จากตอนที่แล้ว หนูเล็กติดค้างไฮไลต์สำคัญของ Strasbourg เอาไว้

https://th.readme.me/p/5004

เที่ยวต่อกันดีกว่าค่ะ

ถ้ามา Strasbourg แล้วไม่มาที่นี่ ต้องบอกไว้เลยว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ถ้าคิดจะมาเยือนเมืองนี้ โปรดบรรจุสถานที่แห่งนี้ไว้ในแผนในบัดดล อย่าได้หลงลืมเป็นเด็ดขาด นี่เป็นคำเตือน ไม่ใช่คำขู่ แหะๆ

พี่ใหญ่สมัครใจเป็นคนเฝ้ากระเป๋าให้หนูเล็กและลูกทัวร์เข้าไปชมด้านในกัน ถ้าลองลากกระเป๋าเดินเข้าไปเป็นทิวแถวคงได้โดนไล่ออกมากันทั้งกลุ่มเป็นแน่แท้ ไปค่ะ ตามหนูเล็กเข้าไปด้านในกันก่อนเลย งานนี้ฟรีค่ะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร


สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่กลางลานจัตุรัส Place de la Cathédrale ที่เราจะต้องแหงนหน้ามองจนคอแทบหักนี้ก็คือ

Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg หรือ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งสตาร์ซบูรก์

(Cathédrale Notre-Dame-de-Strasbourg) แปลได้ว่า Cathedral of Our Lady of Strasbourg

เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่งดงามที่สุดแห่งหนี่ง โดยมีสถาปนิกชาวเยอรมนี ชื่อ Erwin von Steinbach

เป็นผู้ดูแลการออกแบบและก่อสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1277 จนถึง ค.ศ. 1318

ตัววิหารเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ (Romanesque) ผสมแบบโกธิค (Gothic) ตอนปลาย

ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างจากหินทรายสีชมพูอมแดง ภายนอกตัววิหารแสดงลวดลายวิจิตร

ที่ประกอบด้วยรูปนักบุญและบุคคลสำคัญเป็นจำนวนมาก ซุ้มประตูทางเข้าก็ประดับประดาด้วยรูปนักบุญองค์ต่างๆ

เคยได้รับการบันทึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 142 เมตร

ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดอันดับที่ 6 ของโลก

และสูงที่สุดเป็นอันดับสองรองจากมหาวิหาร Rouen ในแคว้นนอร์มังดี

และยังถือเป็นวิหารที่สูงที่สุดที่สร้างในยุคกลางที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบัน มหาวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

โดยองค์การยูเนสโก ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมปีละประมาณ 4 ล้านคน

โดยถือเป็นมหาวิหารที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมต่อปีมากที่สุดรองจากมหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส

ในช่วงคริสศตวรรษที่ 11 ถึงคริสต์ศตวรรษ เคยเป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก

แรกเริ่มเดิมทีเป้าหมายในการสร้างมหาวิหาร ต้องการสร้างยอดมหาวิหารสองข้าง

แต่เนื่องจากในครั้งแรก สร้างแล้วตัวโบสถ์ใหญ่นี้ เกิดทรุดจึงต้องระงับการสร้างอีกยอดไป เป็นเอกลักษณ์จนถึงทุกวันนี้


ห้องโถงใหญ่ของมหาวิหารนี้ สร้างเป็นรูปเรือลำใหญ่ (The navf - La nef) หมายถึง การเดินทางของชีวิต

ผนังทั้งหมดก่อด้วยหินอ่อนเป็นลวดลายที่ยังคงความงดงาม

ความตระการตามาจากกระจกสีที่บอกเล่าเรื่องราวทางคริสตศาสนา

และ Rose window กระจกสีรูปวงกลมใหญ่ ซึ่งหมายถึง โลกและพระอาทิตย์ ประดับด้วยกระจกสีรุ้ง

ที่เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาทำให้ภายในดูมีชีวิตชีวา สดใส มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก


สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเข้าไปด้านในมหาวิหาร คือการเดินเข้าไปที่ด้านในสุด

เพราะที่นี่จะมี นาฬิกาดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ (Astronomical Clock - L'Horloge Astronomique)

ที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1547 โดยช่างมีฝีมือชาวสวิส นับเป็นผลงานที่มาจากการผสมผสานระหว่าง ศิลปิน ผู้ออกแบบ

นักคณิตศาสตร์ และนายช่างด้านเครื่องจักร แต่ก็ไม่ได้ใช้งานจนกระทั่งนาย Jean-Baptiste Schwilgue ได้ซ่อมแซม

และนำมาใช้ใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ.1840 โดยจะบอกเวลาทั้งในแบบธรรมดาคือ ทุกๆ 15 นาที

จะมีรูปมนุษย์ในช่วงชีวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา ออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก

ส่วนชั้นบนจะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ ออกมาเดิน 1 คน


แต่ในเวลา 12.30 น. ของทุกวัน จะมีการบอกเวลาแบบพิเศษ นั่นคือจะมีการบอกเวลาที่นานกว่าปกติ

ด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องจักรกลที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้าและมอเตอร์ใดๆ

มีแต่กลไกด้านฟันเฟืองและกลจักรที่ออกแบบในอดีตได้อย่างน่ายกย่องความคิดความสามารถของนายช่างในยุคนั้น

ที่ความเจริญยังไม่มากมายอย่างทุกวันนี้จริงๆ

พอนาฬิกาถึงเวลา 12.30 น. จะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้ง 12 คนออกมาเดินพาเหรด ผ่านหน้าพระเยซู

ทิ้งระยะสักครู่หนึ่งวนเวียนไป สลับกับเสียงไก่ขัน และเสียงระฆังประมาณ 3 ครั้ง

และในขณะเดียวกันชั้นต่ำลงมา รูปมนุษย์ในช่วงชีวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา

จะออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก ความเงียบของโบสถ์จะทำให้ได้ยินเสียงก้องกังวาน

ไปทั่วทั้งโบสถ์และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าอัศรรย์ในภูมิปัญญาของผู้สร้างสร้างนาฬิกานี้มา

น่าเสียดายที่หนูเล็กไม่อาจอยู่คอยจนถึงเวลา 12.30 น. เพราะนั่นอีกตั้งชั่วโมงกว่า

เรายังต้องไป "ฆ่าเวลา" กับส่วนอื่นๆ ของ Strasbourg อีกหลายแห่ง จึงอดชมการบอกเวลาแบบพิเศษไป

นอกจากนี้หากต้องการขึ้นไปชมวิวของเมืองจากด้านบนของมหาวิหารสามารถไต่บันไดขึ้นไปด้านบนได้

ก็แค่เพียง 332 ขั้น เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร และมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย

แต่สำหรับหนูเล็กและทัวร์ของเราไม่ได้ต้องการวิวมุมสูงมากขนาดนั้นก็เลยไม่ขอขึ้นค่ะ เน้นแนวราบเป็นหลักดีกว่า


หนูเล็กผู้หลงไหลในความงดงามอลังการของโบสถ์ก็เป็นเหมือนเคย

เดินวนเวียนชมทุกจุดอย่างละเมียดละไม เก็บภาพกระจกสีและ Rose window ไว้ทุกบานด้วยความรู้สึกชื่นชมในฝีมือ

และไม่เพียงแต่ด้านในที่สวยงามหมดจด ด้านนอกของมหาวิหารเองก็เถิด

ให้นึกแปลกใจว่าคนในยุคโบราณเอาความสามารถมาจากไหน

ถึงได้แกะสลักหินให้เป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ให้งดงามอ่อนช้อย สีหน้า ท่าทาง ผ้าผ่อน อะไรจะเหมือนจริงได้ขนาดนี้

ไม่น่าเชื่อจริงๆ สมแล้วกับความยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ก็อยากมาเห็นสักครั้ง

ไม่เสียเที่ยวเลยที่ได้มาเยือนที่นี่แม้จะเป็นเพียงเมืองทางผ่านก็ตามที


หลังจากชื่นชมกับความงดงามของมหาวิหารกันไปอย่างเต็มอิ่มแล้ว

พวกเราพากันเดินลากกระเป๋าเดินย้อนกลับไปยัง Place Gutenberg เพื่อชมเมืองไปเรื่อยๆ

และหาทางมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่ยังไม่ถึง นั่นคือ Petite France

วันนี้ผู้คนค่อนข้างมากมายเต็มท้องถนนเพราะเป็นวันหยุดทำให้ไม่เพียงมีนักท่องเที่ยว

ยังมีชาวเมืองออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอีก เมื่อเดินจาก Place Gutenberg มาตามถนนชื่อย๊าว ยาว

Rue du Vieux Marche' aux-Poissons เพื่อมาชมวิวริมแม่น้ำ L'ill ที่ไหลผ่านล้อมส่วนที่เป็นเมืองเก่าเอาไว้


สตราสบูร์ก (Strasbourg) ถูกบันทึกให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านมนุษยชาติขององค์การยูเนสโก

เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นอัลซาส (Alsace) แห่งฝรั่งเศส เป็นเมืองที่เรียกได้ว่ามี 2 วัฒนธรรม

คือ ฝรั่งเศสและเยอรมัน เนื่องจากผลัดกันอยู่ภายใต้การปกครองของ 2 ประเทศนี้สลับกันไปมา

ที่นี่ยังเป็นเมืองมหาวิทยาลัยดังอีกด้วย เกอร์เธ่ (Goethe) กวีเอกก็เคยศึกษาที่นี่

หลังจากนั่งรับแดดอุ่นๆ ชมวิวริมน้ำกันสักพักพวกเราก็เดินย้อนกลับไปยังถนน Rue de la Douane

นั่นเป็นเพราะเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาแอบเมียงมองไว้แล้วว่าบนถนนเส้นนี้มีตลาดนัด

แหม...สีสันชาวเมืองแบบนี้พลาดได้ที่ไหน แวะไปชมเป็นขวัญตาน่าสนุกดีออกค่ะ

ลองไปชมบรรยากาศที่หนูเล็กเก็บมาฝากดูค่ะ


จากนั้นพี่ใหญ่ก็พาเราสู่เป้าหมายสุดท้ายของนักฆ่า (เวลา) นั่นคือ Petite France

บริเวณนี้นับเป็นเขตเมืองเก่าที่มีคูคลองเชื่อมต่อกันไปหลายจุด

มีสะพานเล็กๆ แอบตัวอยู่หลายที่ มีบ้านเรือนสไตล์เก่าๆเรียงตัวกันไปตลอดแนวคลอง

แต่ที่เก๋กู้ดก็คือ ลักษณะบ้านจะมีเอกลักษณ์ของแคว้น Alsace อยู่ ลักษณะที่ว่าก็คือบ้านกรอบไม้ค่ะ

คือ ตีกรอบไม้ไว้ก่อน แล้วค่อยเอาปูนโบกไปตรงกลาง อารมณ์เหมือนทำกรอบรูปเลย

และคงเป็นเพราะที่นี่เป็นจุดขายของเมือง

ชาวบ้านแต่ละบ้านก็จะพากันประดับประดาบ้านตัวเองด้วยกระถางไม้ดอกสีสันสดใส สวยหวานไปหมด

นับเป็นอีกบริเวณหนึ่งที่ผู้มาเยือนเมืองนี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงค่ะ


และแล้วพวกเราก็ฆ่าเวลากันสำเร็จลุล่วงตามความตั้งใจ ได้เวลาลากกระเป๋ากลับไปที่สถานีรถไฟกันอีกครั้ง เพราะบริษัทรถเช่าที่หนูเล็กจองผ่านทางอินเตอร์เน็ตไว้นั้นอยู่ด้านนอกอาคารติดๆ กับสถานีรถไฟนั่นเอง เมื่อถือเอกสารเข้าไปติดต่อใช้เวลาเพียงไม่นานพ่อหนุ่มร่างใหญ่ใจดีก็พาพี่ใหญ่ หนูเล็ก และ "คุณพี่ออ" หนึ่งในลูกทัวร์ที่ ณ บัดนี้จะกลายมาเป็นพนักงานขับรถยนต์มือวางอันดับเดียวของทัวร์เราไปเอารถที่อาคารจอดรถใกล้ๆ นี้กัน


หนูเล็กขอแนะนำให้รู้จักมักจี่วีรกรรมของ "คุณพี่ออ"

ลูกทัวร์คนแรกผู้ที่ได้รับการปรับตำแหน่งจากลูกทัวร์มาเป็นพนักงานขับรถยนต์สักนิด

ต้องนับว่าพี่ใหญ่และหนูเล็กมีความอาจหาญชาญชัยมากที่มอบตำแหน่งอันสำคัญยิ่งนี้ให้แก่คุณพี่ท่าน

เพราะท่านไม่มีและไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการขับรถยนต์พวงมาลัยซ้ายหรือการขับรถในยุโรปเลยแม้แต่น้อย

ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด ถ้าไม่แน่ใจย้อนกลับไปอ่านใหม่ได้อีกครั้ง

แต่ที่มาที่ไปสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้มีค่ะ

การเดินทางท่องเที่ยวของพี่ใหญ่และหนูเล็กครั้งนี้

เป็นการทัวร์กลุ่มเล็กๆ ที่ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ไม่มากก็น้อย

พี่ใหญ่และหนูเล็กนั้นเป็นผู้ร่วมก่อการ วางแผนการเดินทาง จัดเตรียมทุกสิ่งก่อนการเดินทางมาไว้พร้อมแล้ว

และเมื่อมาถึงเราสองคนก็จะพาเที่ยว พาทัวร์ จัดการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง

ส่วนสมาชิกร่วมทริปเมื่อเดินทางมาถึงจะได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบตายตัวคนละอย่างตามความถนัด

และคาดว่าจะถนัดที่สุด ส่วนหน้าที่อื่นๆ นั้นจะมอบหมายเป็นครั้งคราวไป

ดังนั้น หน้าที่การขับรถจากเดิมที่หนูเล็กจะต้องเป็นคนขับและพี่ใหญ่เป็นเนวิเกเตอร์

จึงจำต้องเปลี่ยนมือให้คุณพี่ออผู้มากประสบการณ์บนท้องถนนในกรุงเทพฯ ได้มาฝึกปรือฝีมือในสนามยุโรปสัก 3 วัน

หากบททดสอบนี้ผ่าน พี่ใหญ่กับหนูเล็กก็เตรียมแผนสำหรับทริปต่อไปได้ง่ายแล้วละที่นี้

เห็นไหมคะว่าการตัดสินใจนี้มีที่มา ส่วนลูกทัวร์คนอื่นๆ หนูเล็กจะค่อยๆ เล่ารายละเอียดสอดแทรกในตอนถัดๆ ไปค่ะ


เมื่อได้รับรถ Citron Picasso คันที่จองไว้เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งเศส

พี่ใหญ่ให้คุณพี่ออสร้างความคุ้นเคยกับรถด้วยการขับวนบนลานจอด

ซึ่งกว่าจะคุ้นก็ปาไป 20 รอบ ก่อนที่เราสองคนจะตัดสินใจว่า พอเถิด

ถ้ามัวแต่วนอยู่อย่างนี้ดูท่าว่าพวกเราอาจเวียนหัวหน้ามืดก่อนจะได้เดินทางเป็นแน่

ดังนั้น ระดับเราต้องหลักสูตรเร่งรัดค่ะ พาออกถนนใหญ่กันเลย ประสบการณ์จะมาเองเมื่อเจอกับสถานการณ์จริง

อันนี้ตำราของพวกเราเอง มีพี่ใหญ่กับหนูเล็กช่วยกำกับและเป็นเนวิเกเตอร์ให้ยังไงก็ไปรอดแน่นอน (มั๊งคะ)

เมื่อลงจากอาคารจอดรถและรอรับลูกทัวร์อีกสองคนพร้อมสัมภาระขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย

ก็ได้เวลาตั้ง GPS ให้จุดหมายปลายทางของค่ำนี้อยู่ที่ Colmar

เราออกเดินทางโดยใช้ทางหลวงหมายเลข A35 ซึ่งถ้าตามแผนแล้วจะใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที ไม่รวมหลงทาง

ซึ่งอันนั้นเป็นปกติและพวกเราเตรียมใจรอไว้แล้วว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้นเข้าไปอีก

ไม่เป็นไรค่ะ ใจร่มๆ ต้องให้เวลา พขร. คุ้นเคยกับรถบ้าง

ส่วนจะต้องใช้เวลากันเท่าใด โปรดติดตามต่อไปได้เลยค่ะ รับรองเป็นอย่างที่คิดแน่นอนค่ะ (ฮา...)


การผจญภัยรูปแบบใหม่ของพวกเราบนแผ่นดินฝรั่งเศสเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

มาติดตามกันว่าพนักงานขับรถมือใหม่หัดขับคนนี้จะพาพวกเราไปถึงที่หมายได้รอดปลอดภัยดีหรือไม่ ใ

นขณะที่ฟ้าฝนก็ไม่ยอมเป็นใจเริ่มตกพรำๆ มาอีก ความยุ่งยากในการเดินทางของเราจึงเพิ่มมากขึ้นไปอีกระดับ

คืนนี้จะได้นอนยังที่พักที่จองไว้ หรือจะได้นอนในรถริมถนนตรงไหน รอติดตามกันต่อไป


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.56 น.

ความคิดเห็น