จากความเดิมตอนที่แล้วที่เราได้มานอนในบ้านแบบมินชูกุของคุณยายโยชิโร

https://th.readme.me/p/4847

ที่นอนอุ่นๆ ของคุณยายโยชิโรทำให้ค่ำคืนที่ shirakawago ของหนูเล็กหลับสบายตลอดคืน รวดเดียวก็เช้าเลย

บรรยากาศยามเช้าที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนค่อนข้างเงียบสงบ ไร้ผู้คน

บรรยากาศนี้ทำให้หนูเล็กอดรู้สึกไม่ได้ว่า นี่มัน Golden Week เหรอนี่ ไหงสงบนิ่งได้ขนาดนี้ สุดยอดอ่ะ

หรือเป็นเพราะว่าพวกเราวิ่งหนีกาลเวลากลับมาในอดีตกันแน่


บ้านคุณยายโยชิโรในยามเช้า


เพื่อนร่วมทางทุกคนยังคงหลับสบาย หนูเล็กก็เลยออกเดินเล่นไปรอบๆ แต่เพียงลำพัง

หมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามลำน้ำ Shogawa

ทอดตามแนวสันเขาตั้งแต่เขตจังหวัด Gifu จนถึง Toyama

ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เนื่องจากมีบ้านแบบกัสโช-สึคุริ (Gassho-Zukuri)

ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า “กัสโช" ซึ่งแปลว่า พนมมือ ซึ่งสังเกตได้จากหลังคาของบ้านทุกหลังที่มีความชันถึง 60 องศา

คล้ายๆ กับมือสองข้างที่พนมเข้าหากัน เป็นเพราะเพื่อให้หิมะไหลได้ง่าย ป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่ตกหนักๆ

ตัวบ้านจะมีความยาวราวๆ 18 เมตร กว้าง 10 เมตร

โครงสร้างของบ้านเขาบอกว่าไม่ได้ใช้ตะปูตอกแม้แต่ตัวเดียว อีกทั้งวัสดุต่างๆ ก็ทำมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น

ก็ดูอย่างหลังคานั่นก็มาจากต้นหญ้าที่ปลูกไว้เพื่อใช้มุงหลังคา สามารถรองรับหิมะที่ตกอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี

เมื่อวานนี้เราเข้ามาอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านหลังสำหรับรถที่จะวิ่งเข้าหมู่บ้าน

แต่หากนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางมาจะนั่งรถบัสมาจากเมือง Takayama

เมื่อหนูเล็กเดินอยู่ในหมู่บ้านแล้ว จึงเป็นการเดินย้อนศรกลับออกไปแทน


โทริอิสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากด้านหน้า นัยว่าเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายก่อนเข้าหมู่บ้าน ที่ปิดอยู่นั่นด้านในเป็นพระ

ยังมีซากุระให้ชมอยู่บ้าง

แม่น้ำโชกาวา


ยามเช้าแบบนี้ยังไม่มีรถบัสขนนักท่องเที่ยวมา มีแต่ชาวประมงที่มาตกปลาที่แม่น้ำกันสองสามคน

บรรยากาศภายนอกโล่งๆ แบบนี้ ทำให้สามารถเดินวนดูบริเวณต่างๆ ได้อย่างจุใจ ไม่ต้องมีใครติดมาในกล้อง

จุดบริการนักท่องเที่ยว ร้านค้า และพิพิธภัณฑ์บ้านแบบแบบกัสโช-สึคุริ

ร้านค้าต่างๆ ยังปิดอยู่

ทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านแบบกัสโช-สึคุริ จะมีบ้านแบบต่างๆ ไว้ให้ชม

บรรยากาศโดยรอบ

เดินด้านนอกอย่างเงียบงันคนเดียวนานแล้ว ข้ามสะพานกลับไปเดินด้านในกันบ้าง

ถ้ามารถบัสเดินข้ามสะพานนี้เข้าไป

เขาบอกว่าการมาพักค้างคืนที่นี่ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรกระทำสักครั้ง เพื่อให้ได้สัมผัสบรรยากาศแบบบ้านชาวนา

มีที่พักจำนวนมากที่เปิดให้บริการแบบบ้านคุณยายโยชิโร แต่หากจะพักมากกว่าหนึ่งคืน เขาจะไม่แนะนำให้พักที่เดิม

ควรเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้ได้บรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งราคาถูกและแพง มีบริการเสริมต่างๆ กัน

ตอนที่หนูเล็กจองที่พักผ่านทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

TEL: 05769-6-1013

Fax number: 05769-6-1716

E-mail: [email protected]

http://www.shirakawa-go.gr.jp

เขาจะให้ข้อมูลค่าใช้จ่ายเราดังนี้ค่ะ

budget per person: \8.500 to \10.500 (including tax) to stay at an inn, 2 traditional Japanese meals included

\12.000 and more (including tax) to stay at an hotel, 2 meals included

พร้อมกับให้ข้อมูลที่เราควรทราบในการเลือกที่พักที่เขามีหลากหลายแบบไว้ให้เลือก

A. Minshuku (a traditional Japanese farm house)

Budget per person/night: 8.500 yen to 11.000 yen

Bathroom in each room: no

Rooms are separated by: paper doors. No locks, no keys

Number of rooms: 3-5 rooms

Meals: Japanese

Hot spring: no

B. Ryokan (a traditional Japanese hotel)

Budget per person/night: 10.000 yen to 25.000 yen

Bathroom in each room: yes/no

Rooms are separated by: walls

Number of rooms: 5-17 rooms

Meals: Japanese

Hot spring: yes/no

C. Hotel (a western style hotel)

Budget per person/night: 11.000 ~

Bathroom in each room: yes/no

Rooms are separated by: walls

Number of rooms: 31 rooms

Meals: French

Hot spring: yes

เมื่ออ่านรูปแบบที่พักแต่ละแบบแล้ว ก็เลือกจาก list ของเขาแล้วแจ้งเขาไปได้เลยค่ะว่าต้องการพักที่ไหน

Accommodation information: http://www.shirakawa-go.gr.jp/search/?m=1

โดยระบุชื่อที่พักไปได้เลยค่ะ

ในยามที่ไม่มีนักท่องเที่ยว หมู่บ้านชิราคาวาโกะยังคงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่คงความสงบ

และอบอุ่นราวกับว่าเรายังคงเดินอยู่ในยุคอดีต

บ้านแต่ละหลังต่างทำกิจกรรมภายในบ้านในยามนี้ มีเสียงหุงหาอาหาร มีควันจางๆ เบาๆ ลอยออกมาจากตัวบ้าน

มีเสียงพูดคุยสนทนาภายในครอบครัว บ้านแต่ละหลังมีแปลงนา แปลงผัก

มีวัด Myozenji วัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านสำหรับเป็นศูนย์กลางของชุมชน

การใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ละที่คนเมืองอย่างพวกเราโหยหาและดิ้นรนที่จะมาสัมผัส

หนูเล็กเดินทอดน่องไปรอบๆ หมู่บ้านอย่างอิ่มเอมใจ

เผลอประเดี๋ยวเดียวได้เวลาเจ็ดโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลานัดหมายกับคุณยายโยชิโรไว้ว่าจะเสิร์ฟอาหารเช้าให้เราแล้ว

หนูเล็กก็เลยเดินกลับ เกรงว่าสมาชิกจะรอกันอยู่

ไปถึงที่ห้องอาหาร คุณยายโยชิโรจัดเตรียมสำรับอาหารเช้าวางไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อาหารมื้อเช้าเป็นแบบไคเซกิเช่นเคย เมนูแตกต่างไปจากเมื่อคืนนี้แต่ก็รสชาติอร่อยเช่นเคย

ศิลปะการจัดอาหารแบบไคเซกิแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของชาวญี่ปุ่นเสียจริงๆ

หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบละเมียดละไมเอมอิ่มไปด้วยความสุข

พวกเราก็ได้เวลาเก็บข้าวของอำลาคุณยายโยชิโรกันแล้ว

แม้ว่าอยากจะอ้อยอิ่งใช้ชิวิตแบบสโลว์ไลฟ์อยู่ที่นี่กันแต่ก็ทำไม่ได้ แผนการเดินทางของเรากำหนดไว้แล้ว

อีกทั้งเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เมื่อวานดูท่าวันนี้จะเอาจริง ยังไม่รู้เลยว่าการเดินทางวันนี้จะไปผจญสายฝนกันที่ตรงไหน

เมื่ออำลาคุณยายโยชิโรพร้อมรับของที่ระลึกจากคุณยายเป็นส่วนลดค่าที่พักเล็กน้อย

และกระดาษทิชชูหนึ่งกล่อง?

เมื่อออกจากที่พัก เราก็ออกเดินทางไปยังจุดชมวิวบนเขาที่สามารถมองเห็นหมู่บ้าน Shirakawago ได้ทั้งหมู่บ้าน

ถ้าใครเคยเห็นภาพบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาๆ เหมือนบ้านตุ๊กตา ก็คงพอจะนึกออก

ผ่านร้านค้าแบบนี้ก่อน

แวะซื้อของที่ระลึกกันได้เลย

ออกเดินทางจากหมู่บ้านย้อนนไปที่ทางแยกจะมีทางวนขึ้นเขาไปไม่ไกลนัก

ดูตามป้ายนี้ไปค่ะ

เพียงครู่เดียวเราก็มาถึงจุดชมวิว Shiroyama Viewpoint

เป็นหมู่บ้านในหุบเขาโดยแท้

ภาพบ้านหลังเล็กๆ เบื้องล่างที่ตรึงให้หนูเล็กหยุดนิ่งมองอยู่ชั่วขณะราวกับว่าจะหยุดหายใจ

ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งภาพที่เราเคยเห็นตามโปสเตอร์ เว็บไซต์หรือวารสารท่องเที่ยวต่างๆ จะปรากฏอยู่ตรงหน้าแค่ตาเห็น

ช่างงดงาม น่ารัก เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่สุด


หนูเล็กไม่อยากเชื่อว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จะรักษาเอกลักษณ์ให้คงอยู่เช่นนี้มาได้เป็นระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปี

ได้แต่คิดและภาวนาให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน

แม้ว่าภาพที่มองเห็นก็มีเพียงภาพเดิม แต่ดูเหมือนพวกเราจะคิดตรงกันที่

อยากจะหยุดเวลา ณ เวลานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

แม้จะเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ก็ตาม

เป้าหมายข้างหน้ายังรออยู่ และเมฆฝนก็ตั้งเค้ารอเราอยู่บนเส้นทางด้วยเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อลงจากเขาเราจึงตั้ง GPS ให้นำทางเราไปยัง Takayama เมืองเก่าอีกเมือง

ที่เขาว่านักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดการไปเยือน

ลงเขากันก่อน

ถึงแยกนี้แล้วเลี้ยวขวาออกไป ถ้าตรงไปคือเข้าหมู่บ้านเหมือนเดิม

ออกเดินทางกันต่อค่ะ

เป็นไปตามคาด เมื่อออกจากทาคายามาไปได้ไม่นานเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาก็พากันเทกระหน่ำไม่หยุดยั้ง

และก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไปตลอดเส้นทางจนเราเข้าเขตเมืองทาคายามา


ยังมีน้ำแข็งตลอดสองข้างทาง

แวะริมทางหาอะไรรองท้องกันหน่อย

ที่คือที่เขาโชว์ไว้หน้าร้าน

นี่คือสิ่งที่ได้มา ร้อนๆ รับอากาศวันฉ่ำฝน อร่อยเลยค่ะ


เมื่อไปถึงยังไม่ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักที่ Ayun Takayama Central Hotel ( http://ayun.seishingroup.co.jp/)

เขาจึงเพียงรับเช็คอินไว้และให้เรากลับมาติดต่ออีกครั้งในเวลาบ่ายสามโมง เราเลือกที่นี่เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลย่านเมืองเก่า

จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องขับรถเข้าไปในเมืองอีก พวกเราสามารถเดินจากโรงแรมลัดเลาะไปตามถนนสายหลักของเมือง

ชมร้านรวงสองข้างทางที่ขายสินค้านานาชนิดด้วยเพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว จึงมีสินค้ามากมายให้ได้เลือกซื้อ


7 Eleven ก็ยังตีระแนงให้เข้าบรรยากาศ

เดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับวัด Hida Kokubunji ที่นี่มีต้นแปะก้วยอายุกว่า 1,200 ปี

ที่โดดเด่นน่าจะเป็นเจดีย์สามชั้น

ว่ากันว่าทั้งต้นแปะก้วย เจดีย์ รวมถึงอาคารทรงระฆัง ที่ตั้งอยู่ในเขตวัดนั้น ถูกย้ายมาจากปราสาททาคายามา

ซุ้มเครื่องรางที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของทาคายามา นั่นคือ Surabobo ซึ่งทำด้วยหิน เป็นรูปปั้นเพื่อขอพร

นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสส่วนที่อยากให้ร่างกายแข็งแรงได้ รูปปั้นหินนี้มีรูปร่างคล้ายลิงที่ไม่มีหน้าตา

เป็นเครื่องรางของชาวญี่ปุ่นของชาวฮิดะ ทาคายามา เนื่องจากแต่เดิมคุณแม่จะทำตุ๊กตานี้เพื่อขอพรให้ลูกมีความสุข

มีป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยไว้เรียบร้อย

Surabobo

เข้าไปไหว้พระขอพรที่ด้านในกัน

เมื่อไหว้พระขอพรกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็พากันไปเดินเที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆ

เดาได้เลยว่านั่นเป็นร้านอาหาร

มีร้านค้าตลอดแนวทางเดินทั้งสองฝั่ง

Surabobo ก็จะมีวางขายตลอดเส้นทางเช่นกัน

ที่เก็บเกี้ยวที่ใช้ในงานประเพณีของ Takayama อันโด่งดัง

มีขนมขายตลอดสองข้างทาง

พวกเราไปเดินกันในบริเวณย่านเมืองเก่า เป็นหมู่บ้านโบราณ

ที่อนุรักษ์ไว้ให้คงสภาพเดิมตั้งแต่สมัยเอโดะ (ช่วงปี ค.ศ.1600-1868)

ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมิยากาวา (Miyakawa river) ซึ่งไหลผ่านเมืองทาคายามา

ถนน Sanmachi


นักท่องเที่ยวจะพากันมาเดินบนถนน Sanmachi เพื่อดูบ้านๆ เก่าตีไม้ระแนงที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาวตลอดสองข้างทาง

พื้นที่บริเวณนี้รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นโบราณสถานและเป็นพื้นที่อนุรักษ์

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา จะพากันมาเดินเล่นแถวนี้ เพราะนอกจากจะมีบ้านเก่าๆ ให้ชมแล้ว

ยังมีของที่ระลึกขายมากมาย อีกทั้งยังมีอาหารและขนมหน้าตาน่ากินเยอะแยะตลอดสองข้างทาง

แต่ที่ได้รับความสนใจและต้องลองก็ต้องขนมเซมเบ้ เป็นขนมโบราณของญี่ปุ่น

เป็นข้าวแผ่นอบกรอบ ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง มีกลิ่นหอมเตะจมูก

หนูเล็กเองก็ต้องยอมเสียเงินซื้อมาทานในที่สุด

อาจเพราะเป็นช่วงวันหยุดผู้คนจึงค่อนข้างหนาแน่น

แต่อย่างไรก็ตาม วิธีชมเมืองเก่าของทาคายามาที่ดีที่สุดก็คือการเดิน

แต่ถ้าเดินไม่ไหวและอยากได้ไกด์นำทางก็สามารถใช้บริการรถลากได้

แต่สนนราคาก็เอาการอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็จะพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตเมืองเก่า

จอดแนะนำเล่าประวัติคร่าวๆ ซ้ำร้ายยังช่วยเป็นตากล้องมือดีให้ถ้าเราอยากมีภาพประทับใจตามจุดต่างๆ ที่เขาพาไป

เดินไปสักพักก็ไปถึงสะพานแดง Nakabashi ถือเป็นสะพานสำคัญของเมือง

เนื่องจากทุกปีที่ทาคายามาจะมีเทศกาลใหญ่ประจำปี คือ Takayama Festival

ถือเป็น 1 ใน 3 งานที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของญี่ปุ่น

มีการแห่เกี้ยวที่แต่ละชุมชนต่างจัดทำประดับประดามาประกวดประขันกัน

สะพาน Nakabashi ถือเป็นเส้นทางหลักของเทศกาลที่ทุกขบวนแห่จะต้องมาผ่านเส้นทางนี้

ไม่ไกลกันจะมีศาลเจ้าทาคายามา (Takayama Jinja) เคยเป็นที่ทำการของคณะรัฐบาลในยุคสมัยโชกุนโทคาวะ

แต่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมโดยเสียค่าเข้าชมเล็กน้อย

เขาว่ากันว่าถ้ามาที่ทาคายามา สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการลิ้มรสเนื้อวัวชื่อดัง

นั่นคือ เนื้อฮิดะมาจากโอคุฮิดะ หรือฮิดะทาคายาม่า จังหวัดกิฟุ

เนื่องจากว่าเนื้อของที่นี่ชนะเลิศการประกวดวากิวโอลิมปิกสองปีซ้อน จึงทำให้เนื้อฮิดะดังไม่แพ้เนื้อโกเบ และมัตซึซะกะ

นำมาจากวัวขนดำที่เลี้ยงเป็นอย่างดีในทุ่งหญ้าใกล้กับเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น

ทำให้วัวได้เนื้อที่ดีออกมาให้เรารับประทานกัน

ใครที่มีโอกาสมาเที่ยว ฮิดะทาคายามา จึงควรต้องลิ้มลอง

หนูเล็กและพี่ใหญ่เป็นพวกไม่กินเนื้อวัว แต่เห็นว่าไหนๆ มาถึงที่นี่ขอลองลิ้มสักเล็กน้อยพอให้รู้ก็แล้วกัน

ร้านที่เราไปอุดหนุน เพราะเห็นชาวญี่ปุ่นเดินมาซื้อไม่ได้ขาด

ลองแบบเสียบไม้ย่าง


ก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะเนื้อนั้นนุ่มราวกับว่าจะละลายในปากได้อย่างนั้นเลย

แต่ก็ขอแตกแถวแต่แค่พอให้รู้แล้วกัน คงไม่ถึงกับตบะแตกกลับไปกินเนื้อวัวเป็นล่ำเป็นสันอย่างแน่นอน

หลังจากเดินชมจนหมดแรงและเห็นว่าร้านรวงเริ่มทยอยเก็บข้าวของกันบ้างแล้ว

เราจึงเดินกลับมายังโรงแรมเอาของขึ้นห้องเพื่อไปพักผ่อนกันเสียที โรงแรมนี้มีข้อดีตรงใกล้เมืองเก่า

เดินไปไม่ไกลนัก หรือจะไปสถานีรถไฟก็ไม่เท่าไร พอเดินได้ ราคาก็พอรับไหวกับคุณภาพแบบนี้

มีบริการน้ำแข็งให้ฟรีทุกชั้น สามารถไปกดเอาเองได้เลย

ห้องนอนกว้างๆ สบายๆ


คงต้องจบบันทึกการเดินทางของวันนี้ไว้เท่านี้ พรุ่งนี้ยังมีเป้าหมายรอให้พุ่งชนอีก

อย่าลืมมาเดินทางไปด้วยกันต่อ

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/


Piyai&Noolek

 วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.14 น.

ความคิดเห็น