จากความเดิมตอนที่แล้วที่เราได้มานอนในบ้านแบบมินชูกุของคุณยายโยชิโร
ที่นอนอุ่นๆ ของคุณยายโยชิโรทำให้ค่ำคืนที่ shirakawago ของหนูเล็กหลับสบายตลอดคืน รวดเดียวก็เช้าเลย
บรรยากาศยามเช้าที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนค่อนข้างเงียบสงบ ไร้ผู้คน
บรรยากาศนี้ทำให้หนูเล็กอดรู้สึกไม่ได้ว่า นี่มัน Golden Week เหรอนี่ ไหงสงบนิ่งได้ขนาดนี้ สุดยอดอ่ะ
หรือเป็นเพราะว่าพวกเราวิ่งหนีกาลเวลากลับมาในอดีตกันแน่
บ้านคุณยายโยชิโรในยามเช้า
เพื่อนร่วมทางทุกคนยังคงหลับสบาย หนูเล็กก็เลยออกเดินเล่นไปรอบๆ แต่เพียงลำพัง
หมู่บ้านชิราคาวาโกะเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ตั้งอยู่ในหุบเขาตามลำน้ำ Shogawa
ทอดตามแนวสันเขาตั้งแต่เขตจังหวัด Gifu จนถึง Toyama
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เนื่องจากมีบ้านแบบกัสโช-สึคุริ (Gassho-Zukuri)
ชื่อนี้ได้มาจากคำว่า “กัสโช" ซึ่งแปลว่า พนมมือ ซึ่งสังเกตได้จากหลังคาของบ้านทุกหลังที่มีความชันถึง 60 องศา
คล้ายๆ กับมือสองข้างที่พนมเข้าหากัน เป็นเพราะเพื่อให้หิมะไหลได้ง่าย ป้องกันการทับถมของหิมะในยามที่ตกหนักๆ
ตัวบ้านจะมีความยาวราวๆ 18 เมตร กว้าง 10 เมตร
โครงสร้างของบ้านเขาบอกว่าไม่ได้ใช้ตะปูตอกแม้แต่ตัวเดียว อีกทั้งวัสดุต่างๆ ก็ทำมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น
ก็ดูอย่างหลังคานั่นก็มาจากต้นหญ้าที่ปลูกไว้เพื่อใช้มุงหลังคา สามารถรองรับหิมะที่ตกอย่างหนักในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี
เมื่อวานนี้เราเข้ามาอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านหลังสำหรับรถที่จะวิ่งเข้าหมู่บ้าน
แต่หากนักท่องเที่ยวทั่วไปเดินทางมาจะนั่งรถบัสมาจากเมือง Takayama
เมื่อหนูเล็กเดินอยู่ในหมู่บ้านแล้ว จึงเป็นการเดินย้อนศรกลับออกไปแทน
โทริอิสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากด้านหน้า นัยว่าเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายก่อนเข้าหมู่บ้าน ที่ปิดอยู่นั่นด้านในเป็นพระ
ยังมีซากุระให้ชมอยู่บ้าง
แม่น้ำโชกาวา
ยามเช้าแบบนี้ยังไม่มีรถบัสขนนักท่องเที่ยวมา มีแต่ชาวประมงที่มาตกปลาที่แม่น้ำกันสองสามคน
บรรยากาศภายนอกโล่งๆ แบบนี้ ทำให้สามารถเดินวนดูบริเวณต่างๆ ได้อย่างจุใจ ไม่ต้องมีใครติดมาในกล้อง
จุดบริการนักท่องเที่ยว ร้านค้า และพิพิธภัณฑ์บ้านแบบแบบกัสโช-สึคุริ
ร้านค้าต่างๆ ยังปิดอยู่
ทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านแบบกัสโช-สึคุริ จะมีบ้านแบบต่างๆ ไว้ให้ชม
บรรยากาศโดยรอบ
เดินด้านนอกอย่างเงียบงันคนเดียวนานแล้ว ข้ามสะพานกลับไปเดินด้านในกันบ้าง
ถ้ามารถบัสเดินข้ามสะพานนี้เข้าไป
เขาบอกว่าการมาพักค้างคืนที่นี่ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรกระทำสักครั้ง เพื่อให้ได้สัมผัสบรรยากาศแบบบ้านชาวนา
มีที่พักจำนวนมากที่เปิดให้บริการแบบบ้านคุณยายโยชิโร แต่หากจะพักมากกว่าหนึ่งคืน เขาจะไม่แนะนำให้พักที่เดิม
ควรเปลี่ยนสถานที่เพื่อให้ได้บรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งราคาถูกและแพง มีบริการเสริมต่างๆ กัน
ตอนที่หนูเล็กจองที่พักผ่านทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
TEL: 05769-6-1013
Fax number: 05769-6-1716
E-mail: [email protected]
เขาจะให้ข้อมูลค่าใช้จ่ายเราดังนี้ค่ะ
budget per person: \8.500 to \10.500 (including tax) to stay at an inn, 2 traditional Japanese meals included
\12.000 and more (including tax) to stay at an hotel, 2 meals included
พร้อมกับให้ข้อมูลที่เราควรทราบในการเลือกที่พักที่เขามีหลากหลายแบบไว้ให้เลือก
A. Minshuku (a traditional Japanese farm house)
Budget per person/night: 8.500 yen to 11.000 yen
Bathroom in each room: no
Rooms are separated by: paper doors. No locks, no keys
Number of rooms: 3-5 rooms
Meals: Japanese
Hot spring: no
B. Ryokan (a traditional Japanese hotel)
Budget per person/night: 10.000 yen to 25.000 yen
Bathroom in each room: yes/no
Rooms are separated by: walls
Number of rooms: 5-17 rooms
Meals: Japanese
Hot spring: yes/no
C. Hotel (a western style hotel)
Budget per person/night: 11.000 ~
Bathroom in each room: yes/no
Rooms are separated by: walls
Number of rooms: 31 rooms
Meals: French
Hot spring: yes
เมื่ออ่านรูปแบบที่พักแต่ละแบบแล้ว ก็เลือกจาก list ของเขาแล้วแจ้งเขาไปได้เลยค่ะว่าต้องการพักที่ไหน
Accommodation information:
http://www.shirakawa-go.gr.jp/search/?m=1
โดยระบุชื่อที่พักไปได้เลยค่ะ
ในยามที่ไม่มีนักท่องเที่ยว หมู่บ้านชิราคาวาโกะยังคงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่คงความสงบ
และอบอุ่นราวกับว่าเรายังคงเดินอยู่ในยุคอดีต
บ้านแต่ละหลังต่างทำกิจกรรมภายในบ้านในยามนี้ มีเสียงหุงหาอาหาร มีควันจางๆ เบาๆ ลอยออกมาจากตัวบ้าน
มีเสียงพูดคุยสนทนาภายในครอบครัว บ้านแต่ละหลังมีแปลงนา แปลงผัก
มีวัด Myozenji วัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านสำหรับเป็นศูนย์กลางของชุมชน
การใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ละที่คนเมืองอย่างพวกเราโหยหาและดิ้นรนที่จะมาสัมผัส
หนูเล็กเดินทอดน่องไปรอบๆ หมู่บ้านอย่างอิ่มเอมใจ
เผลอประเดี๋ยวเดียวได้เวลาเจ็ดโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลานัดหมายกับคุณยายโยชิโรไว้ว่าจะเสิร์ฟอาหารเช้าให้เราแล้ว
หนูเล็กก็เลยเดินกลับ เกรงว่าสมาชิกจะรอกันอยู่
ไปถึงที่ห้องอาหาร คุณยายโยชิโรจัดเตรียมสำรับอาหารเช้าวางไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อาหารมื้อเช้าเป็นแบบไคเซกิเช่นเคย เมนูแตกต่างไปจากเมื่อคืนนี้แต่ก็รสชาติอร่อยเช่นเคย
ศิลปะการจัดอาหารแบบไคเซกิแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของชาวญี่ปุ่นเสียจริงๆ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบละเมียดละไมเอมอิ่มไปด้วยความสุข
พวกเราก็ได้เวลาเก็บข้าวของอำลาคุณยายโยชิโรกันแล้ว
แม้ว่าอยากจะอ้อยอิ่งใช้ชิวิตแบบสโลว์ไลฟ์อยู่ที่นี่กันแต่ก็ทำไม่ได้ แผนการเดินทางของเรากำหนดไว้แล้ว
อีกทั้งเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่เมื่อวานดูท่าวันนี้จะเอาจริง ยังไม่รู้เลยว่าการเดินทางวันนี้จะไปผจญสายฝนกันที่ตรงไหน
เมื่ออำลาคุณยายโยชิโรพร้อมรับของที่ระลึกจากคุณยายเป็นส่วนลดค่าที่พักเล็กน้อย
และกระดาษทิชชูหนึ่งกล่อง?
เมื่อออกจากที่พัก เราก็ออกเดินทางไปยังจุดชมวิวบนเขาที่สามารถมองเห็นหมู่บ้าน Shirakawago ได้ทั้งหมู่บ้าน
ถ้าใครเคยเห็นภาพบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาๆ เหมือนบ้านตุ๊กตา ก็คงพอจะนึกออก
ผ่านร้านค้าแบบนี้ก่อน
แวะซื้อของที่ระลึกกันได้เลย
ออกเดินทางจากหมู่บ้านย้อนนไปที่ทางแยกจะมีทางวนขึ้นเขาไปไม่ไกลนัก
ดูตามป้ายนี้ไปค่ะ
เพียงครู่เดียวเราก็มาถึงจุดชมวิว Shiroyama Viewpoint
เป็นหมู่บ้านในหุบเขาโดยแท้
ภาพบ้านหลังเล็กๆ เบื้องล่างที่ตรึงให้หนูเล็กหยุดนิ่งมองอยู่ชั่วขณะราวกับว่าจะหยุดหายใจ
ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งภาพที่เราเคยเห็นตามโปสเตอร์ เว็บไซต์หรือวารสารท่องเที่ยวต่างๆ จะปรากฏอยู่ตรงหน้าแค่ตาเห็น
ช่างงดงาม น่ารัก เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่สุด
หนูเล็กไม่อยากเชื่อว่าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จะรักษาเอกลักษณ์ให้คงอยู่เช่นนี้มาได้เป็นระยะเวลาเป็นร้อยๆ ปี
ได้แต่คิดและภาวนาให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน
แม้ว่าภาพที่มองเห็นก็มีเพียงภาพเดิม แต่ดูเหมือนพวกเราจะคิดตรงกันที่
อยากจะหยุดเวลา ณ เวลานี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้จะเพียงไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ก็ตาม
เป้าหมายข้างหน้ายังรออยู่ และเมฆฝนก็ตั้งเค้ารอเราอยู่บนเส้นทางด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อลงจากเขาเราจึงตั้ง GPS ให้นำทางเราไปยัง Takayama เมืองเก่าอีกเมือง
ที่เขาว่านักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดการไปเยือน
ลงเขากันก่อน
ถึงแยกนี้แล้วเลี้ยวขวาออกไป ถ้าตรงไปคือเข้าหมู่บ้านเหมือนเดิม
ออกเดินทางกันต่อค่ะ
เป็นไปตามคาด เมื่อออกจากทาคายามาไปได้ไม่นานเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาก็พากันเทกระหน่ำไม่หยุดยั้ง
และก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไปตลอดเส้นทางจนเราเข้าเขตเมืองทาคายามา
ยังมีน้ำแข็งตลอดสองข้างทาง
แวะริมทางหาอะไรรองท้องกันหน่อย
ที่คือที่เขาโชว์ไว้หน้าร้าน
นี่คือสิ่งที่ได้มา ร้อนๆ รับอากาศวันฉ่ำฝน อร่อยเลยค่ะ
เมื่อไปถึงยังไม่ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักที่ Ayun Takayama Central Hotel (
http://ayun.seishingroup.co.jp/)
เขาจึงเพียงรับเช็คอินไว้และให้เรากลับมาติดต่ออีกครั้งในเวลาบ่ายสามโมง เราเลือกที่นี่เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลย่านเมืองเก่า
จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องขับรถเข้าไปในเมืองอีก พวกเราสามารถเดินจากโรงแรมลัดเลาะไปตามถนนสายหลักของเมือง
ชมร้านรวงสองข้างทางที่ขายสินค้านานาชนิดด้วยเพราะที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว จึงมีสินค้ามากมายให้ได้เลือกซื้อ
7 Eleven ก็ยังตีระแนงให้เข้าบรรยากาศ
เดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับวัด Hida Kokubunji ที่นี่มีต้นแปะก้วยอายุกว่า 1,200 ปี
ที่โดดเด่นน่าจะเป็นเจดีย์สามชั้น
ว่ากันว่าทั้งต้นแปะก้วย เจดีย์ รวมถึงอาคารทรงระฆัง ที่ตั้งอยู่ในเขตวัดนั้น ถูกย้ายมาจากปราสาททาคายามา
ซุ้มเครื่องรางที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของทาคายามา นั่นคือ Surabobo ซึ่งทำด้วยหิน เป็นรูปปั้นเพื่อขอพร
นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสส่วนที่อยากให้ร่างกายแข็งแรงได้ รูปปั้นหินนี้มีรูปร่างคล้ายลิงที่ไม่มีหน้าตา
เป็นเครื่องรางของชาวญี่ปุ่นของชาวฮิดะ ทาคายามา เนื่องจากแต่เดิมคุณแม่จะทำตุ๊กตานี้เพื่อขอพรให้ลูกมีความสุข
มีป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยไว้เรียบร้อย
Surabobo
เข้าไปไหว้พระขอพรที่ด้านในกัน
เมื่อไหว้พระขอพรกันเป็นที่เรียบร้อย เราก็พากันไปเดินเที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆ
เดาได้เลยว่านั่นเป็นร้านอาหาร
มีร้านค้าตลอดแนวทางเดินทั้งสองฝั่ง
Surabobo ก็จะมีวางขายตลอดเส้นทางเช่นกัน
ที่เก็บเกี้ยวที่ใช้ในงานประเพณีของ Takayama อันโด่งดัง
มีขนมขายตลอดสองข้างทาง
พวกเราไปเดินกันในบริเวณย่านเมืองเก่า เป็นหมู่บ้านโบราณ
ที่อนุรักษ์ไว้ให้คงสภาพเดิมตั้งแต่สมัยเอโดะ (ช่วงปี ค.ศ.1600-1868)
ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำมิยากาวา (Miyakawa river) ซึ่งไหลผ่านเมืองทาคายามา
ถนน Sanmachi
นักท่องเที่ยวจะพากันมาเดินบนถนน Sanmachi เพื่อดูบ้านๆ เก่าตีไม้ระแนงที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาวตลอดสองข้างทาง
พื้นที่บริเวณนี้รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นโบราณสถานและเป็นพื้นที่อนุรักษ์
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา จะพากันมาเดินเล่นแถวนี้ เพราะนอกจากจะมีบ้านเก่าๆ ให้ชมแล้ว
ยังมีของที่ระลึกขายมากมาย อีกทั้งยังมีอาหารและขนมหน้าตาน่ากินเยอะแยะตลอดสองข้างทาง
แต่ที่ได้รับความสนใจและต้องลองก็ต้องขนมเซมเบ้ เป็นขนมโบราณของญี่ปุ่น
เป็นข้าวแผ่นอบกรอบ ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง มีกลิ่นหอมเตะจมูก
หนูเล็กเองก็ต้องยอมเสียเงินซื้อมาทานในที่สุด
อาจเพราะเป็นช่วงวันหยุดผู้คนจึงค่อนข้างหนาแน่น
แต่อย่างไรก็ตาม วิธีชมเมืองเก่าของทาคายามาที่ดีที่สุดก็คือการเดิน
แต่ถ้าเดินไม่ไหวและอยากได้ไกด์นำทางก็สามารถใช้บริการรถลากได้
แต่สนนราคาก็เอาการอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็จะพาเราไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขตเมืองเก่า
จอดแนะนำเล่าประวัติคร่าวๆ ซ้ำร้ายยังช่วยเป็นตากล้องมือดีให้ถ้าเราอยากมีภาพประทับใจตามจุดต่างๆ ที่เขาพาไป
เดินไปสักพักก็ไปถึงสะพานแดง Nakabashi ถือเป็นสะพานสำคัญของเมือง
เนื่องจากทุกปีที่ทาคายามาจะมีเทศกาลใหญ่ประจำปี คือ Takayama Festival
ถือเป็น 1 ใน 3 งานที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของญี่ปุ่น
มีการแห่เกี้ยวที่แต่ละชุมชนต่างจัดทำประดับประดามาประกวดประขันกัน
สะพาน Nakabashi ถือเป็นเส้นทางหลักของเทศกาลที่ทุกขบวนแห่จะต้องมาผ่านเส้นทางนี้
ไม่ไกลกันจะมีศาลเจ้าทาคายามา (Takayama Jinja) เคยเป็นที่ทำการของคณะรัฐบาลในยุคสมัยโชกุนโทคาวะ
แต่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมโดยเสียค่าเข้าชมเล็กน้อย
เขาว่ากันว่าถ้ามาที่ทาคายามา สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการลิ้มรสเนื้อวัวชื่อดัง
นั่นคือ เนื้อฮิดะมาจากโอคุฮิดะ หรือฮิดะทาคายาม่า จังหวัดกิฟุ
เนื่องจากว่าเนื้อของที่นี่ชนะเลิศการประกวดวากิวโอลิมปิกสองปีซ้อน จึงทำให้เนื้อฮิดะดังไม่แพ้เนื้อโกเบ และมัตซึซะกะ
นำมาจากวัวขนดำที่เลี้ยงเป็นอย่างดีในทุ่งหญ้าใกล้กับเทือกเขาแอลป์ของญี่ปุ่น
ทำให้วัวได้เนื้อที่ดีออกมาให้เรารับประทานกัน
ใครที่มีโอกาสมาเที่ยว ฮิดะทาคายามา จึงควรต้องลิ้มลอง
หนูเล็กและพี่ใหญ่เป็นพวกไม่กินเนื้อวัว แต่เห็นว่าไหนๆ มาถึงที่นี่ขอลองลิ้มสักเล็กน้อยพอให้รู้ก็แล้วกัน
ร้านที่เราไปอุดหนุน เพราะเห็นชาวญี่ปุ่นเดินมาซื้อไม่ได้ขาด
ลองแบบเสียบไม้ย่าง
ก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะเนื้อนั้นนุ่มราวกับว่าจะละลายในปากได้อย่างนั้นเลย
แต่ก็ขอแตกแถวแต่แค่พอให้รู้แล้วกัน คงไม่ถึงกับตบะแตกกลับไปกินเนื้อวัวเป็นล่ำเป็นสันอย่างแน่นอน
หลังจากเดินชมจนหมดแรงและเห็นว่าร้านรวงเริ่มทยอยเก็บข้าวของกันบ้างแล้ว
เราจึงเดินกลับมายังโรงแรมเอาของขึ้นห้องเพื่อไปพักผ่อนกันเสียที โรงแรมนี้มีข้อดีตรงใกล้เมืองเก่า
เดินไปไม่ไกลนัก หรือจะไปสถานีรถไฟก็ไม่เท่าไร พอเดินได้ ราคาก็พอรับไหวกับคุณภาพแบบนี้
มีบริการน้ำแข็งให้ฟรีทุกชั้น สามารถไปกดเอาเองได้เลย
ห้องนอนกว้างๆ สบายๆ
คงต้องจบบันทึกการเดินทางของวันนี้ไว้เท่านี้ พรุ่งนี้ยังมีเป้าหมายรอให้พุ่งชนอีก
อย่าลืมมาเดินทางไปด้วยกันต่อ
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายกันได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.14 น.