึ่งที่ผู้มาเยือนเมืองนี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงค่ะ
และแล้วพวกเราก็ฆ่าเวลากันสำเร็จลุล่วงตามความตั้งใจ ได้เวลาลากกระเป๋ากลับไปที่สถานีรถไฟกันอีกครั้ง เพราะบริษัทรถเช่าที่หนูเล็กจองผ่านทางอินเตอร์เน็ตไว้นั้นอยู่ด้านนอกอาคารติดๆ กับสถานีรถไฟนั่นเอง เมื่อถือเอกสารเข้าไปติดต่อใช้เวลาเพียงไม่นานพ่อหนุ่มร่างใหญ่ใจดีก็พาพี่ใหญ่ หนูเล็ก และ "คุณพี่ออ" หนึ่งในลูกทัวร์ที่ ณ บัดนี้จะกลายมาเป็นพนักงานขับรถยนต์มือวางอันดับเดียวของทัวร์เราไปเอารถที่อาคารจอดรถใกล้ๆ นี้กัน
หนูเล็กขอแนะนำให้รู้จักมักจี่วีรกรรมของ "คุณพี่ออ"
ลูกทัวร์คนแรกผู้ที่ได้รับการปรับตำแหน่งจากลูกทัวร์มาเป็นพนักงานขับรถยนต์สักนิด
ต้องนับว่าพี่ใหญ่และหนูเล็กมีความอาจหาญชาญชัยมากที่มอบตำแหน่งอันสำคัญยิ่งนี้ให้แก่คุณพี่ท่าน
เพราะท่านไม่มีและไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการขับรถยนต์พวงมาลัยซ้ายหรือการขับรถในยุโรปเลยแม้แต่น้อย
ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ถ้าไม่แน่ใจย้อนกลับไปอ่านใหม่ได้อีกครั้ง
แต่ที่มาที่ไปสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้มีค่ะ
การเดินทางท่องเที่ยวของพี่ใหญ่และหนูเล็กครั้งนี้
เป็นการทัวร์กลุ่มเล็กๆ ที่ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ไม่มากก็น้อย
พี่ใหญ่และหนูเล็กนั้นเป็นผู้ร่วมก่อการ วางแผนการเดินทาง จัดเตรียมทุกสิ่งก่อนการเดินทางมาไว้พร้อมแล้ว
และเมื่อมาถึงเราสองคนก็จะพาเที่ยว พาทัวร์ จัดการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
ส่วนสมาชิกร่วมทริปเมื่อเดินทางมาถึงจะได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบตายตัวคนละอย่างตามความถนัด
และคาดว่าจะถนัดที่สุด ส่วนหน้าที่อื่นๆ นั้นจะมอบหมายเป็นครั้งคราวไป
ดังนั้น หน้าที่การขับรถจากเดิมที่หนูเล็กจะต้องเป็นคนขับและพี่ใหญ่เป็นเนวิเกเตอร์
จึงจำต้องเปลี่ยนมือให้คุณพี่ออผู้มากประสบการณ์บนท้องถนนในกรุงเทพฯ ได้มาฝึกปรือฝีมือในสนามยุโรปสัก 3 วัน
หากบททดสอบนี้ผ่าน พี่ใหญ่กับหนูเล็กก็เตรียมแผนสำหรับทริปต่อไปได้ง่ายแล้วละที่นี้
เห็นไหมคะว่าการตัดสินใจนี้มีที่มา ส่วนลูกทัวร์คนอื่นๆ หนูเล็กจะค่อยๆ เล่ารายละเอียดสอดแทรกในตอนถัดๆ ไปค่ะ
เมื่อได้รับรถ Citron Picasso คันที่จองไว้เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งเศส
พี่ใหญ่ให้คุณพี่ออสร้างความคุ้นเคยกับรถด้วยการขับวนบนลานจอด
ซึ่งกว่าจะคุ้นก็ปาไป 20 รอบ ก่อนที่เราสองคนจะตัดสินใจว่า พอเถิด
ถ้ามัวแต่วนอยู่อย่างนี้ดูท่าว่าพวกเราอาจเวียนหัวหน้ามืดก่อนจะได้เดินทางเป็นแน่
ดังนั้น ระดับเราต้องหลักสูตรเร่งรัดค่ะ พาออกถนนใหญ่กันเลย ประสบการณ์จะมาเองเมื่อเจอกับสถานการณ์จริง
อันนี้ตำราของพวกเราเอง มีพี่ใหญ่กับหนูเล็กช่วยกำกับและเป็นเนวิเกเตอร์ให้ยังไงก็ไปรอดแน่นอน (มั๊งคะ)
เมื่อลงจากอาคารจอดรถและรอรับลูกทัวร์อีกสองคนพร้อมสัมภาระขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย
ก็ได้เวลาตั้ง GPS ให้จุดหมายปลายทางของค่ำนี้อยู่ที่ Colmar
เราออกเดินทางโดยใช้ทางหลวงหมายเลข A35 ซึ่งถ้าตามแผนแล้วจะใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที ไม่รวมหลงทาง
ซึ่งอันนั้นเป็นปกติและพวกเราเตรียมใจรอไว้แล้วว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้นเข้าไปอีก
ไม่เป็นไรค่ะ ใจร่มๆ ต้องให้เวลา พขร. คุ้นเคยกับรถบ้าง
ส่วนจะต้องใช้เวลากันเท่าใด โปรดติดตามต่อไปได้เลยค่ะ รับรองเป็นอย่างที่คิดแน่นอนค่ะ (ฮา...)
การผจญภัยรูปแบบใหม่ของพวกเราบนแผ่นดินฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
มาติดตามกันว่าพนักงานขับรถมือใหม่หัดขับคนนี้จะพาพวกเราไปถึงที่หมายได้รอดปลอดภัยดีหรือไม่ ใ
นขณะที่ฟ้าฝนก็ไม่ยอมเป็นใจเริ่มตกพรำๆ มาอีก ความยุ่งยากในการเดินทางของเราจึงเพิ่มมากขึ้นไปอีกระดับ
คืนนี้จะได้นอนยังที่พักที่จองไว้ หรือจะได้นอนในรถริมถนนตรงไหน รอติดตามกันต่อไป
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.56 น.