อันยองงงง ภาษาสวัสดีที่พูดกันตลอดเวลาเจอผู้ชายเกาหลี เมืองที่ผู้ชายหน้าเนียนกว่ากูด้วยอะไรก็แล้วแต่ เห็นแล้วพริ้มๆตาม สาวๆนี่ไม่ต้องพูดถึง ฝาแฝดกันมาเป็นแถบ ที่นี่เป็นเมืองที่น่ารัก คนก็ไม่ได้แย่ แถมเมืองยังมีความเป็นระเบียบด้วยนะ ขยะนี่น้อยจนเราไม่กล้าทิ้งเลยอ่ะ แต่ถ้าเป็นพวกโซนร้านกลางคืนผับบา นี่เป็นข้อยกเว้นละกัน แต่ดีที่ไม่มีถุงน้ำจิ้มที่อาแปะชอบวางทิ้งไว้


ทริปนี้ เราไปกับทัวร์ เพราะอยากไปแล้วจองช่วงที่มีข่าวระบาดยิ่งกว่ายุงที่สวนหลังบ้าน ว่าถ้าไปไม่ได้กลับออกมานะเว้ย ไม่งั้นอาจต้องเที่ยวคนเดียวนะเว้ย ซื้อตั๋วฟรีนะเว้ย สาระพัดข่าวที่มันหนาหูตื่นเต้น อย่างกะแมวที่พึ่งได้ปลอกคออันใหม่ รอบทัวร์เรามีคนโดนส่งกลับและยังมีรอดไปได้แล้วหนีไปเลยก็มี บอกเลยโคตรพีค


เราจะมาเล่าว่าเราไปเห็นไปเจอ ไปรู้สึกอะไรแปลกๆกลับมาบ้าง ไปกับทัวร์ ก็มีทั้งดีทั้งเสียนั่นแหละ ปกติเราไม่ค่อยได้ไป แต่รอบนี้ขอลองอีกสักครั้ง เออจริงๆ มันก็ดีนะในหลายๆอย่าง เป็นยังไงไปดูกัน

อันนี้เราคงไม่ได้รีวิวแบบถี่ถ้วนว่าเดินทางยังไง นั่งรถอะไร เพราะเรามากับทัวร์ มาลองอีกบรรยากาศกับกลุ่มใหญ่ๆ ที่ไม่รู้จักใครเลย ก็เป็นอีกฟีลนึงแหละ เหมือนมากันเป็นทีมใหญ่แต่ไม่ค่อยคุยกัน สนุกดีแปลกดี เพราะไม่เคยมากะทัวร์มาก่อน

ฝากกระทู้นี้ให้อยู่ภายในใจ ของใครที่อยากไปเกาหลี เมืองที่เครื่องสำอางค์น่าไปสอยมาให้หมด รองเท้าที่ถูกกว่าไทยและที่ใดๆในนั้น กิมจิที่ปกติไม่กินกลับกลายเป็นต้องกินไม่งั้นจะรู้สึกรสชาติมันหายไป กับหมูย่างที่ฟาดฟันกันทุกมื้อที่มีโอกาส และตบด้วยเบียร์คูลๆกับไก่ทอดที่ทอดยังไงก็ไม่ได้แบบเขา


ไปกันเถอะ มันดี ดีดี๊ดี ใครๆก็ชอบบ


ค่าใช้จ่าย

-16,900 บาทเบ็ดเสร็จสำหรับทุกเรื่องตั้งแต่บินยันที่พักและอาหารการกิน

(ราคาตามช่วงนะฮะ ปรับขึ้นลง ตามเทศกาล ไม่ได้ตามน้ำหนัก )




พบกับการเดินทางใหม่ๆ ของพวกเราสะปายเป้ : https://goo.gl/s3Nbuo

หรืออยากจะตามไปอีกที่ IG: https://goo.gl/o3KVTQ

Day 1

"เงินในกระเป๋าหายไป เพราะเลขไมล์ในชีวิตมันเพิ่มมากขึ้น "

ตื๊ดๆๆ สัญญานนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นระลอก เพราะเรากด Snooze ตี 5.00 คือเวลาทีพี่ๆทัวร์ เรียกให้ไปเจอกันที่ดอนเมือง แน่นอนครับ เช้าขนาดนี้จากบ้านที่อยู่ลาดพร้าว ทำให้เราต้องตื่นตอนตีสามและวิ่งผ่านน้ำตามสไตล์คนสะอาดที่หาได้ทั่วไปจากเราๆในหน้าหนาวนี่แหละครับ หลังจากที่พี่ๆเค้าส่งเราออกนอกประเทศไปยืนเมืองเกาหลีกินกิมจิ และเครื่องก็ Take off แบบนิ่มเกินไปหรือเปล่า

"เงินในกระเป๋าหายไป เพราะเลขไมล์ในชีวิตมันเพิ่มมากขึ้น "

ตื๊ดๆๆ สัญญานนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นระลอก เพราะเรากด Snooze ตี 5.00 คือเวลาทีพี่ๆทัวร์ เรียกให้ไปเจอกันที่ดอนเมือง แน่นอนครับ เช้าขนาดนี้จากบ้านที่อยู่ลาดพร้าว ทำให้เราต้องตื่นตอนตีสามและวิ่งผ่านน้ำตามสไตล์คนสะอาดที่หาได้ทั่วไปจากเราๆในหน้าหนาวนี่แหละครับ หลังจากที่พี่ๆเค้าส่งเราออกนอกประเทศไปยืนเมืองเกาหลีกินกิมจิ และเครื่องก็ Take off แบบนิ่มเกินไปหรือเปล่า

รอบนี้เราบินกับ แอร์ชุดแดงแรงฤทธิ์ ครับ รอบนี้มีความพีคแบบเล็กๆเกิดขึ้นเวลามีคนพูด นี่นึกว่าเป็นพี่วูดดี้ มี "สวัสดี พี่น้องชาวไทยทุกคนครับ" ให้ตายเหอะ เสียงนี่นุ่มละมุนลึก แอบขำนะ แต่ก็เรียกรอยยิ้มได้ดีเลยเชียวแหละ เทคออฟดีต่อใจมากๆครับ ขอชม เราขี้กลัวเครื่องบินแต่ชอบนั่งข้างหน้าต่างตลอด

และเครื่องก็ Landing มาถึง สนามบิน อินชอน สนามบินที่ไม่ว่าใครจะมาก็ต้องได้มา ตอนมาถึงปุ๊ป สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึกคึกคักทันตาเห็น อย่างกับถูกเลขท้ายสองตัวแต่เฉียดรางวัลที่หนึ่ง อากาศ เย็นมากกกกก อุณหภูมิ ณ ตอนนั้นคือ 2 องศา แบบน่ารักและดีต่อใจมากๆ

หลังจากที่เข้ามา เราต้องมายืนสุมหัวรอรถไฟฟ้า กับคนหลากหลายชาติ ศาสนา ที่ยืนไปยืนมาแล้วดูอบอุ่นละมุนแบบน่ารัก (หรอวะ ไม่นะ) คือตัวอาคารโดยสารที่ต้องไปปเกท กับที่ไปเอากระเป๋าไรงี้ จะเชื่อมด้วยรถไฟฟ้า ความเร็วปกติเพราะไม่รู้ถ้าเร็วสูงจะเร็วไปทำไมขนาดนั้น 5555 นั่นแหละฮะ ตอนแรกก็งง นี่ก็ตามๆเค้าไป ไปจนกว่าเจอะเป๋า

**มาถึงความพีคระดับ สามสิบแปดบวก กับ Immigration ของเกาหลี แน่นอนว่าเป็นที่เลื่องลือหนาหู และถูกทิ้งกันมาเป็นแถบอยู่แล้ว จริงๆ เค้าคงมีวิธีจำแนกในแบบของเค้านั้นแหละครับ คือบางคนดูไม่มีพิรุธไรเลย ก็ยังโดนแล้วปรากฏว่า เป็นคนหนีเข้าประเทศจริงๆด้วย จากพี่ๆทัวร์ที่ผ่านๆมา เค้าบอกว่า มากัน 30 พ้น สนามบินเหลือ 15 กลายเป็น private ทัวร์ไปเฉย ยังไงยังงั้นเลย 555 นั่นแหละครับ ทำตัวปกติ ไม่ต้องคิดมาก เตรียมเอกสารนิดหน่อย เผื่อเค้าเรียกดู ว่าเราจะกลับมาทำงานจริงๆนะ


จากนั้น เราก็ถูกต้อนมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่รอ รถทัวร์บ้านเค้านั่นเอง จริงๆสามารถเดินทางด้วยรถไฟก็ได้ หรือจะรถทัวร์ก็ได้ ลงตามป้าย แอบเปิด Google map ไม่ก็ถามๆคนข้างๆ รอตีเนียนดู เผื่อจะได้อปป้ากลับบ้านก็แซ่บไปอีกแบบนะ

สถานที่แรก ที่เราจะเอ็นจอยกันให้สวิงแบบสุดแล้วสุดอีก "Lotte world adventure" สวนสนุกในร่ม ที่ใหญ่ที่สุดตามที่เค้าบอกมา เอ้ย รวมๆแล้วมันโอเคมาก แต่ที่ติดตาแล้วอิจฉาสุดคือที่นี่ เค้าจะมาเป็นคู่ใครมาเดี่ยวเชย สะบัดบ๊อบแล้วอยู่บ้านเฉยๆไปเลย ไม่ก็ต้องมากับแก๊งเพื่อนให้แลดูแบบยิ่งใหญ่หน่อย

ที่นี่จะมีสองโซน คือ ส่วนในร่วมและนอกด้านนอก ข้างนอกนี่จะเป็นเครื่องเล่น แบบ Extream หน่อยๆ ที่มองแล้วขาสั่นพั่บๆ แบบอยากเล่นผสมกลัว เหมือนใจเอนเอียงไปทางเธอ นั่นแหละครับ เป้าหมายแรกของวัยรุ่นๆของเรา โซนนอกเลย

จังหวะที่ก้าวเท้ามุดใต้ดินของทางย่าน Lotte world มา จะเจอกับ ตึกอลังการในซีรี่สักเรื่องที่เอามาบอกรักกัน ชื่ออะไรไม่รู้ แต่มันจะค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อย เหมือนสีปีโป้ที่มีขายอยู่ในตลาดอ่ะ สวยดี ดีงาม คนก็ดี สว่างวาปจ้า อปป้าก็เช่นกัน

และเครื่องแรกและเครื่องเดียวที่คนนั่งเขียนไมได้เล่น แต่เพื่อนเล่น ไจแอ้นดรอปสุดเฟี้ยวฟ้าววว :D อันนี้จะเป็นแบบ มีหน้ากากสวมให้แล้วเหมือนเราดูอะไรอยู่สักอย่าง แล้วมันก็ดรอปลงมาเลยจ้า เอาจริง ถ้ามองวิวแล้วมันจะเสียวกว่านี้ อ่ะตื่นเต้นกันไปแล้วนะแกร

ปล.คิวยาวมากกก มากเกินไปที่จะรอเพื่อให้ได้เล่นทุกเครื่อง เพราะเวลามีไม่น่าจะพอเลยฮะ


สวนสนุก Lotte world


กลับมาที่โซนด้านใน โซนที่มีให้เด็กๆเล่นกันเป็นซะส่วนใหญ่ มาวิ่งเล่นเป็นวงกลม(ม้าหมุนไงว้อยย) และเค้าก็บอกมาอีกทีว่า ที่นี่ ม้าหมุนใหญ่ที่สุดในโซล(หรือเกาหลีนี่แหละ) หรือจะเป็นหนอนไฟวิ่งตามราง พาชมรอบๆ Lotte world แบบฉบับครอบครัวมีลูกสามขวบ แล้วก็ปิดท้ายด้วย บอลลูนลอยติดขอบโดม คือมันจะเห็นวิวแบบทั้งหมดของ Lotte world ในโซนด้านในเลย แต่เราไม่ได้ขึ้นเพราะพี่ๆเกาและจีน ยืนต่อแถวกันยาวเกินไปจนรอไม่ไหว ต้องตามๆเค้ากลับไป

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุของการมาทัวร์เนาะ ได้อย่างเสียอย่าง แต่เราว่ามันก็ได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง สนุกไปอีกแบบ เหมือนแกได้จิ้นกับดาราที่เรารัก แล้วได้คึกคักกับคนที่เราหลง

อีกอันหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือ ม้าหมุนที่ใหญ่ที่สุดในนครเกาหลีใต้ อยู่ที่นี่ ไหนลองเล่นสิ (เอาจริงบ้านเราใหญ่กว่านะ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร) เด็กนี่หันมาแล้วทำแบ๊วๆใส่ นี่หิ้วกลับบ้านได้มั้ยลูก ม๊ามันจะหมุนไปเรื่อยๆ ครึกครื้นดี กับเสียงเพลงที่ฟังไม่ออก มันจะฟินมากๆถ้าคนข้างๆเป็นคู่เดทกันมาประมานสามเดือน ไสยๆ ไขให้กระจ่าง อิอิ

พอสักพัก ถึงเวลา ประมาน 3 ทุ่มนิดๆ ที่พีไกด์ทัวร์บอกให้เราเอนจอยกับที่นี่ได้แค่เวลานี้ เพราะเราต้องหนีเข้าที่พักกันแล้ว ที่พักที่เราไปกันชื่อ "JK Hotel" เป็นโรงแรม ที่น่าจะประมาณ 3 ดาว ไม่น่าเกินนี้ ส่วนใหญ่เห็นกรุ้ปทัวร์มานี่กรุ๊ปเลย ที่พักอยู่ย่าน

และแน่นอนฮะ ด้วยความที่เพิ่ง 20 ต้นๆ กับเวลานอน ไม่ค่อยจะจำเป็นเวลาไปเที่ยวหึหึ ออกสิครับงานนี้ พี่ทัวร์บอกว่า กลางคืนคือฟรีไทม์ฮะ อยากนอนหรือเอนจอยกะอะไรก็ได้ สิ่งแรกที่เราคิด คือเบียร์กับไก่ทอด ที่โครตลือชื่อสุดๆ สำหรับประเทศนี้ และอีกอย่างหนึ่งที่ตามมา คือ หมูย่างเกาหลีนั่นเองเว้ยแกรรร

แท๊นนนน ดีงามพระรามแปด กับบุฟเฟ่ เนื้อย่างเกาหลี แบบเฮ้ยย นี่มันเกาหลีจริงๆนะเว้ย เราไม่ได้กินหมูเกาหลีที่ไทย ที่นี่ราคาหัวละ 10,000 วอน (300 กว่าบาท) ไม่จำกัดเวลาและขนาดกระเพาะ แต่ค่า น้ำ เบียร์ บลาๆ เสียตามระเบียบครับ ไม่บุฟเฟ่เครื่องดื่มนันเอง

ร้านจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเลย เดินเลยขึ้นไปนิดหน่อย จะเห็นว่าสองข้างทางนี่จะเต็มไปด้วยร้านค้าหลากลายแบบมาก ทั้งร้านเหล้า ร้านไก่ทอด หรือร้านหมูย่างแบบที่เราเล็งแบบนี้ แนะนำครับ ใช้ภาษามือจะช่วยได้พอประมาน ส่วนใหญ่เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และเค้าอาจจะฟังสำเนียงของผมไม่ออกก็ได้ฮะ 5555 ส่วนหมูแบบในภาพที่เห็นนี่แหละจ้า ดีต่อใจ ดีต่อพุง ดีต่อไขมัน อิอิ๊

เครื่องเคียงก็บุฟเฟ่ เดินไปตักแถมโกยๆ เอามาติดตัวได้เลย แถมยังบุฟเฟ่ข้าวอีกนะครับ งานนี้ผมจัดไป สามชามใหญ่ให้หายใจแบบติดขัดไปเลย

"ซากของความสำเร็จในการกิน มาจากการมูมมามซะส่วนใหญ่"

หน้าร้าน หมูกระทะ ฉันอ่านไม่ออก อ่านได้บอกที

หน้าร้าน หมูกระทะ ฉันอ่านไม่ออก อ่านได้บอกที

สำหรับคืนแรก เราปั่นไขมันให้ขยายตัวด้วยเบียร์เบาๆ และหมูกระกะทะและต่อด้วย "นมแคนตาลูป"ที่ดีต่อใจที่สุดในราคา 1,300 บนชอป ที่มีเหมือน 7-11 ทุกสาขาเหมือนบ้นเรา มันคือ นมแคนตาลูปอะไรไม่รู้ ที่ต้องไปกินให้ครบทุกรสให้ได้เลยนะเออออ รสชาติมันเหมือนเอาเมลอนจุ่มนมข้นหวาน แล้วค่อยๆเคี้ยวแบบละลายในปากไม่ละลายในมือแบบนั้นเลย

สำหรับคืนแรก เราปั่นไขมันให้ขยายตัวด้วยเบียร์เบาๆ และหมูกระกะทะและต่อด้วย "นมแคนตาลูป (สีเขียวๆนะ)" ที่ดีต่อใจที่สุดในราคา 1,300 บนชอป ที่มีเหมือน 7-11 ทุกสาขาเหมือนบ้นเรา มันคือ นมแคนตาลูปอะไรไม่รู้ ที่ต้องไปกินให้ครบทุกรสให้ได้เลยนะเออออ รสชาติมันเหมือนเอาเมลอนจุ่มนมข้นหวาน แล้วค่อยๆเคี้ยวแบบละลายในปากไม่ละลายในมือแบบนั้นเลย


Day 2

"หมูกระทะ เป็นเทพเจ้า อื่อ"

เช้านี้ ตื่นมาด้วย 0 องศา แบบอากาศที่หน้าบ้าน ไม่รู้สึกหนาวเลยเว้ยแกร จะบ้าหรอไงง มันหนาวนะพี่ชาย ! เรามีนัดกันที่ ลานสกี "Yangji Pine Ski Resort" ที่นี่เป็นเป้าหมายของเราเลยนะฮะ เล่นสกี แล้วลากเราไปที เรารู้สึกอยากเป็น มิวนิธฐา ที่เป็นความทรงจำเสื่อมให้พี่เต๋อมาตามหา แล้วค่อยพาเรากลับบ้าน

ลานสกี ใช้เวลาเดินทางโดยรถทัวร์ที่นี่ ไปประมาณ 1 ชม กว่าๆ ไม่นานมากแต่อารมเหมือนออกจากต่างจังหวัดยังไงยังงั้นเลย คือตื่นมาขึ้นรถแล้วงีบหลับ ก็ถึงแล้ว

ถึงแล้วว เหมือนยังกับวาปมา สัมผัสแรกกับอากาศประมาน -2 องศา แบบเหมือนอยู่ที่ไทยเช่นเคย ที่นี่จะมีให้เลือกการเล่นสกี สองแบบ แบบแรก แบบที่เห็นในภาพ คือสกี ที่มันเป็นขาคู่ ไม่แน่ใจว่าเรียกอะไร ราคา 35,000 วอน แต่ว่าแนะนำ ต้องมีเวลานิดหน่อย เพราะต้องวัดไซส และหัดเล่น ยืนๆ ไปมาๆ ให้ได้ก่อน อีกแบบคือ Slade มันเป็นกระดานลื่นไถ เหมือนกลิ้งลงมาจากเขา ไม่ต้องฝึกไม่ต้องทำอะไร ไหลอย่างเดียว


Slade อันนี้แบบชิวๆ ไม่ต้องแต่งตัวและใช้เวลามากเท่าไรเลย หยิบกระดานแล้วไหลไปเลย เราเลือกแบบนี้ครับ ราคา 25,000 วอน จริงๆพี่ๆทัวร์แนะนำให้เล่นแบบนี้ เพราะเวลาไม่เยอะ (แอบเสียดายเล็กๆ) แต่จริงๆลองเข้าไปถามอีกที เค้าก็โอเคถ้าเราจะเล่นแบบแรก เพราะพี่ๆเค้าก็จะมาสอนเราเองอีกด้วย เออดีนะ แต่เรากลัวเราได้เล่นน้อย

**แนะนำ ถ้ามีเวลาเหลือมากพอ แบบอยู่ทั้งวันหรือให้เล่นแบบทั้งคืน คือมีเวลาอยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งวัน ให้เล่นแบบขาคู่ น่าจะเอนจอยและดิบกว่าไหนๆ แน่นอนครับ แต่ถ้าเวลาน้อยแนะนำเลือกแบบแรก จะได้รู้สึกว่าเราได้ฟีลแบบ ไหนๆก็มาแล้วเอาหน่อยเว้ยแบบนี้เลย (เรามีเวลาแค่ 1 ชมครึ่ง ) แต่เราก็อยากลอง slade เหมือนกัน เหมือนเล่น slider ตอน ห้าขวบเลย สนุกสนานนน

เด็กมันน่ารักนะเหวยยย ขอถ่ายแล้วนะฮ่ะ ผู้ปกครองซื้อตั๋วอยู่ด้านหลัง

หลังจากที่สกีแบบใช้ แผ่น Slade สไลด์ไปมาให้รู้สึกคูลๆ ที่ทำให้เราดีต่อใจกันไปแล้ว น้องพุงเราก็เริ่มจะครวญคราง ชวนให้ไปหาอะไรมาฟาดปากให้ท้องอิ่ม แล้วกินมันให้เหมือนหิวตอนเวลาห้าทุ่ม



แท๊นนนน บุฟเฟ่เนื้อย่างอีกเช่นเคย อีกแล้ว มันมาอีกแล้ว มันดีต่อใจอีกแล้ว ร้านนี้ ตั้งอยู่แถว … ตามที่สังเกตุเป็นร้านที่ ทัวร์จะชอบมาลง ทัวร์จีน ญี่ปุ่น หรือไทย มากันเยอะแยะเลย เพราะไปถึงอาหารเค้าจะตั้งมาเป็นชุดพร้อมให้เราไปหยิบแล้วมาปิ้งกินให้เข้าปาก แถมเนื้อของที่นี่จะต่างจากบ้านเรา คือมันใหญ่ เค้าไม่แบ่งเป็นชิ้นเล็กและมันดีมากกกก!! กินกับกิมจิด้วย นี่มันเข้ากันอย่างกับแป้งกะรองพื้นยังงั้นแหละ ขาดกันไมได้เลย

เราหิว เราขอโทษนะ

หลังจากที่กระเพาะของคาวเต็มแล้ว คราวของหวานก็เปิดขึ้นที สถานที่ต่อไป ที่เราต้องไปฟาดฟันน สวนสตรอเบอร์รี่ "FOUR SEASON FARM" ที่นี่เป็นสวนเล็กๆเน้นความฉ่ำของสตอเบอร์รี่ จริงๆเค้าบอกว่าเด็ดกินที่ต้นแล้วเอามาจ่ายทีหลังได้ แต่.. เกิดเหตุการ มีนักท่องเที่ยวแอบไปกินหลายลูกมากเกินไป แล้วตีเนียน พี่เค้าเลย

เด็ด มาให้ซะเลย ไม่ต้องเก็บเองละจ้า 555

ง่ำทีนี่เต็มปากเต็มคำ ชอบบบบ

รสชาตินี่ไม่ค้องพูดถึงหวานฉ่ำล้ำค่ามากเลยนะแก คือ ลูกมันใหญ่ แบบเต็มปากเต็มคำ ที่นี่ขายกล่องละ 12500 วอน ได้ประมาณ 6 ลูก ส่วนที่เค้าเด็ดมาให้ชิมคิดว่าน่าจะรวมอยู่ในทัวร์ของเราเรียบร้อยแล้วฮ่ะ แต่มันดีต่อใจมากเลยนะเว้ยแก เราหยุดไม่ได้แล้วววว นี่ซื้อกลับบ้านมา สี่กล่องใหญ่แถมได้ห่อกับผ้าพันสีทองอร่าม เล่นใหญ่กันจริงๆ 5555

FOUR SEASON FARM

ส่วนนี้ ดูจากท่าทีแล้วไม่น่าเข้ามาได้ง่ายๆ คือต้องไปด้วยรถทัวร์ หรือต้องแบบโบกรถเข้ามาหน่อย เพราะที่สวนอยู่ไกลมาก และดูไม่ค่อยมีรถเลย อันนี้ข้อมูลอาจจะผิดนะครับ น่าจะมีวิธีเดินทางอยู่

สวัสดีอีกที เกาะนามิ แลนมาร์คอีกที่ของแดนกิมจิ ที่นี่ เราเชียร์แบบชูป้ายไฟ ถ้ามีโอกาสแบบไปแวะ แวะช่วงสี่โมง แบบให้แดดกำลังลง มันจะสวยมากเลยนะเอออ จริงๆที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น เน้นเดินชิว พัก่ผ่อน มองหาวิวแบบเจ้าของเกาะอะไรแบบนั้น

พอเราไปถึงและซื้อตั๋วที่อยู่ข้างๆตรงด่านก่อนลง เราก็จะต้อนตัวเราเองไปบนเรือ คือเกาะนามิ เราต้องนั่งเรือไปต่อที่เกาะ ตามๆเค้าไปอะครับ ไม่ยากเลยแหละ

เกาะนามิ เป็นเกาะที่รวมอะไรหลายอย่างไว้จัดกันอย่างน่ารัก ถ้าในแง่ความจริงและอิงประวัติศาสตร์

เกาะนี้เป็นเกาะที่ตั้งตามชื่อของท่านนายพลนามิ เกาะนี้เป็นเกาะรูปใบไม้ลอยน้ำ เกาะนี้เลยถูกตกแต่งให้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ที่โอ้โห มุมไหนก็สวยดูมี story และน่าแช๊ะภาพมากๆ มุมไหนก็มีให้โพสอ่ะ มันดีต่อใจจริงๆ นี่ได้รูปกลับมาเต็ม

เราพยาพยามไม่เป็น กขค แล้วนะ อีกหนึงมุมฮิต

ระหว่างทางจะให้ฟีลธรรมชาติแบบนี้ไปทั้งหมดเลย มีไฟประดับ มีความน่ารัก มีความเป็นกันเอง แบบที่ไม่ต้องคุยกันก็รุ้สึกได้ ไหนจะงานดีดี ที่มากับคู่ของคนอื่น นั่นแหละ บอกเลยว่ามานี่ แล้วจะมาเล็งใครสักคน คงพาอปป้ากลับไม่ได้เพราะพี่แกเล่นกันมาเป็นแบบคู่ๆทั้งนั้นเลย

อีกร้านบนเกาะ นามิ ที่ต้องหยุดเดินแล้วหันมาจ่ายตัง ซาลาเปาลูกละ พันวอน อร่อยยมากก คือแป้งนุ่มบวกกับมันเป็นของร้อนที่ต้องมาปะทะกับอากาศหนาวๆ โหยยดี ลงตัว อยากหยุดเวลาเอาไว้ตอนซาลาเปามันเด้งเข้าปาก งื้อออออ ซาลาเปาอยู่ในหม้อดำๆนั่นแหละ เราหารูปเปาๆไม่เจอ ละ

พระอาทิตย์กำลังตกพอดิบพอดีเลย กับทริปสุดท้ายของวันก่อนพระอาทิตย์จะบ๊ายบาย

และปิดท้ายด้วยวิวกลางคืนกับอีกสถานที่ ของคู่รักที่ต้องมาคล้องกุญแจแล้วเขียนชื่อลงไปในนี้ "Soul Tower" สถานที่โคตรยอดฮิต ที่ใครมานี่ก็ต้องมา ด้วยวิวที่มองเห็นแบบสุดลูกหูลูกตา แบบพาอาม่ามานั่งดูด้วยได้เลยอ่ะ ไกลมาก สวยมากก ชอบบบ แต่ที่เราเห็นเป็นวิวกลางคืน เลยเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร

เดี๋ยวก็เลิกกัน ว้อยยยย คล้องไรกันเยอะแยะไปหมดเลย

และคืนนี้เราก็ต้องเปลี่ยนที่พัก มาพักที่ "PRIME in SEOUL HOTEL" กี่ดาวไม่รู้ รู้แต่มีอ่างอาบน้ำแบบยิ่งใหญ่มาก เป็นยังไงไปดูกันเลย แต่สุดท้าย เราก็ไมได้ใช้อ่างน้ำทำอะไรนอกจากล้างเท้า ดูสิ พลาดขนาดไหนน 555


เราจะพักทีนี่เป็นเวลาสองคืน ซึ่ง มันไม่ได้แย่เลยนะ ทุกอย่างดูโอเค ไม่หรูและก็ไม่ธรรมดา แถมยังอยู่ใกล้รถไฟอีกด้วย จริงๆก็ไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นหรอกต้องเดินไปท่ามกลางลมที่มันโชยปะทะหน้าแบบทุกวัน


และแน่นอนเอาอีกแล้วกับคืนนี้ เราออกไปหาเปิดวาป อะไรใหม่ๆ ซึ่งคืนนี้เราจะย่อร่างให้กลายเป็นวัยที่ได้ไปตื้ดอีกครั้ง กับผับที่เกาหลี "NB1" ผับฮอตฮิตติดอันดับที่ไม่ว่าใครจะมาก็ต้องมาสักครั้ง ผับที่นี่เค้าจะจำกัดอายุ ไม่ให้เกิน 35 !! เกินนี้ไม่ได้ละนาจา ใครจะไปให้เตรียม "Passport " ตัวจริงมาด้วย

และอย่าลืม *นามบัตรโรงแรม ติดมาด้วยครับ ไม่ก็ถ่ายรูปมา เพราะมันจำเป็นมาก เพราะเค้าอาจจะฟังที่เราพูดไม่รู้เรื่อง


เราเปิด Google map เพื่อเปิดวาปให้ตัวเองไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดแล้วไปลงสถานนี มหาลัย Hongik University ลงปุ๊ปเปิด map เดินได้เลยจ่ะ


**คำเตือนที่โดนกันมา

ผญ คนไหน ที่จะเข้าไปผับ ต้องทำใจยอมรับก่อนอย่างนึงว่า ผชเกาหลีเข้าถึงตัวและแตะตัวแบบจริงจัง เรียกว่ายิ่งกว่าแต๊ะอั๋ง ถ้าชอบก็เอนจอยฮะ ถ้าไม่ก็ปฏิเสธไปแต่ถ้าคุณสวยเกินจนโดนเตะตา ระวังพวกเค้าตื๊อนะครับ ยังไงใครไปลองหาข้อมูลหลายๆอย่างไว้ แต่ถ้าใครอยากได้อปป้ากลับบ้าน คิดเองนะ 5555

และงานเช้าก็มาอีกครั้งเพราะเราเข้าไปกระโดดดึ๋งๆ ของเพลงค่าย YG ที่แสนจะพีคไปสะหมด เพื่อนเราเป็นสาวก BigBang เธอก็มันกินขาดไปคนเดียวฮะ

รถไฟฟ้า หมดเที่ยงคืน และเป็นอีกครั้งที่ต้องเรียก แท็กซี่ ต้องลองเห็นเลขวิ่งแล้วหัวใจจะเต้นรัวมากเลย คือมันวิ่งเร็วมาก แต่ก็ตามค่าเงินบ้านเค้าแหละ :D


Day 3

"ถ้าไม่ออกไปตอนนี้ แล้วจะออกไปเจออะไรใหม่ๆตอนไหน"

อันยองงงง สำหรับวันที่ สาม วันนี้ ที่ต้องฟาดฟันกับสององศาแต่เช้าอีกแล้ว เป้าหมายที่แรกวันนี้ เป็น ประสาท " พระราชวังชางด็อกกุง" เป็นพระราชวังอันดับสองที่สร้างจากพระราชวังเคียงบกกุง เป็นที่ๆไว้ใช้สำหรับพำนักของกษัตริย์ในยุคนั้น ความเจ๋งที่แอบรู้มาว่า ถ้าสถานที่ไหนกษัตรย์ ใช้งานเยอะ ให้สังเกตุกับจำนวนน้องลิงที่อยู่บนหลังคา นี่ลองเที่ยวแบบมีสาระแบบตั้งใจฟัง มันก็ซึมซับกันไปอีกแบบ


ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ปลาคุณยาย ชื่อเกาหลีเรียกว่าอะไร จำไม่ได้แล้ว แต่มันตบกับอากาศที่โคตรจะเย็นกับเจ้าสิ่งนี้มันเข้ากั๊นนเข้ากันน คือร้านจะตั้งอยู่ ด้านนอกของลานจอดรถ เอาง่ายๆ มองเข้าไป แล้ว เดินไปซ้ายเดินออกจากลานจอดรถทัวร์ออกไปอีก จะเจอคุณยายเปิดท้าย เฮ้ยย อร่อยจริง อร่อยดี อันละ 1000 วอนเอง ดีงามอร่ามจิต

ของเก่ายังไม่หาย แต่เราจะเติมของใหม่อีกแล้ว พี่ไกด์ทัวร์ พาเรามาลงร้านที่มี "ไก่ตุ๋นจักรพรรดิ" เค้าบอกว่าหม้อนี่เอาไว้ให้ กษัตริย์กิน รสชาติ จะเหมือนข้าวมันไก่บ้านเรานิดๆ แต่จืดกว่าด้วหลายๆ อย่าง คือเค้าจะเอาข้าว ยัดเข้าไปในตัวไก่แล้วเอาไปนอนดิ้นในน้ำที่แบบเดือดๆ แบบเดื๊อดเดือด แล้วกินมันดื้อๆแบบนั้น กับน้ำจิ้มไก่บ้านเรา(พี่ไกด์ให้มา 555) สำหรับเรา มันกินยากไปหน่อย แต่ก็โอเคกับครั้งแรกของเรา ดีนะ ต้องลองจะได้รู้


และแล้วเวลาล่าเครื่องสำอางค์ของบรรดาลุกทัวร์ก็มาถึง ตึก Duty Free มีขายแทบทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอางค์ที่มีคนข้างบ้านฝากซื้อมาสองลังใหญ่ หรือจะเป็น Gift shop ที่แฟนของเพื่อนฝากซื้อด้วยเว้ยยย ดูสิดู เรานี่ไม่มีเพื่อนยังจะเยาะเย้ย ในส่วนของภายในตึกนั้นขอไม่กล่าวอะไร ให้สายช็อปทุกคนจินตนาการเองได้แน่นอน แต่ข้างๆนี่สิ เป็นอะไรที่เด็ดกว่านั้น คือเราชอบอะไรแบบนี้มากเว้ยย


Mojeongyo Bridge

แถวๆสะพานที่นี่ เหมือนเป็นอีกแหล่งที่ไว้พักใจ ให้ลืมเธอไปสักพัก ที่นี่จะเห็นคนมานั่งชิวๆ พาหมามาจูง หรืออาจจะเป็นแค่ที่เดินผ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอดูออกมาแล้วเราก็รู้สึกสบายใจนะ เราชอบมานั่งดูอะไรแบบนี้แหละ ถือเป็นการพักผ่อนจากการเดินทางยาวๆ :D

และก็มาถึงเวลาแห่งขาช็อปปิ้งที่รอคอยกันมานานแสนนาน "ตลาดเมียงดง" แหล่งรวมย่านช็อปปิ้งที่อยากหาไรกินก็มา เครื่องสำอางค์ก็มี รองเท้าหรอไม่ต้องพูดถึง บอกเลยราคาถูกกว่าที่ไทยประมานหนึ่ง แต่ไม่ได้ถูกมากขนาดนั้นนะ แต่เรามารอบนี้ไม่ได้เน้นช็อป แต่เน้นกินนนนน ไปดูกันเราไปแทะอะไรมาบ้างงง

- ไอติมโคตรยาว

ไอติมบ้าไร ใส่ได้ยาวขนาดนนั้นแล้วที่สำคัญ คือมันอร่อยด้วยเว้ยย แท่งละ 1000 วอน ไม่ได้เกินนี้เลย อีกอย่างทีสำคัญ คือ เราลองแกล้งโยกไปมา เฮ้ยย ไอติมเนื้อแน่นมากก แบบไม่หลุดไม่ร่วง

ปล คนขายพูดไทยได้ไม่กี่คำ อร่อย อร่อย พูดแต่งี้ 55555

-หอยเผา

อะไรไม่รู้ เห็นเค้าพ่นไฟ แล้วโรยด้วยชีส แบบ โอ้ชีสสสสสสส อุทานมาเบาๆ แบบนี้แหละ คือเค้าจะเอาหอยแล้วโรยด้วยชีสแล้วอะไรต่ออีกไม่รู้ ไปปรุงและคลุกเคล้าให้เข้ากันในแบบของเค้า หน้าที่ของเรา คือ จ่ายตังแล้วชิมให้หมดทั้งอันเลย รสชาติ จะออกเลี่ยนๆหน่อย แต่รวมๆแล้วโอเค จบไปที่ 8,000 วอน

หน้าตาอาจจะไม่ถูกใจ แต่พอลองเข้าไปแล้วจะยิ้มจนแก้มปริ

-ขนมปลาไทยาเกา ไม่ใช่ไทยากิ เพราะขายที่เกา แอ่แฮร๊

ไอ้ที่หยิบมาเป็นขนมรูปตัวปลา ที่เค้าจะเอาไปประกบด้วยแม่พิมพ์แล้วกลายร่างมาเป็น ขนมที่มันจะสุดสวีทฮาร์ทมากๆ เฮ้ย คือเราเลือกรสกล้วย แป้งที่กัดลงไปนี่คือกรอบพร้อมเกล็ดน้ำตาลเล็กๆๆ โอ้ยย อยากให้ข้างที่ทำงานมีขายมากๆเลย อันนี้ 1200 วอนครับ


ปิดท้าย กันมาสุดท้ายกับ อากาศหนาวๆ

"มันเผา กูไม่ได้เผา"

รสชาติหรอ ไม่ได้พิเศษอะไรหรอก แต่มันกินกับอากาศตอนหนาวๆ แล้วมือเราต้องการความอบอุ่นแต่ไม่มีใครให้จับ ก็ได้มันเผานี่แหละเข้ามาจีบเราให้คลายหนาว (เล่นไรวะเนี่ยย) จำราคาไม่ได้ น่าจะประมาณพันกว่าวอนนนะครับ

และหลังจากที่ช็อป ทั้งของกินและเครื่องสำอางค์สำหรับอาซิ่มอาม่าและเหล่าผองเพื่อนทั้งหลายจบลง แต่กระเพาะเรายังไม่จบ เบียร์และไก่ ก็แว่บเข้ามาในความคิดอีกแล้ว "ป่ะ แทะไก่กัน" ประโยคชวนกวนๆ ง่าย ๆที่ไม่มีอะไรแต่ทรงอิทธิพลมากสำหรับหนังพุงง จัดไปจ่ะ เราคว้านหาร้านไก่อีกครั้ง

จิบเบีย กินไก่และตบด้วยหมั่นฝรั่งที่แท้จริงๆ ร้านนี้อยู่ตรงมหาลัย Hongik University เราออกจากเมียงดง คือแบบเกือบดึกมากแล้ว แบบรถไฟฟ้า จะปิด รอบนี้เราใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรกครับ คือร้านไก่กับเบียรเนี่ยมีแถบทุกย่าน รวมถึงร้านหมูย่างด้วย คือเราไปตรงไหนมาก็เจอ แถมอร่อยไมได้แย่เลยด้วยซ้ำฮะ



และก็เปนอีกคืน ที่เราคิดกันว่ายังไงคืนนี้ก็ถึงเกือบเช้าแน่ๆ นอนน้อยอีกเช่นเคยยย รอบนี้เลยต้องใช้บริการพี่แท็กซี่ (ตัวเลขจะขึ้นไวมาก ไมต้องตกใจ) และแน่นอน ความคาดหวังแรกเราว่าจะต้องไม่เป็นแบบที่ไทยแน่นอน เหมือนกันจ่ะ ไม่ไป ไม่รับ ไม่คุย มีหมดทุกรูปแบบให้ตายเหอะ ทะมายยยย ไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็มีพี่ใจดี ที่ภาษาอังกฤษ โคตรแข็งแรง คุยตลอดทาง ไอ้เราก็เริ่มง่วงกรึ่มๆ โดนอ้อมหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่เอ้อ ถึงแล้วแหละ


Day 4

"ชิวิตมันมีครั้งเดียวใช้ให้คุ้มสิวะ"

สวัสดีเช้าวันที่ 4 อีกวันกับความแฮงค์ระดับ 18++ เบียร์ที่ฟาดไป วิ่งไปวิ่งมาในท้องน้อยๆของฉัน เพลิดเพลิน สำหรับวันนี้ปิดท้ายกันด้วยโปรแกรม ที่น่ารักเล็กๆ กลับ Tricker eye และ Ice city ที่นี่คล้ายๆกับ Art in paradise ของ พัทยาเลย คือภายในมันจะมีอะไรให้ดูเยอะแยะ บ้านน้ำแข็ง สามมิติ หรือจะเป็น Zone 18+ เรียกว่า Sex Museum เค้าจำกัด อายุด้วยนะฮ่ะ และเราเองก็ไม่กล้าเอารูปมาลงเหมือนกัน 555


นี่เป็นห้องกระจก ที่แบบ ต้องเดินเข้าไปเพื่อหาทางออก เอาจริงๆ งงอยู่นะ เหมือนมันสะท้อนไปมาและคิดว่ามันเป็นทางออก แต่จริงๆมันคือกระจกอีกด้านหนึ่ง นันเองง คือถ้างงก็หาทางออกไม่เจอนะ แนะนำให้เอามือคลำๆรูปๆเหมือนตอนปิดไฟแล้วเดินไปที่เตียงนอนตัวเองในห้อง

ว่าไงเพื่อน ตีเนียนมั้ยละ 5555


ปิดท้ายกับมื้อสุดท้ายย ของแดนกิมจิ "ชาบูน้ำไม่ดำ" รสชาติมันจะหวานนิดๆ ผสมกับน้ำจิ้มสุกี้ที่เอามาจากบ้าน อื้อหืออ มันเข้ากันแบบลงตัวจนกลั่นออกมาเป็นคำพูดทั้งหมดคงไมได้ มันดีมากอ่ะ จริงๆมันฟีลสุกี้มากๆเลยนะ ต่างกันที่น้ำซุบ กับเครื่องที่ใส่ไปแบบ ล้นหม้อกินกันสามคนอย่างชิวว

นี่เรามาแบบทัวร์ใหญ่มากเลย เรามาแจมม 555


ประมาณเวลา เที่ยงๆนิด เราก็ต้องเดินทางกลับมาเพื่อเตรียมตัวกลับไปไทย ไปเจอความจริง ไปใช้ชีวิตแบบเดิม เรามาที่นี่เพื่อรีชาร์จและเติมสิ่งใหม่ๆเข้าไปในชีวิตแล้ว ที่เหลือคือกลับไปลุย ไว้มีโอกาสแล้วจะมาใหม่ เราจะมาแบบทิ้งวันลาไปสักเดือนนึง (เดี๋ยวๆ ใครจะให้ขนาดนั้น )

เกาหลีเป็นอีกเมืองที่น่ามาสัมผัส ไม่ใช่แค่ความเจริญของบ้านเมืองแต่วัฒนธรรมต่างๆ ก็น่าสนใจกันไปอีกแบบ ผู้คนมีความน่ารัก ปนดิบๆของเด็กวัยรุ่น ที่นี่มีหลายอย่างที่น่ามาสัมผัส บางคนมาเพราะศิลปิน บางคนมาเพราะ อยากจะมา บางคนมาเพราะเครื่องสำอางค์ดี ต่างคนต่างเหตุผล เราไปว่าอะไรใครไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คงจะเหมือนกัน

"เราอยากจะออกมาเจออะไรใหม่ๆ"


เจอกันกับการเดินทางใหม่ๆได้ที่นี่เลย สะปายเป้

ถ้าใครอยากถามอะไร สงสัยตรงไหน ไปที่เพจเลย แล้วไปคุยกัน :D


ความคิดเห็น