จากตอนที่แล้ว

https://th.readme.me/p/5151

หลังจากตระเวนเที่ยววงนอกมาหลายวันจนจะหมดทริป คราวนี้เราออกเดินทางไปเที่ยวนอกเมืองโตเกียวกันบ้างดีกว่า

การเดินทางวันนี้หันมาใช้บริการรถไฟนั่งไปชิลล์ๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็...ไม่ได้นะ (ก็อยากไปให้ถึงน่ะ)

พร้อมแล้วก็ไปกันต่อเลยค่ะ


จริงๆ แล้วบริการสาธารณะของญี่ปุ่นมีไว้รองรับการเดินทางไปทั่วทั้งประเทศ

เพียงแต่พี่ใหญ่กับหนูเล็กนิยมการแวะเก็บเล็กผสมน้อยตามรายทาง

ก็เลยมักใช้วิธีการเช่ารถขับเที่ยวแบบวันก่อนๆ ที่ผ่านมา

ซึ่งแต่ละที่เราจะสามารถใช้เวลากันได้เต็มที่โดยไม่ต้องมีเวลาของรถไฟ รถบัส มากำกับไว้

สำหรับวันนี้เราจะออกเดินทางไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ โตเกียว ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงกว่าๆ

จากที่พัก นั่งรถไฟใต้ดินไปยัง Asakusa

จากโตเกียวเราเลือกเดินทางที่ราคาย่อมเยาตามเคย คือไปขึ้นรถไฟที่สถานี Asakusa ของบริษัท Tobu สาย Tobu Isesaki

ซึ่งเขาจะมีทั้งรถเร็วแบบ Limited Express ซึ่งใช้เวลาราว 70 นาที ค่าโดยสารเกือบๆ 2000 เยน

กับอีกแบบคือรถไฟแบบธรรมดาทุกขบวนที่ไปยังปลายทางสถานี Ota

จะผ่านสถานี Ashikagashi ที่เป็นเป้าหมายของเราในราคาไม่ถึงพันเยน ใช้เวลาเพิ่มขึ้นมาอีกราว 20 นาที

ขบวนที่เรานั่งออกไปจะผ่านสถานี Tokyo Sky Tree ด้วย แต่เราขอผ่านค่ะ

บรรยากาศบนรถไฟ

ขบวน Limited Express หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ ใครต้องการประหยัดเวลาก็ต้องเลือกแบบนี้

Hikifune สถานีรายทาง

รถไฟจะวิ่งผ่าน Saitama และ Gunma ไปเรื่อยๆ สองข้างทาง

แรกๆ จะเป็นบ้านเรือน พอเริ่มออกนอกเมืองก็จะมีแปลงนามากขึ้น

เมื่อถึงสถานี มีมาสคอตรอต้อนรับ

เดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวาค่ะ (ประตูทางทิศใต้) จะมองเห็นรถบัสจอดรอรับนักท่องเที่ยวอยู่

เป็น shuttle bus ที่พาไปยังบริเวณจัดงาน ขาละ 300 เยน ค่ะ ขากลับก็ต้องซื้อตั๋วใหม่อีกรอบ

ได้รับตั๋วมาถือไว้เป็นหลักฐาน

เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบค่ะ

ทิวทัศน์ระหว่างทางสู่พื้นที่จัดงาน

สาเหตุที่เรามาที่เมืองนี้ก็เพราะในช่วงนี้เขาจัดงาน A Tale of Wisteria ที่ Ashikaga Flower Park

จริงๆ สวนนี้มีการจัดงานตลอดทั้งปี เพียงแต่ว่าจะจัดแสดงเกี่ยวกับดอกอะไรเป็นพิเศษ

แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดจะเป็นช่วงที่ต้น Fuji

ใช่แล้วค่ะอ่านไม่ผิดหรอก ชื่อของดอกไปตรงกับภูเขาไฟเจ้าเสน่ห์พอดิบพอดี

แต่พวกเราจะรู้จักกันในชื่อ Wisteria

กำลังบานเต็มพื้นที่ ถ้าใครนึกภาพ Wisteria ไม่ออก ก็ต้องนึกถึงต้นชัยพฤกษ์เพราะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน

แต่ที่นี่มีหลายสี ที่เด่นที่สุดและนักท่องเที่ยวรวมทั้งพวกเราอยากเห็นที่สุดก็คือ สีม่วง

ดอกของมันจะห้อยตกลงมาเป็นระย้าราวกับน้ำตกสีม่วง

กระจายอาณาเขตวงกว้างครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม.

เมื่อไปถึงรถบัสจะจอดที่จุดจอดรถ ซึ่งขากลับเราก็สามารถมาขึ้นที่จุดเดิม

แต่ควรเช็คเวลาไว้ล่วงหน้าว่ารถบัสเที่ยวสุดท้ายหมดกี่โมง

จากนั้นพวกเราเดินเท้าต่อไปยังสวน ระยะทางไม่ไกลมากนัก เดินตามๆ กันไปได้เลยค่ะ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลชี้ทางให้

เมื่อไปถึงเราจะต้องไปติดต่อซื้อบัตรเข้าชมงานก่อน

ราคา ณ ตอนที่เราไปใกล้จะถึงช่วงที่ดอก Wisteria จะบานสะพรั่งอย่างเต็มที่หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า Bloom นั่นล่ะ

ทำให้ราคาสูงถึง 1,500 เยน หากมีบัตรส่วนลดที่ได้จากการลงทะเบียนในเว็บไซต์ก็จะซื้อได้ในราคา 1,380 เยน

แต่ดูเหมือนจะเฉพาะชาวญี่ปุ่นเท่านั้นเพราะหนูเล็กลองเข้าไปแล้วอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่กระดิกสักตัวเดียว

ราคาค่าเข้าชมจะมีราคาตั้งแต่ 900 – 1700 เยน ราคาไม่แน่นอนผันแปรไปตามความ Peak ของดอก

ถ้ามีเต็มที่คือช่วงต้นเดือนพฤษภาคมราคาจะค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ยังมีให้ชมช่วงกลางคืนด้วย โดยเขาจะเปิดไฟเป็น Light Up ก็จะคิดราคาอีกแบบหนึ่ง

หลังจากซื้อบัตรเป็นที่เรียบร้อยทีนี้ก็เข้าไปชมด้านในกันได้เลย

ก่อนเข้าอย่าลืมหยิบแผนที่ติดไม้ติดมือมาด้วยจะได้รู้ว่าจะเดินไปทางไหนได้บ้าง

ส่วนใดเป็นสวนอะไรจะทำให้สามารถเดินได้ทั่วถึง หรือถ้ามีเวลาน้อยก็จะได้เลือกชมเฉพาะบริเวณที่อยากมาดูจริงๆ

เมื่อเข้าประตูด้านในเข้าไป นี่คือภาพแรกที่ปรากฏต่อสายตา

บริเวณนี้จะมีร้านอาหารอยู่จำนวนหนึ่ง หากหิวก็สามารถหาอะไรรองท้องได้ก่อนเลย

เมื่ออิ่มท้องเรียบร้อยจะได้เดินเที่ยวได้ต่อเนื่อง

พร้อมกันหรือยังคะ เราออกชมสวนกันเลยดีกว่า

แถวนี้เป็นแปลงดอกพิทูเนีย

เดินเที่ยวกันต่อไปเลยนะคะ

เอิ่ม อันนี้ไม่รู้ดอกอะไรค่ะ

ดอกอาซาเลียก็มีค่ะ

และแล้วเราก็มาถึงเป้าหมาย

ต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดมีอายุเก่าแก่กว่า 150 ปี มีลำต้นเดียวแต่มีดอกห้อยระย้าแผ่กว้างอย่างที่เห็น

เวลาต้องลม ราวกับมันกำลังเต้นระบำ

หลังจากชมกันจนอิ่ม เดินต่อกันค่ะ

ถัดไปชมดอก Wisteria สีขาวกันบ้าง

แซมริมทางด้วยดอกโบตั๋น

ทีนี้ไปลอดอุโมงค์ Wisteria กันค่ะ

อุโมงค์ยาวกว่า 80 เมตร

ระหว่างเดินจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ

ถ่ายรูปกันจนเพลินเลยค่ะ

ไปดูดอกไม้อื่นๆ กันบ้าง

อันนี้สายพันธุ์เดียวกับดอก Poppy ค่ะ

เดินมาเจอสีเหลืองด้วยค่ะ แต่ยังไม่ Bloom เท่าไรนัก

วันที่ไปแดดค่อนข้างแรง เลยขอหลบแดดมานั่งพักก่อนแพร๊พนึงค่ะ

มองไปเห็น Wisteria สีม่วงด้วย เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวเจอกั๊นนน

ระหว่างนั่งพักก็ชมดอกไม้อื่นๆ ไปพลางๆ ก่อนค่ะ

Wowww!!!

นั่งร่มๆ ให้หายร้อนกันสักพัก ออกเดินกันต่อค่ะ

เดินไปดูดอก Wisteria สีม่วงที่เราเห็นกันเมื่อกี้ดีกว่า

ไปกันๆๆๆ

และนี่คือดอก Wisteria ที่เห็นไกลๆ เมื่อกี้ค่ะ

Double Wisteria

เป็น Wisteria เหมือนกันแต่คนละสายพันธุ์

ลักษณะของดอกจะซ้อนกันจนแน่น

ลำต้นเดียวแต่ให้ดอกมากมายเหมือนกันค่ะ

สปอตไลท์ที่เห็นเอาไว้จัด Light up ตอนกลางคืนค่ะ

ไปเดินโซนอื่นกันต่อค่ะ

ตลอดทางเดินในสวนจะมี Wisteria ตามรายทางให้เห็น

หลังคาทางเดินที่คลุมด้วย Light Pink Wisteria

สีชมพูอ่อนจนเกือบจะขาว

ดูบอบบางมากเลย

เมื่อเดินลงมาจากสะพาน เจอดอกไม้สวยๆ อีกเพียบเลยค่ะ แต่ว่า แหะๆๆ ม่ายรู้จักชื่อเลยยย...

ไปชมดีกว่าค่ะ

แต่ที่นักท่องเที่ยวสนใจ ก็ต้องนี่ค่ะ

เจ้าหน้าที่กำลังมาตัดแต่งอยู่ ... มีคุณป้าคนนึงเข้าไปพูดคุยสอบถามนู่นนี่

แต่ว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะค่ะ ฟังม่ายรู้เรื่อง

งั้นไปกันต่อดีกว่า...อิอิ

เริ่มเข้าสู่โซนดอกกุหลาบแล้วค่ะ

มีเก้าอี้ให้นั่งชม แต่ว่าวันนี้มันร้อน หนูเล็กขอเดินชมต่อดีกว่า

ดอกกุหลาบขนาดใหญ่มากกกกกก หอมมมมมด้วยยย


สะพานดอก Wisteria สีชมพูอ่อนที่เราเดินผ่านมาตะกี้

ตรงนี้เป็นแปลง Nimophila แบบที่ Hitachi Seaside Park ค่ะ

เดินไปโซนริมน้ำกันบ้างค่ะ

ระหว่างทาง

และแล้วก็ต้องไปหยุดยืนมองเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่าง

เขาลุยลงไปในน้ำแล้วเอาตะแกรงไปช้อนกลีบ Wisteria ที่ปลิวกระจัดกระจายในน้ำ

คนญี่ปุ่นนี่จะ perfect อะไรไปไหนนักนี่

หลังจากหนูเล็ก พี่ใหญ่และผองเพื่อนเดินท่ามกลางแดดเปรี้ยงชมความงามกันจนเหงื่อตก

ได้เวลาต้องเดินทางกลับแล้ว เพราะคำนวณการเดินทางไว้แล้วว่าเราต้องใช้เวลาเดินทางกลับโตเกียวราว 90 นาที

ก่อนจะเดินถึงทางออก ขอดับร้อนสักนิดนะคะ

soft cream รส Wisteria สีม่วง หอม หวาน อร๊อย อร่อยยยย

ทางเข้า-ออกของสวนบังคับให้ผ่านร้านขายของที่ระลึก เมื่อตอนขาเข้าไม่ได้ดู ก่อนกลับลองแวะดูกันหน่อยเป็นไร

ขากลับก็เดินกลับไปยังจุดที่ลงรถบัสค่ะ ชำระเงินค่ารถ 300 เยน รถบัสก็จะพาเรากลับไปยังสถานี Ashikagashi

ตรวจสอบขบวนที่ไปยัง Asakusa ขึ้นได้ทุกขบวนค่ะ

อันนี้แบบแพง เราไม่ขึ้นตามเคย แหะ แหะ

หลังจากดูวิวซ้ำเหมือนขามา หนูเล็กเลยเปลี่ยนมาดูวิวบนรถไฟแทน อิอิ

ตั้งอกตั้งใจทำงานม๊าก

เอิ่ม...น้องคะ จะไม่แบ่งพี่บ้างเหรอคะ

แบบนี้ก็มีค่ะ

และแล้วก็มาถึงสถานี Tobu Asakusa ในที่สุด

ไปชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida) ที่ใกล้ๆ สถานีอาซากุสะกันเสียหน่อย

ยิ้มทักทายกับแลนด์มาร์คสำคัญของโตเกียวกันเสียหน่อย

ทั้ง Tokyo Sky Tree เสาส่งสัญญาณทีวีที่สร้างขึ้นมาทำงานแทน Tokyo Tower ที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว

กับตึก Asahi ตึกที่มีสัญลักษณ์รูปฟองเบียร์ที่ยอดตึกที่หนูเล็กดูยังไง๊ ยังไง ก็ไม่รู้สึกว่ามันคือฟองเบียร์เลยสักครั้งเดียว

อย่าให้บอกเลอออ ว่าดูมันเหมือนอะไร

ไปเดินเที่ยววัดเซนโซจิ (Sensoji) หรือที่เรามักเรียกกันว่า วัดอาซากุสะในยามค่ำดูบ้าง

ร้านรวงภายใต้หลังคาคลุมทางเดินบนเส้นทางสู่วัดเซนโซจิทยอยปิดลงแล้ว

บรรยากาศแตกต่างจากในยามกลางวันที่พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหนาตา

ที่พากันมาไหว้พระที่วัดและมาชอปปิ้งสินค้าของที่ระลึกที่มีมากมายครบครัน

ยามร้านรวงปิดลง จะมีความงดงามบางอย่างที่นักท่องเที่ยวบางคนอาจไม่เคยได้สัมผัส

ประตูม้วนที่ปิดลงของแต่ละร้านจะมีภาพวาดสีสันสดใสที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่

วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ วาดไว้ นับเป็นศิลปะบนประตูม้วนที่จะเห็นได้ก็แต่เพียงเวลาที่ร้านเหล่านี้ปิดลงเท่านั้น

เสน่ห์หนึ่งที่นักท่องเที่ยวควรหาโอกาสมาสัมผัส

หนูเล็กว่าอาจเป็นสถานที่เที่ยวกลางคืนแนวใหม่ที่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำแบบใครได้เหมือนกัน

วัด Sensoji ที่คนไทยรู้จักดี

สัญญลักษณ์ที่โดดเด่น

มองเห็น Tokyo Sky Tree ตระหง่านยามอาทิตย์จะลาลับ

เจดีย์ห้าชั้นยามแสงสลัว ก็งามไปอีกแบบ

ยังคงมีนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นแวะมาไหว้ สักการะ แม้ว่าจะเข้าไปด้านในไม่ได้เหมือนยามกลางวัน

แต่ดูเหมือนความเลื่อมใสศรัทธาภายในใจก็ทำให้ทุกคนที่แวะเวียนมาเหมือนเดิม

การมาเยือนในยามไร้ผู้คนที่หนาแน่นวุ่นวายเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ช่วยแต่งแต้มความร่มเย็นในหัวใจได้ดีเหมือนกัน

ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว คงได้เวลาออกจากที่นี่กันเสียที

หนุ่มสาวก็แวะมาไหว้พระยามเย็นเหมือนกัน

ยามค่ำเทียบไม่ได้กับความวุ่นวายยามกลางวัน

ท้องเริ่มร้องแล้วค่ะ ไปหาอะไรหม่ำกันดีกว่า

จบลงที่ร้านนี้ ที่ตอนนี้มีแฟรนไชส์เข้ามาในไทยแล้ว

เมนูสุดโปรดพร้อมไข่ลวกโด๊ปเสียหน่อย

หลังจากท้องอิ่มขอไปท่องราตรีกันหน่อยดีกว่า

ห้างดอนกิโจเต้ (Don Quijote) เป้าหมายของเรา เดินจากวัด Sensoji ไปนิ้สสสเดียว

Don Quijote เป็นห้างสรรพสินค้าปลอดภาษีที่มีทุกสิ่งให้เลือกสรรทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค ของขวัญของฝาก

ของที่ระลึกมีครบครัน ดังนั้น ถ้าใครมาอาซากุสะอย่าคิดว่าจะมีแต่วัดให้เที่ยว

ยังมีร้านค้าปลอดภาษีที่รอเอาเงินออกจากกระเป๋าเราด้วยอีก ไหว้พระเสร็จก็ชอปปิ้งกันให้หนำใจได้เลย

พวกเราช้อปปิ้งนู่นนี่กันจนแทบลืมเวลา ก็เขาเปิด 24 ชั่วโมง เดินกันได้เพลินเลย กว่าจะรู้ตัวก็ค่ำมากแล้ว

ออกเดินทางกลับไปเอาแรง พรุ่งนี้มีพาไปเที่ยวกันต่อ

ไว้กลับมาพบกันใหม่นะคะ


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางของพี่ใหญ่กับหนูเล็ก และทักทายกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/


Piyai&Noolek

 วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 00.39 น.

ความคิดเห็น