ณ เวลาหนึ่ง กับที่นี่ สิงคโปร์



เมื่อ วันที่ 27-29 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสสิ่งใหม่ที่ไม่เคยลองมาก่อน ได้เจอประสบการณ์เงินหาย ได้รู้ว่าการหลงจนเท้าระบมมันเป็นยังไง ได้ลองพูดภาษาอังกฤษทั้งที่มันกลัวๆแบบนี้ (กลัวเสียฟอร์มมากครับ 555) ได้หยิบเอาแผนที่ของตัวเองไปให้คนที่หลงทางอีกคนหนึ่งใช้เป็นการช่วยที่พาตัวเองซวย นั่นก็คือ หลงทางในเวลาต่อมานั่นเอง



รีวิวนี้ เราไม่ได้จะโชว์เพียงแต่รูปและข้อมูล เพียงเท่านั้น แต่สำหรับครั้งนี้ เราจะ “พา" ทุกๆคนตะลอนตะลุยไปกันกับพวกเรา เอาไปให้เห็นทุกอย่าง ทุกสถานที่ที่ไป ทุกเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้น รอยยิ้ม ความสุข ความตื่นเต้น หยิบของมาแล้วลืมคืน ความซวย ความโชคดี พบกันได้ที่นี่....



และในที่สุดเรื่องเล่าก็ได้ถูกสรรค์สร้างขึ้น พร้อมกับการเดินทางนี้



เสพรูปภาพ สวยไม่สวยจะปะปนกัน และถ้าเป็นเนื้อหา จะระทึกลุ้นๆ



สำหรับค่าใช้จ่ายทุกอย่างทุกบาท ทุกสตางค์นะครับ (หน่วย SGD)



ค่าเครื่องบิน 3000 บาท/คน

ค่าเดินทางรถไฟทั้งหมด 24.2 SGD

ค่าอาหารทั้งหมด 62.5 SGD

ค่าตั๋ว Universal Studio 62 SGD

ค่าที่พัก 2 คืน 34 SGD



ทั้งหมด 182.7 SGD หรือ ประมาณ 4600 บาท



แนะนำแลกไปไม่เกิน 200 SGD กินอิ่มท้องทุกมื้อเล้ยยยย



หากรู้สึกหลงรัก กดแชร์ให้เต็มที่


หากรู้สึกคิดถึง https://www.facebook.com/Sapaipaee


หากไม่รู้สึกอะไร ...ไม่เอาสิต้องรู้สึกบ้างแหละ แล้วมาเสพติดการเดินทางที่ไม่มีวันจบสิ้น แบกกระเป๋าให้พร้อมแล้วไปลุยกันเล้ยยยยย

Day 1

เพราะเราต้องเริ่มลงมือ ไม่งั้นจะพลาดทุกสิ่งทุกอย่าง


“เช็คของๆๆๆ ให้พร้อม อย่าหลงลืมสิ่งใดทั้งสิ้น เจอกัน 8.00 ดอนเมืองนะครับ เครื่องออก 9 โมงนะครับ" หลังจากสิ้นเสียงการเตือนตัวเองในความฝัน เราก็รีบตื่นขึ้นแล้วออกไปโดยเร็วจากหอพักที่ธรรมศาสตร์ และถึงแบบฉิวเฉียด 7.00 พอดี ขอบคุณพี่ taxi ใจดี ยิปปี้คนนั้น


รอบนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน “nok scoot" หรือในชื่อไทย “ไอ้นกขาวหน้ายิ้ม บินขึ้นอย่างเท่ ตอนลงนี่ใจสั่น" ด้วยราคาโปรโมชั่นที่ 3000 บาท ถูกมากครับ ! เพราะสาเหตุนี้เลยได้ไปอย่างสนุกสนานเลย



“รีบไปที่ gate เร็ว" สิ้นสุดเสียงเรียกตัวเองในใจว่าต้องรีบไป เราก็พบว่า เรารีบเกินไปเกินไปแบบจริงๆ นี่ดอนเมือง ไม่ใช่สุวรรณภูมิ ครับ


“ถ้าคุณอ่านจะไปไม่ถึง จนกว่าจะได้สัมผัสมันจริงๆ"


....2 ชมผ่านไป ไวแบบเรื่องจริง ตกหลุมอากาศบ้าง แอร์น่ารักบ้างอะไรบ้าง และสุดท้ายก็ถึงสวัสดี Changi Airport

เอาล่ะครับหวังว่าทุกคนยังตามมาติดๆแบบไม่มีเหนื่อย ไปถึงกับสิ่งแรกที่เราจะต้องลุยเลยนั่นคือ ticket machine หรือที่เรียกว่า “เจ้าเครื่องขายตั๋ว" เพราะที่นี่ เค้าก็เรียกว่า MRT เหมือนกัน



สำหรับวิธีการใช้คงไม่ต้องบอก เราเชื่อว่า ผู้ที่กำลังเสพรีวิวชิ้นนี้อยู่นั้น ถือเป็นของกล้วยๆเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่เหนืออื่นสิ่งใดนั่นคือ “ส่วนลด" บัตรนึงให้แนะนำใช้ต่อนะครับ ให้ครบ 6 ครั้ง โดยในครั้งที่ 6 เราจะได้ส่วนลด 60 CENT ซึ่งมีมูลค่าที่ตีเป็นเงินไทยถึง 15 บาททททททททท (เวลาใช้บัตรเดิม ให้วางไว้บนแท่นวาง)



ทุกคนมีตั๋วแล้วใช่ไหมครับ พร้อมแล้วววว แสกนบัตรเข้าไปที่ชานชาลา ข้างล่างจะมีแผนที่แจกฟรี (จริงๆมีตั้งแต่ทางออกสนามบิน)



การเดินทาง : ตอนนี้เราจะอยู่บนสายสีเขียว และหลังจากเราขึ้นรถไฟไปแล้ว พอถึงสถานี “Outram park " ให้เปลี่ยนไปสายสีม่วง จากนั้นให้หาปลายทางที่ไป "Punggol" ทางออกให้ออกตรง “Pagoda Street" แล้วมุ่งตรงไปที่ Chinatown เพื่อไปเจอกับที่พักของเรานั่นเอง




การเดินทาง : ขึ้นไปให้ชิดขวาทันทีเลย จะเจอร้านขายหมูแดดเดียว จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆให้มองป้ายข้างบนไว้ ห้ามก้มนะครับ ไม่เกิน 20 เมตร ก็จะเห็นป้ายตาม



สำหรับคนที่ ภาษาอังกฤษไม่เก่ง ที่นี่ เป็นทีฝึกที่ดีมากๆเลยครับ สำเนียงของคนจีนที่นี่ เป็นอะไรที่เสนาะหูมากจริงๆ ขอเรียกพวกเค้าเหล่านี้ว่า “ผู้ต้อนรับนักยิ้ม" ยิ้มเก่งจริงๆ


ราคาห้องพักอยู่ที่ 18 SGD ต่อคน (ห้อง 6 เตียง) และ อีกคืน 16 SGD ต่อคน (ห้อง 4 เตียง)

สำหรับห้องพัก ขออนุญาตินำรูปจาก google เพราะพวกเรากว่าจะเข้ามาเค้าก็ปิดไฟนอนกันหล่ะ และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Hostel สะอาดมาก พวกเราโชคดี คนที่นอนด้วยส่วนใหญ่เฮฮาทักทายกันง่ายๆ ไม่ถือตัวและตัวไม่เหม็น สบาย


ที่นี่สามารถฝากกระเป๋าไว้ข้างเคาเตอร์ได้ และเราสามารถเก็บของในห้องตอน บ่าย 3 นะครับ ระหว่างนั้นให้ไปทำอะไรก็ได้ และหลังจากนั้น ลุยสิครับ ! อากาศนี่ไม่ต่างอะไรจาก ย่านรังสิตและในกรุงเทพ อาจจะหนักกว่าอีกด้วย ร้อนมากกกกก



สำหรับเป้าหมายแรกของเรา “กิน" สั้นๆง่ายๆด้วยความหิว และเราก็พบว่า ย่าน Chinatown ที่ทั้งถูกและประหยัดคงจะหนีไม่ไปไหนไม่ได้นอกจากที่นี่ “Maxwell"

การเดินทาง : หลังจากเดินออกจาโรงแรม ให้ไปกลางถนนแล้วเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆจนสุดซอย จะเห็น วัดของชาวอิสลาม อยู่ทางขวามือ(สังเกต จะมีรูปปั้นสัตว์ตามกำแพง) จากนั้นเลี้ยวขวา แล้วเดินยาวๆ ซึ่งค่อยข้างไกล๊ไกล ให้สังเกตฝั่งซ้าย จะเจอร้านอาหารเองครับ “Maxwell food center"



ขอเรียกเจ้าร้านอาหารที่นี่ว่า “แม่ค้าน่ารัก" บรรดาอาซิ่มอาม่ามากมายย่านนี่ ยิ้มจนเราต้องใจอ่อน หยิบเงินที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ซื้อของกินเล่นสนุกเลยครับ แต่ที่เรียกว่าทีเด็ดแบบสุดๆ (ตามที่เค้าบอกกันมา) คือเจ้าสิ่งนี้



ข้าวมันไก่ รสชาติของมัน ....เมื่อเอาน้ำส้มของบ้านเราเนี่ย ไปหยดลงบนเนื้อไก่ที่มันๆเลี่ยมๆแบบนี้มันสุดยอดมากเลยครับ โดยวิธีการสั่งอาหารร้านนี้ ขั้นตอนแรกต้องเตรียมใจคือ มัน “เลี่ยนมาก" TT จานนี้ 3.5 SGD ครับ



อีกหนึ่งสิ่ง ที่ต้องลิ้มลองนี่เลยครับ “Tofu" หรือในชื่อไทยแท้ๆเลยก็คือ “น้ำเต้าหู้" เราจากที่เราอยากลิ้มลองของขึ้นชื่อเลยไปถามอาซิ่มด้วยภาษาอังกฤษกากๆ



“Which one is the most famous ?"



Tofu to fu ๆๆๆ ชี้อันนี้อันเดียว เยี่ยมเลย และก็ได้ลิ้มลองจริงๆครับ ถ้าใครอยากลิ้มลองหาไม่ยากครับ ตลาดนัดที่ใกล้ที่สุดของทุกบ้านมีขายครับ TT “น้ำเต้าหู้" เงินปลิวไปเลย 1.2 SGD



แต่อย่ากระนั้นเลย “ทุกสิ่งที่อย่างย่อมเกิดก่อนรู้ตัวเสมอ" พวกเราก็ยังไม่รู้จนไปยังเป้าหมายต่อไป Sea wheel “ล้อทะเล"



การเดินทาง : ไปร้าน Sea wheel ออกมาจากที่พักเลี้ยวซ้าย แล้วข้ามไปยังถนนอีกฝั่ง (ใช้สะพานลอย) หลังจากนั้นก็ลงไปทางขวา ห้ามเดินเข้าไป ตรงยาวไปเรื่อยๆ ตึกจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ และร้านจะอยู่ที่ชั้น 3 ตึก People park center



คือร้านค้าที่จำหน่ายตั๋วทุกอย่างบนเกาะแห่งนี้นั่นเอง ทุกคนเตรียมเงินให้พร้อมและหยิบออกมาอย่างระมัดระวังนะครับ ตั๋ว Universal studio ที่เราจะต้องไปพิชิตนั้น มีมูลค่าสูงถึง 62 SGD โอ้วววว แพงมาก แต่เดี๋ยวก่อนครับทุกคน ถ้าอยากจะไป Universal ล่ะก็ที่นี่จะเป็นที่ที่ถูกที่สุดแล้วเพราะจะได้ coupon สำหรับลดราคาอาหารที่ใดก็ได้ถึง 5 SGD รออะไรกัน ควักเงินเร็ว ซื้อสิๆ



“และสิ่งที่มันเกิดขึ้น เราจะรู้ตัวทีหลังเสมอ"



และเงินก็ได้หายไปจากพวกเรา ทั้งเงินจริงและทั้งความรู้สึก “ไม่ตายก็หาใหม่ได้" ประโยคนี้ มันทำให้เราคิดได้อีกครั้ง (หายตอนล้วงกระเป๋า TT)



สถานีต่อไป ย่านคนรวยสุดๆ “Orchard" ดินแดนแห่งสยามบ้านเราแต่โหดกว่าด้วยรถ และตึกรอบข้าง อื้อหือกันเลยทีเดียว



การเดินทาง : โดยรอบนี้เรายังต้องใช้รถไฟเหมือนเดิม เราจะต้องไปที่ “Dhoby ghaut" เพื่อเปลี่ยนไปสายสีแดง ขึ้นสายไปมันไป “Jurong east" สองสถานีก็จะถึงที่หมาย



เป้าหมายของการไปในครั้งนี้เพื่อ ไอศกรีมแท่งเดียวนั่นคือ “Godiva" ที่ห้าง Takashimaya เงินไม่พออย่าหันไปดู แต่ถ้ารู้ว่าจะกินก็ต้องลิ้มลอง เอ้า จ่ายตังสิรอไรล่ะ สำหรับคนที่เวลาไปเที่ยวแล้ว “ต้องลองให้ได้" มันอร่อยมากก นี่ถ้าเงินไม่หายจะซื้อกลับมาฝากคนในหมู่บ้านล่ะ



การเดินทาง :Takashimaya Department Store ร้านจะอยู่ทางที่เราเดินเลย (จำทางขึ้นไม่ได้) มองไปเรื่อย มันจะเป็นที่ที่ โครตใหญ่ อยู่ทางขวามือ ส่วนร้านที่ขาย เราดิ่งไปที่ชั้นใต้ดินเลย ร้านจะติดแถวบันได้เลื่อน



ราคา 8.5 SGD


หลังจากที่ ฟินไปกับไอศกรีมเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป้าหมายที่จะต้องเก็บให้หมด เดินสิครับเดินรอไรหล่ะ ลุยต่อเพื่อไปดู “Fountain of Wealth" หรืออีกชื่อคือ “น้ำพุแห่งโชคลาภนั่นเอง"



สถานทีที่เราจะไปต่อนั้นก็คือ “Esplanade"



การเดินทาง : สถานที่นี้จะอยู่ที่ Esplanade Station แล้วให้เราออกทางไป Suntec City และมองป้ายไปตลอดทางที่มีคำว่า “Fountain of Wealth"




สำหรับน้ำพุนี้เปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมได้ในระยะใกล้ไม่เกิน 1 เมตร แต่เราโชคร้ายหลังจากเงินหายยังซวยซ้ำซ้อนซ่อนจัง ไปถึงก็อดไปข้างล่าง สถานที่นี้ถูกล้อมรอบไปด้วย ตึกทั้งห้า โดยเค้าบอกมาสถานที่นี้ เปรียบเสมือนมือของเรา แล้วตึกก็คือนิ้วนั่นเอง น้ำพุนี่ก็อุ้งมือของเรานั่นเอง



“ชีวิตเราเกิดมา ไม่ได้เอาร่างกายไปใช้ทำงานหาเงิน เพียง อย่างเดียว หัดเสพสุขซะบ้าง"



สิ่งต่อไปนี้ ถือเป็นสิ่งที่จะต้องไปดูเลย “Merlion" ส่วนชื่อไทยที่พึ่งคิดได้เมื่อกี้ ไม่ใช่ “สิงโตทะเล" มันต้องเป็น “สิงสาครทะเล" น่ะสิ มันเป็นการเสพสิ่งรอบข้างที่น่าจดจำไปสะหมดเลย บรรยากาศ สายลมอ่อนๆ ไม่มีขยะ



การเดินทาง : การจะมาที่นี่ให้เราลงสถานี Raffle Place แล้วเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Merlion (จริงๆเราสามารถเปลี่ยนสายแล้วไปลง Marina Bay ได้เลยจะใกล้กว่า)



ตรงนี้เราจะได้จุดที่เป็นไฮไลท์อีกหนึ่งจุด “เด็กกำลังแก้ผ้าและโดดน้ำ" และนี่เป็นบรรยากาศโดยรอบๆ



รออะไรล่ะครับ ทุกอย่างลงตัวขนาดนี้ ถ่ายรูปสิครับ พวกเราใช้เวลา ก่อนที่จะไปดู Merlion ชั่วโมงนิดๆ ด้วยการเสพบรรยากาศ และ เดินดูบ้านเมืองของเค้า น่าอยู่มากๆ ถ้าไม่นับว่าดวงอาทิตย์อยู่ใกล้กว่าประเทศเรา



เห็นหลายคนทำท่ามากมายเลยทำตามซะหน่อย จัดไปเพื่อน !!



ยาวไป ยาวไป เดินเล่นช็อปชิมระแวกนั้นเพื่อรอดู “Wonder Full-Light & Water " มีชื่อไทยมาอีกแล้วครับ “เริงระบำ เจ้าน้ำพุ" ถือว่าเป็นไฮไลค์ตระการตาได้ดีเลยทีเดียว สำหรับเวที จะอยู่ทางด้านตรงข้ามกับ Merlion คือ ณ ตอนนั้นไม่ต้องไปไหนแล้ว พักผ่อนดีกว่า



บอกเลยว่า ณ จุดนี้มากันเป็นคู่จะ ได้อรรถรสนิยม มากมายเลย ด้วยบรรยากาศแล้วเสียงเพลง ถ้าเป็นคนที่ชอบเสพเรื่องพวกนี้ เราให้ 8.976 แต่ถ้าไม่ คุณจะเบื่อเอามากๆ แต่ไหนๆก็มาทั้งที ยาวไป ยาวไป



“1 วัน อาจจะไม่เพียงพอ ต่อสิ่งที่เราปรารถนา อยากทำอะไรก็ต้องรีบทำ"



หลังจากนั้น ภารกิจวันแรกที่วางไว้ ก็จบโดยเกือบสมบูรณ์ ขาดอะไร ?? กินสิครับ รอไรล่ะ หิวก็ต้องกิน แต่ว่า เนื่องด้วยเงินทองที่หายไป “Maxwell" สิครับ พอมาถึง รอบนี้เราขอเสนอ “Poojak" ว่าด้วยของแปลก ที่ข้างในเป็นเต้าหู้ทอด มันทอด เผือกทอด สัปปะรดทอด มันเหมือนสลัดจริงๆ - - แต่อร่อยกว่าที่คิดครับ



และปิดท้ายด้วยร้านคล้ายๆติ่มซำ อยู่ใกล้ๆทางออกเลย “ต้องลองจริงๆ !" โดยเฉพาะอะไรไม่รุ้ไส้กุ้ง มันโครตใช่ ถ้าถามว่าเรารู้ได้ไง บอกได้เลยครับ เราชี้มั่ว 5555 ต้องเสี่ยงดวงกันสักหน่อย



เวลาเรามีความสุข ให้เราเก็บเกี่ยวมันให้มากที่สุด แล้วเราจะไม่รุ้จักความทุกอีกเลย


Day 1-End

Day 2


“เพราะแสงจากพระอาทิตย์ ถึงมันจะขึ้นมาทุกวัน แต่เวลาที่ได้เห็นมันไม่เหมือนกันสักหน่อย"



และแพลนสำหรับวันนี้ หนีไม่พ้นพระเอกของงานนี้ที่ ถ้าไม่มาถือว่าไม่ถึงสิงคโปร์ .... “Universal Studio"




ตอนนี้ 6.30 น เวลาไก่กำลังเลิกขัน สำหรับอาหารเช้า เราก็ขอรบกวนจากที่ Hostel แห่งนี้ก่อนเลยล่ะกันเพื่อรองท้อง ไม่ถึง 20 นาที การเดินทางของวันนี้ก็จะเริ่มขึ้น วันนี้ไม่ได้ไปดูแต่เราไปเพื่อ “เล่นมานนนนนนนนนนน"



ณ ทีนี้พวกเราขอแนะนำ ให้ไปวิ่งเล่นใน “Sentosa" ก่อนยิ่งเช้ายิ่งดีเพราะคุณจะดีวิวที่ อื้อหือหา หาได้ยากไม่ใช่เรื่องเล่นๆจริงๆ จะเป็นอย่างไร คอยติดตาม….



การเดินทาง : สำหรับการเดินทางไปนั้น ให้เราดิ่งไปหา MRT เพื่อไปยัง Harbour front “รออะไรหล่ะ หยอดตังสิ ไปรอรถสิ" และเราก็โผล่ที่ห้าง หน้าตาแปลกๆแห่งนี้ สิ่งที่เราต้องตามหาคือ “Mono train" หรือ “เจ้ารถไฟกะทัดรัด" หน้าตามันจะประมาณนี้เลย ต้องจ่ายเพิ่มอีก 4 SGD สำหรับใช้บริการ Mono train (ใช้ได้ตลอดทั้งวัน) ห้ามทิ้งตั๋วนะครับเพราะต้องใช้ ขาออกด้วย



เจ้ารถไฟกะทัดรัดจะพาทุกคนเข้าไปสู่ดินแดนของ Sentosa ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายสิ่งมันรวมอยู่ในนี้แล้วววว หากใครมาเช้าตรู่แบบพวกเรา อย่ารีบลงไปลงสถานทีสุดท้าย(Beach station) ไปเสพกลิ่นอายธรรมชาติกับสุดยอดแห่งวิว “ทะเล" นั่นเอง เน้นย้ำอีกเรื่อง ให้เดินไปทางฝั่ง “Palawan Beach" เพราะมันเข้าฟรี อีกฝั่งเสียเงิน TT



“ทุกครั้งที่เราลืมตาก่อนใคร เรามักจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นมักจะไม่ได้เห็น"



7.30 น ซึ่งเป็นเวลาที่ห่างไกลกับการเปิดประตู ของ Universal เราเลยไม่รีบครับ เดินไปเรื่อยๆ บอกได้คำเดียวเลย “มันเหนื่อยมาก" เหนื่อยจริง ไกลมาก แต่เรามาถึงแล้วไม่มีอะไรฉุดอยู่อย่างแน่นอน พอเห็นเม็ดทรายสีขาวๆนั่น ความเหนื่อยที่มีมามันก็ เหนื่อยเพิ่มไปอีก เดินไปอย่างยวบยาบ



และความเหนื่อยที่แลกกับสิ่งที่จะได้กลับมามันคุ้มจริงๆ กับสิ่งที่เห็นถ้าไม่นับว่าอากาศมันร้อนขนาดนี้ นี่อย่างกะอยู่รีสอร์ทส่วนตัว คือมันไม่มีคนเลย !



“บางครั้งถ้าเราลองเดินไปเรื่อยๆ เราอาจจะเจอสิ่งที่ใช่มากกว่าปลายทางก็ได้"



และบนยอดหอคอยนี้ก็กลายเป็นที่ แอบงีบที่ดีที่สุด เสียงคลื่น ลมทะเล แดดร้อนๆแทบไหม้ ขอบคุณสองขาที่มันยังเดินไหว



ขอพาโนรามาสักรูป



มันสะบายจริงๆนะเออ



เราดิ่งกลับมาหนึ่งสถานี “Imbiah Station" เป้าหมายไม่ได้เพื่อกิน แต่มาดู “เจ้าสิงโตเงือก" โคตรใหญ่ และความโชคดีของความอยากดูก็คือ มีของกินนั่นเอง 5555 สบายล่ะหลังจากนั้นเราได้ใช้บริการ 7-11 สาขานี้ เพื่อหาอะไรรองท้อง แต่สิ่งที่ได้คือ “KFC" ที่มันอยู่เยื้องไป นิดๆ แต่มันยังปิดอยู่

หลังจากเข้าไปใน 7-11 ไม่คิดอะไรมากนอกจาก อะไรก็ได้ เลยได้เจ้านี่ ยิปปี้เซเลอปี้สีเขียว “แอปเปิ้ล" นั่นเอง อยากให้ที่ไทยเอามาขายบ้างนะครับ มันอร่อยมากจริงๆ



ถึงเวลาปลดปล่อยสิ่งที่มันสอบมาทั้งหมด !! ไป “Universal " ต่อเลย (ต้องขึ้นรถไฟ ย้อนกลับมา)



ตั้งใจจะถ่ายลูกโลกนะ อย่าบังสิครับ



นี่ไง



บลา โบลลลลลล



***อย่าลืมแผนที่และตารางการแสดง จะได้จัดเวลาถูกครับ****



**** แนะนำมากๆหากได้มาในช่วงวันธรรมดา ไร้เทศกาล การที่จะเล่นเครื่องเล่นใหญ่ครบ เป็นไปได้ ถ้าอยากเล่นให้ครบหมด และดูโชว์ให้คุ้มที่สุด แนะนำให้ไปเล่นเครื่องเล่นที่ไม่ใช่ไฮไลท์ของที่นี่ก่อนนะคับ เพราะทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่ไฮไลท์ ทำให้ต้องต่อคิวนาน ตอนเย็นๆจะไม่ค่อยมีคนเข้าไปเล่น เราค่อยเข้าไปเล่นก็ได้ ใช้เวลารอไม่ถึง10นาทีครับ



ต่อไปนี้จะเป็นการนำเสนอเครื่องเล่นที่เป็นไฮไลท์และของแถม หึหึ



ลำดับที่ 1 “อภิมหารถไฟนรกแดงเงิน" GALATICA Sci-fi City zone



เอาเป็นว่าเข้าไปปุ๊ปเห็นทันทีทันตา มีสองสายให้เลือก แดงแบบนั่ง น้ำเงินห้อยหัว ใครกินข้าวมาอย่าเพิ่งเล่น มีพุ่งกลางอากาศแน่นอน เต็มสิบให้ 20 เลยกับเจ้านี่



ลำดับที่ 2 “แสงสีแสบสันกับคุณมัมมี่ขี้หลอก" Ancient Egypt zone



“ทุกอย่างมันสวยงามชะมัด และสักพักมันก็หายไป" ใครใจคอไม่ดีอย่าเล่นเลยนะ แนะนำ แต่โค ตะ ระ มันส์ มาก แนะนำให้เล่นตอนเย็นๆมากๆ เพราะทางเข้าเหมือนเขาวงกต แถมไม่มีคนอีกต่างหาก ไม่ต่างอะไรจากในหนังล่าสมบัติชัดๆ



ลำดับที่ 3 “โคตรดริฟไปเลยพี่" Transformers



สำหรับ ไอ้อันนี้ชอบมากที่สุด 3D Battle สุดๆ เหมือนกับย้อนยุคไปเป็นเด็กแล้วได้แปลงร่างเป็นไอ้มดแดงด้วยเลย สถานการณ์ คือ เราจะเข้าไปนั่งอยู่ในรถ และเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมหุ่นรถ ลุยไปด้วยกัน ! 2 รอบก็ยังไม่พอ มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน ให้พาอาม่ามาซิ่ง



ลำดับที่ 4 "Push In Boots" ณ Far Far Away zone



ท่องไปในปราสาทของ Shrek เป็นกระเช้าเบาๆขึ้นไปนั่ง กึ่งรถไฟเหาะ แต่ก่อนที่จะขึ้น มี 4D ของ zone นี้ให้ได้ลิ้มลองกัน สำหรับใครที่เป็นพวกเสพติด 4D ห้ามพลาด ! (ต้องชอบจริงๆนะ)



ลำดับที่ 5 "โครตไอ้เลื่อย เลื้อยคลาน" Jurassic Park Rapids Adventure ณ Jurassic park



สำหรับใครที่จะเล่น เรารับประกันเปียกแน่นอน ! ลักษณะจะคล้ายล่องแก่งกันเลยทีเดียว ถ้าไปเป็นแก๊งจะมันส์มากๆ จะมีการวี๊ดว๊ายและขำกร๊ากก กันตลอดทาง



**ข้างหน้าจะมีจุดฝากของ เป็นล็อกเกอบันทึกด้วยลายนิ้วมือในการ ล็อก-ปลดล็อก ฟรี 15 นาทีแรก สำหรับล็อกเกอ จะมีอยู่แทบทุกโซน



และนี่คือ 5 ที่ในดวงใจของพวกเรา ใครขี้กลัวหน่อย ไม่ว่ายังไงให้เล่น Tranformer อันนี้ห้ามพลาดจริงๆ และต่อไปคือจุดนั่งพัก แสดงโชว์นั่นเอง เราสามารถขอใบคิวการแสดงได้กับเจ้าหน้าที่ตลอดครับ และสำหรับโชว์ที่เรา ภูมิใจนำเสนอมั่กๆ



Water world



ฉากล่ะอย่าง เค้าเต็มที่จริงๆ เว่อมากจริงๆ เจ็ทสกีดำน้ำ ยิงเครื่องบินออกมาอีก ดำน้ำโครตนาน อ่านจะอ่านแล้วงง ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน ที่แน่ๆ คืออย่างน้อยต้องดูโชว์นี้



สำหรับใครที่เล่นเสร็จหรืออยากพักผ่อน อย่าลืมหยิบคูปองมาลดราคากัน สำหรับมื้อเที่ยงนี้ จำไม่ได้ว่าร้านอยู่ตรงไหนแต่อยู่ตรง “New York Zone" มื้อนี้ 15 SGD ไม่รวมส่วนลด



“Double Double burger"


และสิ่งสุดท้ายสำหรับที่นี่ เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังโต “Casino" แค่พาสปอร์ตเล่มเดียวก้เล่นเอาหมดตัวได้แล้ว สำหรับการประหยัดค่าน้ำที่นี่ เป็นที่ดีที่สุด น้ำอัดลมยันไปถึงกาแฟ บริการเสริฟถึงที่ เสียดายเค้าไม่ให้ถ่ายรูปครับ TT มันใหญ่มาก



**คำแนะนำ เราหมดเวลาทั้งวันกับที่นี่แน่นอน ให้แพลนเวลาดีดีนะครับ เอาแผนที่มากางดูว่าจะไปไหนบ้าง หมดวันแน่นอน ถ้ารวมคาสิโนด้วยคงหมดทั้งคืนเข้าไปอีก



“อย่าหาเงินไว้ใช้ตอนหมดแรง อย่าเก็บเงินไว้เพียงแค่รักษาตัวเอง"



และทิวทัศน์ถัดไปที่จะต้องไปเก็บรายละเอียดพลาดไม่ได้แน่นอน “Super tree" ที่ garden by the bay หลังจากที่เราออกจาก Univesal ไม่จำเป็นต้องกินอะไรทั้งนั้น “อดทน" เท่านั้น ให้ขึ้นรถไฟไปลงที่ Bayfront Station ให้ทันก่อน 19.30 น เดี้ยวจะพลาดการแสดงของเจ้าต้นไม้ และเป็นอีกที่เรียกว่า ที่สุดของ ไฮไลท์



บรรยากาศตอนกลางวันเป็นยังไงไม่รุ้เลย แต่รู้ว่ากลางคืนแล้วมัน "ตกหลุมรัก" แต่มีอีกสิ่งนึงเสียดายคือ มันมีสะพานที่เชื่อต้นไม้พวกนี้อยู่ครับ แต่พวกเราลังเลเรื่องว่าจะเสียตังดีมั้ย TT จนสุดท้าย มันปิดที่ขายตัวไปแล้ว


***แนะนำให้ขึ้นมากๆ เพราะถ้าอยู่ข้างบน แล้วดูตอนที่มันแสดง คุณจะรุ้สึกเหมือนคุฯเป็น conductor ที่ยิ่งใหญ๋มากๆ(เว่อจริงๆ) ตั๋วจะราคาน่าจะ 5 SGD ใครจำได้ช่วยบอกด้วยนะครับ



มีคนซ้อมการแสดงควงไฟ คล้ายอาจารย์สอนหนักท่องเที่ยว น่าลองมากๆ



“บางครั้งเราก็เอาแต่ใจตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใส่ใจสิ่งรอบข้างบ้าง"



หลังจากนั้น ร่างกายพวกเราก็เรียกร้องที่พัก แต่ขาของเรายังไม่เรียกร้องใดๆ กระเพาะก็เช่นกัน จัดไปกับมื้อที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะจ่ายไหว ที่ “Chinatown นั่นเอง"



ในส่วนนี้จะเป็น zone ของกินโดยเฉพาะ ให้เดินออกมาจากที่พักทางด้านซ้าย เจอซอยแรก เลี้ยวขวาเลย แล้วเดินตรงไป ข้ามซอยเล็กๆหนึ่งซอย พอถึงซอยหน้า หันซ้ายไป จะเจอ โรงทานที่เก็บตังของย่านนี้ ของกินเต็มสองข้างทางนั่งโต๊ะไหนก็ได้ เพียงแต่มองหน้าร้านอาหารของแต่ล่ะร้านก่อน ว่าเค้าจองที่ไว้ให้ลูกค้าเค้าเองหรือเปล่า



บรรยายเรียกน้ำย่อยกันตามเมนู



ก๋วยเตี๊ยวลูกชิ้นปลา 4.5 SGD

กินที่นี่แทบเป็นมนุษย์ถ้ำ ทำไม ? อยากล่าปลามากินเอง



[ต้องกินให้ได้] บักกุเต๋ หรือ กระดูกหมูตุ๋นยาจีน 7 SGD

ด้วยน้ำซุปอันโอชะ ที่ละลายด้วยยาจีน ในน้ำซูปกระดูกหมูที่ใส เพียงแค่ได้กลิ่นกำลังภายในนี่แทบพลุ่ง



[ต้องลองให้ได้] หมูสะเต๊ะ หรือ “Yellow smart pork" ไม้ล่ะ 0.8 SGD ถ้าเป็นไก่สะเต๊ะ ไม้ละ 0.7 SGD

ด้วยรสชาติของน้ำจิ้มที่แทบกระโดด สะกิดปาก มันหอมมากกกก จริงๆ น้ำกะทิพิถีพิถันที่ข้น พร้อมกับสวนผสมเยอะแยะไปหมด อีกทั้งคนขาย ไม่ลืมตาอ้าปากคุยกับลูกค้าเลย



ข้าวเป็ดย่าง 4.5 SGD

ข้าวเป็ดย่าง เหมาะสำหรับคนที่ คิดเมนูไม่ออกจริงๆ รสชาติไม่ได้ต่างจากบ้านเราเท่าไรเลย แต่สิ่งที่ต่างนั้นคือ ราคา TT

“เพราะความฝันมันจะต้องไม่ใช่ความเพ้อฝัน"



ร่างกายยังต้องการที่พัก แต่สองข้างก็ยังไม่ยอมหยุดอีก ที่สุดท้ายสำหรับค่ำคืนนี้ ความสุขยามราตรี “Clark Quay" สถานที่แห่งนี้มีไว้พบป่ะสังสรรค์ ยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน กลางวันไม่ออกกลางคืนมานี่หล่ะกัน เพียบ ! เอกมัยทองหล่อ ดีดีนี่แหละ



วิธีเดินทางไปที่ Clark Quay จริงๆสามารถนั่ง MRT ได้ แต่เนื่องด้วย มีความขี้เกียจ เราจึงเลือกที่จะเดิน


การเดินทาง : จากหน้าที่พัก ไปทางซ้าย(ทางไป seawheel) แล้วตรงยาวเลย แต่ให้มองทางด้านซ้ายไว้ แต่ไม่ต้องรีบ มันไกลมาก ! ถ้าเจอจะสังเกตเหนได้โดยชัดเลย ลุยยยย



และคืนนี้ ก็อิ่มอกอิ่มใจกับที่สุดท้ายเอามากๆ Clark Quay จากที่ล้าๆ นี่อยากเปิดโลกทัศน์เพิ่มเติมเลยทันที แต่เงินไม่มี เลยต้องเดินนิ่งๆกลับที่พัก


แนะนำสำหรับใครที่มาเป็นก๊วนนะครับ ต้องลองสักครั้ง แล้วจะกลับแบบไม่ถูกเลย



“ไม่มีที่ใด มันจะสุขใจไปกว่าการอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองอยากจะอยู่"



Day 2-End

Day 3


3 “เพราะผู้คนมักคิดว่าเราถูกกำหนดเส้นทางชีวิตเสมอ ซึ่งมันไม่ใช่"



ด้วยเวลาที่เหลืออันน้อยนิด แต่เราไม่เคยคิดจะกลับ



ณ ตอนเช้า จากที่ไม่รู้จะกินอะไร แต่เราจะเหลือหนึ่งอย่างสุดท้ายที่จะต้องลิ้มลอง “Kaya Toast" ขนมปังไส้เนยและนมข้นหวาน รสชาติมันจะออกมันๆ หวานๆ พร้อมกับกาแฟ และไข่ลวดเสริฟเป็นชุด

และที่ๆเราเลือกจะไปกินคือตึกpeople park center ตึกเดียวกับร้าน Sea Wheel แต่อยู่ชั้น 2 หรือ 1 (ร้านเปิด 9.00) ถ้าสั่งแค่ขนมปังอย่างเดียว 2.4 SGD เป็นชุด ลืมราคาไปแล้วครับ ขออภัยจีจี



หลังจากดื่มดำกับการตื่นสายนิดๆ และ กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เป้าหมายยังเหลืออีก 3 ที่ ละละลุยยยยยยยยยย



ลำดับที่ 1 Buddha Tooth Relic Temple หรือ วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว



การเดินทาง : ไปทาง Maxwell food centre จะอยู่ทางด้านตรงข้ามและถึงก่อน Maxwell เป็นที่ๆผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่ตลอด ผู้คนมากราบไหว้ แต่เช้าเลยจริงๆ



ถ่ายจากข้างนอกวัด



บริเวณในวัด



ไหนๆก็ใกล้กะ Maxwell ยังมีอีกอย่างที่ลืมไปว่าจะต้องมาลอง “น้ำอ้อย" ที่นี่เก็บต้นอ้อยกันเป็นต้นๆไว้หน้าร้านเลย



ลำดับที่ 2 วัดแขก สิงคโปร์ หรือ วัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman)



สำหรับสถานที่นี้ คนแขกให้ความสำคัญมากๆ อีกทั้งยังมีการตกแต่งที่ค่อนข้างแปลกตาจากที่เคยเห็น (เราไม่เคยมาวัดแขก) ส่วนรูปภายในวัดไม่มีนะครับ เนื่องจากเค้าห้ามถ่าย แต่ถ้าอยากจะถ่ายต้อง "จ่าย" นะครับ แต่จริงๆแอบถ่ายได้นะครับ แต่เค้ามีกฏเราก็ต้องรักษากันหน่อย TT (ทั้งๆที่ใจนั้นไม่อยากทำตาม 555)



และลำดับสุดท้าย ถนน Haji lane อีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับผู้ที่ต้องการ เก็บภาพแบบ ชิคๆ



การเดินทาง : ให้ไปลงที่สถานี “Bugis"โดย Haji lane จะเป็นซอยเล็กๆ (ถ้าจะบอกว่าเดินยังไง ตอนนี้จำไม่ได้ แผนที่ให้คนอื่นไปแล้ว TT) ให้ออกทาง ประตู B แล้วลองมองในแผนที่จะอยู่ทางด้านขวามือเป็นซอยเล็กๆ ลองสังเกตุดูนะครับ


สำหรับการเก็บภาพ ห้ามลืมที่นี่เป็นอันขาด สตรีทอาทเต็มสองข้างทาง ไปดูสัมผัสเจ้าถนนเส้นนี้ด้วยกันเลยยย



เค้าอยากถ่ายด้วยน่ะ



รอบนี้ทีมไม่ครบ มากันได้แค่ 2 คน


"เวลาหมด !! ได้เวลากลับแล้ว" เสียงอุทานตอนเดินกันเพลิ่น


ถ้าจะเก็บให้หมดทุกที่คงเป็นไปไม่ได้



“การเดินทาง มักสร้างความสุขให้เราได้เสมอ "



“สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางต่างหากที่ทำให้เราพบกับประสบการณ์ใหม่ๆรอบตัว เพียงแค่คุณกล้าที่เดินออกมาเท่านั้น"


ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตรงนี้


...................... แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้า


Photographer&Writer : https://www.facebook.com/Sapaipaee

จะบอกว่ารูปสวยมากๆครับ ><



ปล.ผมแก้ เครื่องหมาย ] ให้แล้วนะครับ

สะปายเป้

 วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.09 น.

ความคิดเห็น