จากความเดิมตอนที่แล้ว
เราหมดเวลากับปารีสแล้วจริง ได้เวลาผจญภัยกับพี่ใหญ่และหนูเล็กกันต่อแล้วค่ะ
พี่ใหญ่นัดลูกทัวร์ทุกคนพร้อมออกเดินทางในเวลาตีห้า
จะเป็นเพราะเราจะอำลาปารีสหรือไรกัน ปารีสจึงร่ำไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า
เล่นเอาบรรยากาศนอก Hostel เปียกแฉะเสียแต่เช้ามืด
เอาเถอะน่ะรอบนี้เวลามีน้อยใช้สอยประหยัด โอกาสหน้าพี่จะมาหาใหม่
ว่าแล้วก็เดินลากกระเป๋าตากฝนพรำๆ เดินขึ้นเนินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Place d' Italie
ตามที่เราได้ทำการซ้อมใหญ่ไว้แล้วเมื่อวานนี้ ซึ่งอาจทำเวลาได้แย่กว่าเมื่อวานเล็กน้อยด้วยฟ้าฝนดันมาพร่างพรมไม่ยอมหยุด
จะมาอาลัยอะไรกันเวลานี้ พี่ไม่เข้าใจ
หลังจากเดินกันมาครู่ใหญ่ก็พาร่างอันเปียกปอนได้ที่มาถึงที่หมายดังตั้งใจ
แต่เวลาที่ทำน่าจะดีเกินไป รถไฟใต้ดินสาย 5 ขบวนแรกจะออกอีกทีก็ในอีกสิบห้านาทีถัดไป ดังนั้น รอกันไปก่อน
พร้อมอย่างนี้ไว้ก่อนสบายใจกว่า เมื่อได้เวลาที่กำหนดรถไฟก็ออกเดินทาง ใช้เวลาเพียง 17 นาที
พวกเราห้าคนก็มาถึงที่หมายที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็พากันลากกระเป๋าเดินทางมายังสถานีรถไฟ SNCF
ตามที่ได้มาออกตั๋วเตรียมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน
รอเวลาที่รถไฟใต้ดินสาย 5 จะออกเดินทางค่ะ
มาถึง Gare de L'Est กันเรียบร้อย
ตั๋วเดินทางพร้อม
บนหน้าตั๋วจะให้ข้อมูลการเดินทางทุกสิ่งไว้หมดยกเว้นชานชาลาที่เราจะต้องรอดูที่หน้าจอในสถานีว่า
ขบวนดังกล่าวจะเข้าเทียบที่ชานชาลาใด รายละเอียด คือ จาก Paris ไปยัง Strasbourg
โดยรถไฟขบวน TGV2363 ออกเดินทางเวลา 06.55 น. ไปถึง Strasbourg ในเวลา 09.14 น.
classe 2 ก็คือที่นั่งชั้น 2 Voiture 18 ก็คือ ตู้ 18
และตอนจองหนูเล็กก็เลือกที่นั่งมาเป็นที่เรียบร้อยซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มแต่อย่างใด
เมื่อหน้าจอขึ้นว่ารถไฟ TGV2363 จะเข้าเทียบชานชาลาใด
เราก็ต้องเอาบัตรเราไปทำการ validate ที่เครื่องอ่านบัตรสีเหลืองก่อนขึ้นขบวนรถเพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าหน้าที่บนรถตรวจสอบ
จะลืมไม่ได้เลยไม่เช่นนั้นจะเสียค่าปรับ และที่สำคัญจะไปขึ้นขบวนรถช้าไม่ได้
เพราะขบวนรถจะเข้าเทียบชานชาลาก่อนเวลาออกเดินทางประมาณ 15 นาทีไม่เกินนี้ ต้องดูตู้ให้ถูกต้องก่อนขึ้น
เมื่อขึ้นไปก็เอาสัมภาระไปไว้ตรงพื้นที่วางสัมภาระ ไปหาที่นั่งตามที่จองไว้ นั่งให้ถูกไม่งั้นต้องมีลุกขึ้นให้ได้อับอาย
เพียงชั่วครู่เดียวรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลา นั่นหมายถึงว่า การผจญภัยของพวกเราเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว
เครื่องอ่านบัตรก่อนขึ้นเครื่อง ห้ามลืมโดยเด็ดขาดค่ะ
รอเวลาค่ะ
ชมบรรยากาศของสถานีไปพลางๆ
รถไฟเทียบชานชาลาแล้วค่ะ พี่ใหญ่เดินนำลูกทัวร์ลิ่วเลย
เมื่อถึงตู้ของเราก็เก็บสัมภาระเข้าที่ก่อนไปนั่งค่ะ
ขบวนรถที่เรานั่งไปนี้ไปสุดสายที่ Colmar แต่เราลงกันก่อนที่ Strasbourg
ดังนั้น ก็ต้องเตรียมตัวลงก่อนไม่ใช่นั่งเพลินจนสุดสาย
วิวสองข้างทางส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าและทุ่งดอกเรฟ (rapeseeds) ที่นำไปทำน้ำมันดอกคาโนลา
มองไปทางใดก็จะเห็นแต่สีเหลืองกว้างสุดลูกหูลูกตา
หนูเล็กกับพี่ใหญ่เพลิดเพลินกับวิวสองข้างทางแม้ว่าจะมีแต่ภาพเดิมๆ ซ้ำๆ ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
หันมามองอีกทีลูกทัวร์พากันหมดสติสลบไสลไปกันเสียแล้ว
คงเพราะโปรแกรมวันนี้นัดหมายกันแต่เช้าตรู่และวิวสองข้างทางก็เป็นอย่างที่เล่า
เหล่าลูกทัวร์จึงพากันเล่นเกมซ่อนตาดำกันไปเสียหมด
มาชมบรรยากาศบนรถกันบ้าง แม้ว่าจะเป็นรถไฟชั้นสองแต่ก็ได้รับความสะดวกสบายเป็นอย่างดี
มีโต๊ะตรงกลางให้รับประทานอาหารว่างได้สบายๆ ทุกตู้จะมีหน้าจอบอกว่า
เรานั่งอยู่ตู้ที่เท่าใด รถวิ่งจากที่ใดไปที่ใด ตอนนี้วิ่งถึงไหน จะหยุดที่ใดบ้าง
ความเร็วที่ใช้อยู่ในขณะนี้กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเห็นความเคลื่อนไหวในการเดินทางได้ตลอดเวลา
และเมื่อใกล้เวลา 09.00 น. พวกเราและนักท่องเที่ยวหลายๆ คนก็เริ่มลุกไปตระเตรียมสัมภาระ
เพื่อเตรียมตัวลงที่ Strasbourg ซึ่งจะถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
และแล้วรถไฟก็จอดยังสถานี Gare de Strasbourg ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้เป๊ะคือเวลา 09.14 น.
เมื่อลงมาได้ทุกคนพากันยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้า หลังการเดินทางราวสองชั่วโมงเศษ
มาถึง Strasbourg แล้วค่ะ
ขบวนนี้เดินทางต่อไปยัง Colmar
ภายในอาคารสถานี
ที่เรามายัง Strasbourg มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ
สำหรับประการแรกนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วคือการเที่ยวสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจซึ่งจะว่าไปก็อาจเป็นจุดมุ่งหมายแอบแฝง
เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือ เรานัดจะรับรถเช่าสำหรับการขับเที่ยวในวันถัดๆไปกันที่เมืองนี้
ซึ่งนัดหมายไว้ในเวลาบ่ายสองโมง ตั้งใจว่าเที่ยวกันให้เสร็จก่อนแล้วจึงค่อยรับรถ
จากนั้นก็จรลีไปยังที่พักที่จองไว้ที่เมืองถัดไป
ดังนั้น นับแต่เวลานี้คือเก้าโมงกว่าพวกเราจะสวมวิญญาณ "นักฆ่า" พากัน "ฆ่าเวลา" เพื่อรอรับรถตอนบ่ายสองโมง
ส่วนเราจะฆ่าอะไรบ้างนั้น โปรดติดตาม อย่าได้กระพริบตา (โหดจริงไรจริง)
การเดินเที่ยว Strasbourg ง่ายมาก แค่ออกจากสถานีรถไฟก็เดินตรงไปอย่างเดียวเลย
ผ่านสวนสาธารณะกว้างๆ ผ่านจัตุรัส Place de la Gare ก็จะมาถึงถนน Rue du Maire Kuss
ที่ ณ วันนี้มีบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่ยิ่งสำหรับหนูเล็ก
จะอะไรเสียอีก ก็วันนี้เป็นวันเสาร์จึงมีตลาดนัดเปิดท้ายขายของแบบที่เมืองนอกเขาเรียกกันว่า Flea market
หรือแปลแบบง่ายๆ ว่า ตลาดเห็บหมัด ก็คือใครมีอะไรเหลือใช้ในบ้านก็เอามาขายราคาถูก
สินค้ามีทั้งสภาพดี สภาพไม่ดี กลางเก่ากลางใหม่ ร้านพวกนี้เหมาะกับผู้ซื้อที่ตาถึง
เพราะมักจะมีสินค้าที่ เรียกว่าเป็น "เพชรในตม" ซุกซ่อนอยู่ในนั้น
การเดินเล่นบนถนนนี้สร้างความสนุกสนานให้พวกเรามาก ชะโงกดูร้านโน้นร้านนี้กันไม่รู้เบื่อ
แม้ว่าจะต้องลากกระเป๋าเดินทางไปด้วยความยากลำบากอยู่บ้าง
เดินตรงไปเลยค่ะ
ตลาด Flea market สีสันแบบนี้ละ ของโปรดหนูเล็กเลย
สำหรับคนอื่นหนูเล็กไม่รู้หรอกว่าตื่นตาตื่นใจหรือสนุกสนานเพราะอะไรแค่ไหน
แต่สำหรับหนูเล็กแล้ว การได้มาเจอตลาดแบบนี้นับเป็นโชคดีที่สุดอย่างหนึ่งในการมาเที่ยว
เพราะทำให้เราได้พบปะกับวิถีชีวิตที่แท้จริงของผู้คนในสังคมนั้นๆ นับเป็นสีสันที่หาได้ยากยิ่ง
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่นำมาวางขายแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตผู้คนในสังคม
มันบ่งบอกอะไรได้มากมาย น่าเสียดายที่ไม่อาจหยิบฉวยสินค้าอะไรติดไม้ติดมือมาได้
จะว่าไปไม่มีโอกาสพิรี้พิไรหยิบจับดูเสียด้วยซ้ำ ก็ไหนจะต้องดูแลกระเป๋าเดินทางที่ลากกันอยู่
และนี่ก็เพิ่งเริ่มต้นทริปของพวกเรา จะแบกจะหามอะไรต่อมิอะไรกันไปดูท่าคงไม่ไหว
หนูเล็กจึงได้แต่เมียงมองถ้วยชามรามไหสวยๆ มากมายให้ผ่านไปและผ่านไปด้วยความเสียดาย
หลังจากเดินถูลู่ถูกังกับกระเป๋าเดินทางโดยพลาดที่จะได้ดูสินค้ามือสองคุณภาพค่อนข้างดีหลายอย่าง
ไปอย่างน่าเสียดายมาเรื่อยๆ เราก็เดินมาถึงสะพาน Pont Kuss ซึ่งเป็นสะพานข้ามคลอง Fosse' du Faux-Rempart
ที่บรรยากาศเงียบสงบน่านั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด แต่พวกเรายังเปี่ยมพลังมากมาย
ขอเดินลากกระเป๋าเดินทางเที่ยวกันต่อก่อนดีกว่า ที่ Strasbourg มีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง
ขอพาลูกทัวร์เดินเลาะเลียบเป็นพระยาน้อยชมเมืองกันไปก่อน เดี๋ยวลูกทัวร์จะว่าเอาได้
ส่วนที่เป็นไฮไลต์จะขอเอาไว้ตอนหลัง
เมื่อข้ามคลองมาจะเจอกับ Place Saint-Pierre-le-Vieux เป็นจัตุรัสที่ตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์ชื่อเดียวกัน
เป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะและสถาปัตยกรรมของเมือง เริ่มแรกเป็นโบสถ์ของนิกาย Lutheran
แต่ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นนิกายคาทอลิค การตกแต่งจึงเป็นศิลปะทั้งสองส่วนผสมผสานกัน
แต่ระดับทัวร์อย่างเราไม่เที่ยวโบสถ์อย่างนี้ค่ะ ต้องเที่ยวโบสถ์ระดับบิ๊กๆ เท่านั้นเดี๋ยวเสียเกรดพี่ใหญ่กับหนูเล็กทัวร์
ดังนั้น จึงแค่ชมในระยะไกล ว่าแล้วก็เดินลากกระเป๋ากันต่อไปทางถนน Grand' Rue
เป้าหมายคือการไปยังบริเวณที่เขาเรียกว่า Petite France เป็นอย่างไรต้องตามไปดูกัน
โบสถ์ Saint-Pierre-le-Vieux
ทางเดินสู่ Petite France
การเดินลากกระเป๋าเดินทางบนทางเดินที่ปูด้วยหินตามถนนในเขตเมืองเก่าแบบที่เรียกว่า Cobber stone
บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องสนุก มันเหมือนมีแรงโน้มถ่วงของโลกที่ขืนแรงแขนของเราที่กำลังลากอยู่ตลอดเวลา
รวมทั้งเสียงรึก็ดังไปตลอดทาง หนูเล็กคนหนึ่งล่ะเป็นพวก "ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด"
จึงไม่ค่อยชอบเสียงอึกทึกครึกโครมนี้เท่าใดนัก จึงลากอย่างช้าๆ จากกระเป๋าล้อลากสี่ล้อ
ก็ลากมันเสียแค่สองล้อ ด้วยความพยายามที่จะให้เสียงมันเบาลงบ้างด้วยความตั้งใจ
พี่ใหญ่เดินนำลูกทัวร์เดินลากกระเป๋าชมเมือง
ตลอดสองข้างทางมีร้านรวงจัดวางสินค้าให้เราได้ใช้กลยุทธ์ "Window shopping" กันอย่างมีความสุข
เพราะแค่ช้อปปิ้งผ่านกระจกแบบนี้ก็เพลิดเพลินพอแล้ว เงินยูโรก็ไม่ต้องไหลออกจากกระเป๋าให้แฟบเสียตั้งแต่ต้นทัวร์
เราเดินกันไปเรื่อยๆ จนไปถึง Place Gutenberg ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมาย
ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ว่ากันว่าแคว้น Alsace มีนกกระสาเป็นสัญลักษณ์
และ Strasbourg ก็เป็นเมืองหลวงของแคว้น ดังนั้น ของฝากและของที่ระลึกประดามี
จึงมีความเกี่ยวพันกับนกกระสาอยู่ด้วยเยอะแยะไปหมด ส่วนที่มาที่ไปนั้นยังค้นคว้าตำราไม่เจอ
หนังสือท่องเที่ยวก็มีขายค่ะ
Place Gutenberg
หนูเล็กพาลูกทัวร์เดินต่อไปทาง Place de la Cathe'drale ไปสะดุดตากับอาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่
เมื่อสืบค้นประวัติดูด้วยความสนใจ จึงพบว่านี่คือ La Maison Kammerzell เป็นบ้านที่สวยที่สุดของเมือง
สร้างขึ้นโดย Martin Braun พ่อค้าขายชีส ในศตวรรษที่ 16 ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นของ Philippe Kammerzell
พ่อค้าผู้ร่ำรวย ในกลางศตวรรษที่ 19 ตอนนี้บ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหารก็จริง
แต่ก็ยังคงบำรุงรักษาตัวบ้านไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ยิ่งถ้าได้เพ่งพินิจพิจารณารายละเอียดของตัวบ้านจะเห็นได้ว่าบ้านมีความงดงามมากจริงๆ
La Maison Kammerzell
บริเวณ Place de la Cathe'drale นี้เป็นที่ตั้งของมหาวิหารสำคัญของเมืองหรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ต้องบอกว่าเป็นมหาวิหารที่สำคัญของยุโรปตะวันตกเลยทีเดียว แต่สำหรับ part นี้ หนูเล็กจะยังไม่พาชม
เพราะมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ขอพาเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งแนะนำให้รู้จักอีกสถานที่หนึ่งก่อน
นั่นคือ Palais Rohan ซึ่งมักได้รับการเรียกขานว่า Versailles in miniature หรือ แวร์ซายจิ๋ว
เป็นวังเก่าที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ 3 แห่งคือ พิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี (Archaeological Museum)
พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Museum of Fine Arts) และพิพิธภัณฑ์มัณฑนศิลป์ (Museum of Decorative Arts)
ดูแค่ทางเข้าก็อลังวังเวอร์เสียเหลือเกินแล้ว แต่ก็เช่นเคยค่ะ อันนี้ไม่ได้บรรจุไว้ในโปรแกรมทัวร์ของพวกเรา
อดใจไว้ก่อนค่ะ part หน้าหนูเล็กจะพาไปชมสิ่งสวยงามระดับโลกแทน
ไว้ตอนหน้า หนูเล็กจะพาชมไฮไลต์สำคัญของที่นี่ค่ะ ...Strasbourg เมืองนี้...สุดท้ายแล้ว คุณอาจจะตกหลุมรัก
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.11 น.