ณ เขมราฐ


“เหนื่อย ชีวิตพัง มันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเอง"



เมื่อ 14-16 สิงหา ที่ผ่านมา มีเด็กคนหนึ่งที่อยากลอง ออกไปเที่ยว “คนเดียว" และตัดสินใจตอนเที่ยงวันและเดินทางตอนเที่ยงคืน เพื่อนไม่มี ที่พักไม่ได้จอง ไปยังไงไม่ต้องถาม หาข้อมูลคร่าวๆ แล้วมีแค่ “ใจ" กับ “เงิน" แค่นั้น


รีวิวนี้ ไม่ได้แค่จะทำให้อยากไป แต่จะมาทำให้ใจรัก ให้ใจมันพร้อมที่จะเดินทางออกไปเจอกับสิ่งสวยงามมากกว่าอยู่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ จันทร์ถึงศุกร์ และนอนอืดต่ออีกสองวัน กับการเดินทางที่เสพธรรมชาติและผู้คนในเขมราฐ



เขมราฐ อยู่อุบลฯนะ ไม่ใช่ กัมพูชา(เขมร) อ่านๆดีๆนะเออ ถ้าพร้อมจะเสพภาพให้เลื่อนไปช้าๆ แต่ถ้าอยากได้ความเริงร่า ก็อ่านกันทีละบรรทัดนะจ่ะ ><



“ใครบ้างที่เรารู้จัก ใครบ้างที่ทำให้เราไม่ต้องเหงา ใครบ้างที่จะอยู่ในวันที่เราต้องล้มลงจนยืนไม่ไหว
ใครกันนะที่ทำให้เรา ต้องยืนยิ้มจนเจ็บแก้มไปซะหมด"



ค่าใช้จ่าย

ค่ารถไป(รถทัวร์) 493 ธรรมดา

ค่ารถกลับ(รถทัวร์) 690 First Class

ค่าที่พัก 690/คืน

ค่ากิน อันนี้แล้วแต่เลย ตามน้ำหนักตัว


ส่วนไปไหนมาบ้าง จะสรุปอีกทีไว้ท้ายกระทู้นะครับ

ฝากพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหมม
ติดตามกับการแบกเป้ครั้งใหม่ๆ ได้ที่นี่
Facebook: https://www.facebook.com/Sapaipaee

ก่อน Day 1 เตรียมตัวเดินทาง



ทริปนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบความตั้งใจ แต่มันเกิดขึ้นจาก “ความอยาก" ผมแค่อยากหนีไปไหนสักที่ไกลๆ สักพัก เขมราฐ ลอยขึ้นมาในหัวทันที เพราะเคยไปอ่านเจอว่า “มันจะเงียบโครตๆ แม้จะเป็นวันหยุด" คิดได้เสร็จปุ๊ป อุทานเล็กๆในใจ “มันมีด้วยหรอหว่ะ ที่โครตจะเงียบเนี่ย"


หลังจากตัดสินใจตอนเที่ยงวัน หาข้อมูลเพียงหนึ่งชั่วโมง ที่พักไม่รู้ รู้แค่ต้องไป รู้แค่ว่าต้องไปขึ้นรถที่หมอชิต จะรออะไรละครับ เก็บกระเป๋าสิ “อย่าโลเล อย่าคิดเยอะเดี้ยวไม่ได้ไปไหนกันพอดี"



หลังจากถึงเย็นวันนั้นและได้รอบ 2 ทุ่มครึ่ง และถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ในระหว่างทางก็คิดตลอดว่า “นี่กูจะไปคนเดียวจริงๆหรอหว่ะ ? กูบ้าหรือเปล่า" เผอิญคิดดังจนพี่แท็กซี่ที่มาส่งที่ บขส ตอบกลับมาว่า “ไม่บ้าหรอก เจ๋ง ถ้าเจอกันอีกครั้งมาเล่าให้พี่ฟังบ้าง"



หลังจากนั้นก็ 2 ทุ่มเล็กๆ กินของรองท้องพร้อมลุย ชานชาลาที่ 52 ก็เรียกทันที “สุดหล่อ ขึ้นรถเร็วเข้า" ได้ยินดังนั้น ก็ใจง่ายขึ้นรถและขึ้นตั๋วไป ในใจก็คิดอยู่ตลอดว่า



“ขาสองข้างยังมีแรง ตากูก้ยังมองเห็น กูต้องออกไปเผชิญโลกสิวะ"


ไอ้ที่กลัวๆอะไรอยู่ก็ หายไปหมด จนกระทั่งเช้า


Day 1 เริ่มแล้วนะเออออ



หกนาฬิกา รีบไปพบเธอ... หลังจากสิ้นเสียงนาฬิกาปลุกและลงรถ มีพี่ใจดี ทำงานเซอวิซขนส่งภายในตำบลท่านนึง “รถตุ๊กๆ" นั่นเอง ผมรีบชิ่งไปห้องน้ำ และรีบหาข้อมูล โดยมี 3G คอยอยู่ข้างๆ ต้องหาที่พัก…และก็ได้ที่นี่ “แลโขงรีสอร์ท" (วิวสวยหน่ะ) เพราะมีเวลาน้อย แต่จริงๆยังมีอีกหลายที่หลายราคา ลองศึกษาดูนะ ยู้ฮู



น้องไปไหน แลโขงหรอ 100 บาท …พี่ผมเป็นนักศึกษาอยู่เลยลดหน่อย… 80 ละกัน …งั้นผมเดินเองละกันครับพี่ …10 โลเลยหน่า …2 โลเองครับผมมีแผนที่

การเดินทาง : เขมราฐการช่าง จะเป็นจุดที่เราลงรถครับ หลังจากนั้นงยิงยาวไปจุดสีแดง นั่นเลย แต่ถ้าใครพักที่อื่น ส่วนใหญ่จะอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่หลังจากนี้ ต้องถามชาวบ้านกันเองนะ จะได้เสพความเป็น บ้านๆกันแบบสุดๆ



...และแล้วการสร้างความลำบากก็เกิดขึ้น เดินสิครับรอไรละ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน อีกทั้งยังต้องประหยัด



ฝ่าทั้งฝูงหมา เจอรถขยะอีก แถมทางโค ตะ ระ เงียบ มีคนสัญจร แต่ไม่มีไฟสักดวง (จะใช้ทำไมว่ะ ตอนเช้านะเว้ย) และผมก็เดินไปเรื่อยๆ โดยความรู้สึกตอนที่มาครึ่งทาง “ไกลลจังว้อยยยยยยย"



ฉากแรกที่เห็น เป็นเช่นนี้ รู้เลยว่า นี่มัน slow life จริงๆ นี่มันใช่เลยแหละ แบบนี้แหละ ที่ต้องการ ที่จะต้องเห็น ที่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เจออีกสักกี่ครั้ง “วัวจริงๆ ไม่มีควายผสม" ตื่นเต้นมากนะตอนนั้น(เว่อไปป่ะวะ)



เซอวิซอย่างเดียวในตำบลนี้ ไม่มีรถสองแถว ถ้าจะใช้บริการ ไม่เดินเอง ก็ต้อง รถตุ๊กๆนี่แหละเท่านั้น (ค่าบริการขึ้นอยู่กับดวงนะจ่ะ) ยิ่งผมเดินไปลึกขนาดไหน ผมก็ไม่เจอใครที่ดูเป็นนักท่องเที่ยว ไม่เลยจริงๆ  เจอแต่ชาวบ้าน หรือว่าชาวบ้านคือนักท่องเที่ยว


ผ่านไป 1 ชม …กับการลุยเดิน หลบหมา ทักอาม่า ยิ้มให้แม่บ้าน บลา บลา บลาๆๆ



โอ้วววว จอร์จ ไอ ถึงแล้วนะ ยูววว (วิบัติไปมั้ย) ถึงแล้วที่พักน้อยๆของข้า สำหรับวิวรอบข้างจะเป็นยังไง ค่อยไปดูตอน “พระอาทิตย์ " ขึ้น นะจ่ะ ไฮโซแบบ Slowlife สุดๆ แถมราคายังย่อมเยา


หลังจากหอบแรงตัวเองจนมาถึงนี่ สิ่งที่ได้ยินทำเอาแทบ เข่าทรุด น้ำตายิ่งจะตก “เช็คอินได้บ่ายสองนะค่ะน้อง" แต่นี่มัน 7 โมงนะว้อยยย จะไปอยู่ไหน น้ำก้ไม่ได้อาบ ข้าวก็ไม่ได้กิน

“พี่แต๊ป ผมฝากกระเป๋า และขอยืมจักรยานหน่อยนะครับ ผมไม่ได้มีรถส่วนตัวมาครับ" (ปกติจักรยานเค้าไม่ให้ยืมออกไป ต้องขอดีดีนะ)

ปล.ที่แลโขง ส่วนใหญ่คนที่มาพักจะมาจัดประชุม และมีรถกัน เพราะที่เที่ยวจริงๆจะอยู่นอกเมืองออกไปเช่น สามพันโบก ผาชัน ฯลฯ คนที่มาเที่ยวคนเดียวแล้วเจือกไม่มีรถ มีผมคนเดียวนี่แหละ บ้าเอ้ย !


ซิ่งไปเลย จักรยานคู่ใจ หมายเลข 11 และการที่หนีไปใช้ชีวิตพร้อมกับเสพรอบกาย ก็ได้เริ่มขึ้น เอาเว้ย !

เรียกได้ว่าสำรวจเส้นทางจริงๆ ดูสิมันเจ๋งแค่ไหน มันเงียบแค่ไหน มันเรียกว่าชีวิตได้แค่ไหน หูยยย ฟะฟะ ฟินนน


หลังจากปั่นเล่นสักพักใหญ่ ใกล้เวลาที่แสงแดดจะออกทำงาน ท้องก็เริ่มร้องหนัก และการใช้ชีวิตแบบคนเขมราฐก็เริ่มต้นขึ้นนั่นก็คือ กินข้าวเช้า นั่นเอง

“ป้าครับ ตู้ว่างจัง เปิดร้านหรือยังครับ"


“เปิดแล้วลูก จะกินอะไร" (เสียงสวรรค์จริงๆ ได้กินแล้ว)



บุคคลที่ 1 ป้าติ๋ม

สำหรับมื้อแรกลิ้มลองกระเพราหมูสับไข่ดาว เมนูง่ายๆแต่ได้ใจป้า หลังจากสั่งก็วิ่งไปดูเค้าทำกับข้าว พูดคุยกับคุณป้า(เหงาเนอะ) ป้าเค้าชื่อ “ติ๋ม" ป้าเป็นคนขยัน ป้าพูดไม่เก่งหรือป้ายุ่งอยู่แล้วผมไปกวนเค้าหรือเปล่า (นั่นสิ) หน้าป้ามีความสุข ป้าเป็นคนที่ผมไม่รู้จักคนแรกที่ผมเดินเข้าไปทักทั้งๆที่ผมขี้อาย และป้ากลายเป็นคนที่สร้างเสียงหัวเราะเล็กๆ ให้เป็นคนแรกที่เขมราฐ

อยากจะบอกอะไรกับป้า : ป้าให้ข้าวผมเยอะไปนะ ท้องแทบปริ อ๊อยๆ TT

“เราไม่รู้ว่าวันไหนเราจะแรงหมด เพราะฉะนั้นใส่ให้มันหมดก๊อกทุกวันซะ"



พื้นที่โฆษณา(ป้าขอมาครับ 555)


เห็นร้านป้ายแดงนั่นไหมม นั่นป้าติ๋มเองแหละ ฮัลโหลล ป้าติ๋ม


หลังจากหันไปดูนาฬิกา ดันเผลอเหลือบไปเห็นแบตโทรศัพท์ ที่มันใกล้จะมอดม้วย ก็เลยจัดการกลับไปขอชาร์จ ด้วยความที่ไม่เกรงใจเพราะไม่งั้น กูจะอยู่ไม่ได้ TT ด้านดายอายอดครับ แล้วก็ไม่ออกไปไหนเป็นชม จนกระทั่ง แดดมันเริ่มทำงานจริงๆ

ต้องออกแล้วแหละ…ออกไปไหน ? เดี๋ยวไปถามเอา เจอใครก็ไปคุย (ผมเหงาจริงๆสินะ TT)

พอออกไปไม่ได้ไกลเท่าไร โซ่รถจักรยานเกิดรู้หน้าที่ “โซ่หลุด" หน้าบ้านใครไม่รู้ พอใส่เสร็จมือก็เปื้อน และหลังจากนี้ดูว่าน่าจะเป็นพรหมลิขิต ที่ทำให้เราได้เจอ “ลุงชัย"


บุคคลที่ 2 ลุงชัย



ลุงชัยเป็นคนเลี้ยงกุ้ง เอามาฝากขาย ลุงชัยมีร้านอาหารและลุงชัยเป็นเจ้าของกิจการหลายอย่าง แถมลูกลุงกำลังจะจบปริญญาเอก บ๊ะ !! และลุงยังแอบกระซิบรายได้มาเปิดเผยให้ฟังเล็กๆ ที่ทำให้ปริญาตรีที่ผมกำลังจะได้รับนี่สั่นคลอน ลุงสอนว่า “คนเราจบอะไรมาไม่สำคัญ ถ้าขยันแล้วคิดเป็น อ่านหนังสือเยอะๆ เอาชีวิตรอดได้สบาย" ผมยืนคุยกับแก ประมาณ 1 ชม(คุยไรกันนานจริง) ความรู้สึกเหมือนโดน ค้อนใหญ่ๆ ฟาดใส่กระโหลกข้างซ้าย ฮึดเลยยยย

หลังจากที่ลุงสอนวิธีเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา และเลี้ยงชีวิตตัวเอง..ผมก็นึกในใจ “จะได้กินกุ้งฟรีมั้ยนะ" สงสัยคิดเบาไปเลยอด

เรียกได้ว่าอาหารสดมาก กุ้ง หรือ ปลาที่กำลังว่ายน้ำอยู่ โดนจับมาเฉือนกันอย่างแน่นอน
“สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเราทำอะไร แต่เราได้อะไรต่างหาก"


หันหลังไปและคิดถึงตอนประถมเลย เตะบอลกับเพื่อนหัวเกรียนที่โรงเรียน


หลังจากที่ซ่อมรถและเม้ามอยกับลุงชัยไปค่อนข้างนาน เราก็ปั่นไปเรื่อยๆ(ทางเป็นเส้นตรงยาว) คิดในใจ เจอใครก็ทัก เจอใครก็แวะนั่นแหละ ก่อนจากกับลุงชัยแกบอกให้ไป “วัดโพธิ์"



“ถ้าวันนี้ยังไม่เคยออกไปเผชิญโลก ชีวิตก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้ที่เหี่ยวแห้งตายไป"



ณ วัดโพธิ์ ความรู้สึกแรกที่เข้าไป ไม่เห็นมีใคร นี่มีคนอยู่วัดมั้ย พอเข้าไปจอดซักพัก โอ้ ใครจากไหนไม่รู้ขี่ผ่านหน้า “พี่ครับ ผมเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ได้มั้ย" พี่แกหันมาพยักหน้าสองที่พร้อมยิ้มหวาน “อนุญาตแล้วสินะ 555"


สาธุครับ ขอบคุณสำหรับ เลขเซียมซี


ปกติแล้วพื้นที่ชนบท วัดจะเป็นเหมือนศูนย์กลางรวมชาวบ้านมานั่งคุยกัน(เหมือนสยามพารากอนแต่เป็นพุทธศาสนา) จะมีชาวบ้านมาเตรียมถวายเพล พ่อแม่พี่ป้าหน้าอาน่ารักมากๆ ผมเดินลงไปทักเค้าเล็กน้อย

ประโยคแรกที่เค้าถามเลยก็คือ “มากับใครละ" “คนเดียวครับป้า " ..และหลังจากนั้นบรรดาป้าๆก็หัวเราะ ชวนเรากินข้าว เห็นว่าเราเหงาแกมสมน้ำหน้า แต่ด้วยความเกรงใจก็ขอปฏิเสธไป และก็เหมือนเดิม “ถาม" สำคัญมาก

ป้าก็บอกทางไปต่อมาให้ ให้ลองไปวัดดู แต่ก็ดันไปสะกิดกับร้านขายส้มตำหน้าวัด “ตำป่า ที่หนึ่งค่ะ เอาเผ็ดๆ" เสียงเด็กวัยประถมต้น ยืนสั่งส้มตำ แถมยังเป็นตำป่า คืออะไรไม่รู้จัก (อย่าด่าผมเลย ผมกินแต่ปูปลาร้า)



“ป้าครับ ขอแบบน้องที่นึง แต่เอาเผ็ดน้อยที่สุด" ….นี่แหละน้อยสุด ดูสีสิ ลิ้นนี่แทบขาดออกจากกัน(เว่อไปม่ะ)

บุคคลที่ 3 คุณแม่(เค้าให้เรียกแบบนี้)


“อย่าพึ่งถ่ายนะลูก ขอแม่เติมหน้าก่อนเดี๊ยวไม่สวย" อีกแล้วครับ ผมอยู่ที่นี่อีกหนึ่งชั่วโมง กับการต่อสู้กับส้มตำจานนี้ 30 บาท แต่ปริมาณนี่อย่างกะช้างกิน โอ้วววว ก็อตตตต บ้าไปแล้ว และแม่ก็มานั่งคุยกับผม “ทำไมมาคนเดียวหล่ะ โดนทิ้งหรอ" บ๊ะ ! วัยรุ่นกันไปแบบสุดๆเลย แม่เฮฮามากครับ ใครไปแวะเวียน ไปชิมส้มตำป่า แบบโครตแซ่บได้เลยนะ (อร่อยจริง)

ก่อนจะไปแม่ก็หยอดคำคมเล็กๆไว้ว่า “เกิดมาหน้าหล่อแล้วต้องใช้ให้คุ้มนะลูก" เอิ่มม…เสียค่าโค้กไปอีกขวดสิ ขายเก่งจริงๆ 555

ณ วัดเหนือ วันที่ผมไม่ได้เข้าไป วัดที่ไปจอดข้างหน้าแล้ว งง เป็นวัดที่ใหญ่มาก ไม่มีใครเดินผ่านไปมา ทำให้ผมรู้สึกไม่กล้า ไม่กล้าจะเข้าไปข้างใน เลยจอดจักรยานคู่ใจและขอเก็บความทรงจำสักภาพ และสถานที่ต่อไปจากการแนะนำ …ปั่นจักรยาน ณ ริมโขง (โค ตะ ระ โรแมนติก มั่กๆ)



มันสุขใจมากๆนะ เวลาที่เรามาเห็นอะไรที่ตอนเด็กๆเราเคยเห็น คุณแม่มาใส่บาตรทุกเช้าไรแบบนี้


“หนทางข้างหน้ามันอาจจะไกลขนาดไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าต้องไปให้ถึง"


หลังจากออกจากวัดเหนือแล้วเลี้ยวซ้ายออกมา ภาพที่สุดประทับใจ เฮ้ยย แบบนี้แหละ แบบนี้แหละที่ไม่ต้องมีร้านค้า คนไม่ต้องเยอะ มีแค่แดดอ่อนๆ กับต้นไม้หลายๆต้น ลุยยยยยยย
เดี้ยวเย็นๆมาต่อให้จบนะครับ ติดธุระด่วน 😅

หลังจากนั้นเหลือบไปดูนาฬิกา เฮ้ยย บ่ายสองแล้ว ในที่สุดก็จะได้ถึงเวลาอาบน้ำ และขัดขี้ไคล(ขี้เราเองนี่แหละ) รีบปั่นกลับไปเป็น กิโลกว่า หลังจากดื่มด่ำ กับริมโขง โอ้ววว แม่เจ้า


ใครจะไปแล้วมาพักห้องนี้ ถ่ายรูปมาฝากด้วยนะ อิอิ


เรียกได้ว่าไม่แย่เลยสำหรับราคา 690 ฟรี wifi แต่ไม่มีฟรีคู่นอนนะครับ(หัวเราะสิ) ห้องน้ำสะอาดดี แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะ 555


..และก็ไปอาบน้ำ และหลังจากนั้น เจอพี่ใจดีโชคดีที่รู้จักอยู่อุบล เพราะเราไม่รู้จะไปไหน เห็นเค้าว่ามีถนนคนเดินตอนกลางคืนก็ว่าจะหลับรอ แต่ออกไปเที่ยวดีกว่า

ต่อไปสำหรับคน option เสริม สำหรับคนมีรถ เพราะที่นี่การเดินทางไปที่ไกลๆจะยากมากเลย และที่จะไป ..ไม่รู้เลยยย ผ่านอะไรก็เอาอันนั้นน Google map ถูกใช้งานทันที

ประมาณบ่ายสามเล็กๆ อาบน้ำเสร็จพร้อมคิดว่าจะไปไหน เพราะพี่เค้าบอกมาว่า “เลือกมาเลยจะไปไหน" (ขอใช้เสียงในฟิล์ม) และแล้ว ทริปก็เนรมิตออกมา


ส า ม พั น โ บ ก
คิดออกที่เดียว เจอไรแวะตามทางหล่ะกัน



การเดินทาง : ไม่มีรถโดยสารนะครับ จริงๆก็มี แต่จะกลับทีมันยาก (พี่ๆพนักงานเค้าบอกมา) ฉะนั้นถ้าไม่มีรถส่วนตัว แนะนำ กินลมชมวิวพักผ่อนที่เขมราฐก็ได้ แต่ถ้ามี ตามมาติดๆกันได้เลย

ปล.เส้นทางพึ่งพาได้จาก google map เท่านั้นนะครับ พึ่งผมไม่ได้นะ ผมขอโทษ 555

สวัสดี สามพันโบก เรามาเจอกันสักที แต่ ทำไมน้ำเต็มขนาดนี้!


เราจะเห็นสิ่งทีเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ได้ ก็ตอนที่ “น้ำลง" ถ้าอยากเห็นเต็มๆ มาช่วงน้ำลงนะจ่ะ แต่ก็จะปลายฝนแล้ว มันจะลงใช่มั้ยย อยากไปเห็นอีกรอบ



เหงา มั้ย ?


ถามพี่คนแถวนั้นว่านี่ใครอยู่ “โฮมสเตตอนน้ำลง มาพักได้นะ เปิดช่วงเทศกาล" อื้ออหืออออ ผมนี่ยืนบิดไปบิดมา คิดสภาพตอนไฟดับ 555 แต่ที่พักนี่ติมริมน้ำสามพันโบกเลยนะ


ชีวิตที่น่ารักมากที่สุด คือชีวิตที่เราเลือกใช้เอง"


ตอนเราเดินไปไหนคนเดียว เราชอบนึกถึงมือที่เคยจับตลอดเลยอ่ะ (นี่รูปหมานะเว้ยยย)



บุคคลที่ 6 ลุงคูณ ลุงที่ทำให้น้ำตาผมซึม


ลุงคูณเป็นคนทำอาชีพที่เห็นนี่แหละครับ ถักแห(ถักเฉพาะส่วนขอบ ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร) ลุงเป็นคนสู้ชีวิตมาก ลุงไม่ได้เรียนจบ แต่ลุงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุข รายได้ลุงวันละ 150 บาท ลุงบอกว่าได้เยอะแล้ว ลุงแสดงให้เห็นว่าพอเพียงและพอใจในสิ่งที่มี ลุงเป็นคนขี้อายค่อนข้างมากเวลาผมถามลุงจะชอบยิ้มๆ แล้ว หลับหน้า แล้วก็ตอบมานิดๆ

“เวลาเราพอใจในสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง เราจะอยู่กับมันได้นาน จนไม่ต้องฝืนเลย "..ความรักก็เช่นกัน



วิถีชีวิตของคนที่นี่ ผูกพันกับแม่น้ำโขงมากๆ ไปไหนก็จะเห็นคนแล่นเรือไปๆมาๆ อยู่ตลอด นี่ถ้าเค้ามีชูชีพให้เช่านี่จะลงเรือไปด้วยแล้วจริงๆ (อยากว่ายน้ำเป็น TT)


ที่ต่อไป ก็อาศัย "ถาม" ไม่เปิดละ Google map อยากรู้ว่าคนที่นี่เที่ยวไง เขาก็บอกว่า 'เสาเฉลียง" ไง ลองไปดูสิ อารมณ์คล้ายๆกับหินเป็นเสาแล้วมีหินอีกก้อนวางอยู่ข้างบน เฮ้ยยย แล้วมันอยู่ไหนละ



สถานีต่อไป หลงทางง….จนมันหลายเป็นพรหมลิขิต จนไปเจอที่ๆ Unseen “ผาชัน" คิดว่าทางเข้านี่ไม่น่ามีคนจะเข้ามาเลย แต่สิ่งที่เห็นทำเอาอึ้ง เป็นยังไงมาดูกัน (คลิกเบต ป่ะละ 555)

ตอนแรกควายไม่มีหรอก มันนอนอยู่ อยู่ดีดีมันก็ลุก เฮ้ยยยยย สักพักวิ่งเข้ามา นึกว่าจะขวิด เลยได้ภาพมาแบบมีควาย โหยยยยย โครตใช่ แบบนี้แหละที่ต้องการ


เวลาฉันกินอะไร อย่ามากวนฉันน ไม่งั้นน ….


มาละเว้ยยยย หนีเร็วว มันวิ่งไล่จริงๆ เกือบไปแล้วจริงๆ



หลังจากเสพวิวและวิ่งหนีควาย มันกลายเป็นการออกกำลังกายในรอบปีเลยทีเดียว หอบไปสิ เราก็ตามล่าเสาเฉลียงต่อไปมันอยู่ตรงไหนนี่บอกไม่ได้จริงๆ

แต่เราก็หากันจนเจอนะ
“เสาเฉลียง"
แต่ทีเด็ดมันอยู่ข้างขวาของภาพนี้เพราะมันมีพื้นที่ให้เดินขึ้นไปดู “ลานหินแตก" กับวิวแบบโครตเทพ ลุยเลย



เวลาเที่ยวคนเดียว จะมีตัวเองในภาพนั้นต้องมีขาตั้งกล้อง แต่นี่ ขอให้คนมาถือกล้องให้ (พี่ที่พาทัวร์)


ไม่รอช้าที่ต่อไป อันนี้พี่เค้าบอกเอง “ต้องไปนะเบน ผาแต้ม สวยสัสรัสเซีย" (ขอเสียงในฟิลม์อีกรอบครับ) ขับไปต่ออีกประมาน ครึ่งชม ก็จะถึงแล้ว

ผาแต้มนอกจากจะมีวิวระดับเทพแล้วยังเป็นผาที่มีกิจกรรมให้เล่นอย่างนึง สำหรับฟ้ายังไม่มืดมากและต้องใช้เวลาคือ “เดินรอบเขา" ระยะทาง สามพันกว่าเมตร ซึ่งตามทางเดินมันจะสวยและน่าหลงใหลขนาดไหนต้องลองไปดู เพราะผมไปจนเย็น เลยลงไปได้แค่นิดเดียว อีกเรื่อง มีมัคคุเทศน้อยสามคนคอยนำทางอีกด้วย


ลุยย ว้อยยยยย (เสียงในใจ ที่ไม่กล้าเปล่งออกมา)



และผมก็ขึ้นมาเพราะดูฟ้าสิถ้าจะเดินให้ครบรอบ คงเป็นชั่วโมง ฟ้าคงสีดำสนิท และคงหลงอยู่ในนั้น ขอบคุณพี่สองคนในรูปที่เดินนำตอนเดินกลับ


“รูปถ่ายมันจะสวยมากขึ้น ถ้ามีความรักเป็นองค์ประกอบ"


วิวเทพจริงนะ แต่หน้าผาน่ากลัวจริงนะ ขนาดที่ว่ามันเอียง 90 องศาเลย (ไม่เรียกเอียงแล้วแหละ)



ฟ้ากำลังใกล้จะปิด เวลาก็กำลังจะหมด เราจะไปต่อ(ที่ไหนไม่รุ้) หรือจะกลับแล้วไปเชยชม ถนนคนเดิน และพี่ก็เสนอด้วยเสียงในฟิลมอีกครั้ง “เดี้ยวกูพาไปดูแม่น้ำสองสี" ภาพมันแล่นมาในหัวเคยดูตอนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 2 วิชาประวัติศาสตร์และโบราณคดี



ไปครับพี่ …ไม่เคยลังเลอีกหล่ะ



หลังจากที่สอบถามชาวบ้านว่าจุดไหนที่จะเห็นชัดที่สุด “วัดโขงเจียม" คือคำคอบที่ได้รับและเราก็จะต้องไปที่นั่น บอกเลยว่าหลง


และพอมาถึง ก็มองไม่เห็นแล้ว มันมืดมากไปแล้ว นี่ปรับแสงเอาครับ ถ้าแสงจริงๆนี่แทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว



และสุดท้ายก็ถึงเวลาต้องกลับ ไปถนนคนเดิน แต่ตอนนี้ 1 ทุ่มแล้ว ไฟสองข้างทางก็ไม่มี ได้แต่ภาวนาให้ไปถึงก่อนที่จะตลาดปิด ซิ่งเลยพี่….2 ทุ่มครึ่ง พอไปถึง ทุกบ้านปิดไฟเหมือนเตรียมเข้านอน มันมดมาก มืดไปหรือเปล่า เลยไปถามพี่ที่อยู่แถวตลาด

“น้องปกติเค้าเปิด อาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน มาอาทิตย์หน้าละกันนะ" เฮ้ยยยยยยยยยย แล้วพี่ๆ เค้าบอกมางี้ทั้งวัน โดนให้ความหวังสินะ



จัดเนื้อย่างย้อมใจซะเลยว้อยยยยย

ลืมชื่อร้าน และลืมราคาด้วย 555 แต่แถวนั้นจะมีร้านเดียวนะครับ ออกมาทางเข้าเมืองหน่อย เราจะเห็นเลยเผื่อใครอยากกิน เนื้อย่าง ในต่างจังหวัดนะ และหลังจากนั้นพี่เค้าก็มาส่งที่รีสอร์ท ขอบคุณพี่มากครับที่พาเที่ยว และก็แยกย้าย



และก็ถึงเวลาปล่อยวิวยามค่ำคืน ณ แลโขง บอกเลยว่า ตอนนั้น ..เปลี่ยวมากๆ

โซนอาหาร ใครอยากจะเพิ่มน้ำหนักด้วยอะไรใช้บริการได้เลย แต่มีเวลาปิดเปิดนะครับ 11 โมง ถึง 4 ทุ่ม


บรรยากาศยามค่ำคืน ริมโขงแบบจริงๆ (มันกันแต่เป็นคู่นะแหมม)


ถ้าคิดจะทำอะไร มันก็ต้องเอาให้สุดๆแบบนี้เลยเป็นไง (ถ้าภาพไม่สมควรลง แจ้งได้เลยครับ)



-อิ่มแล้ว นอนกันเถอะ-



Day 2 ตามล่าดวงอาทิตย์ และมุมถ่ายภาพ


“อย่าลืมไปใส่บาตร กับถ่ายพระอาทิตย์" เสียงในใจที่ปลุกผมทันทีตอนตีห้า เกือบหกโมง อย่าถามว่าน้ำอาบมั้ย แค่แปรงฟันยังไม่ทันเลย มือคว้ากล้อง แล้ววิ่งไปที่ริมโขงโดยเร็ว และก็ได้ภาพที่ต้องการที่สุดมาได้แล้ว



แล้วถ้าวิวเมื่อคืน เป็นตอนเช้ามันจะโอ้โหกันขนาดไหน


ถ้าตอนเที่ยงของเมื่อวาน ไม่ตัดสินใจ คงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆ



และก็ไปจัดมื้อเช้ามาทันที เพราะตอนนั้นประมาน หกโมงครึ่ง เดินออกไปถามพี่เค้าว่า “ผมอยากใส่ บาตร" “มันสายไปแล้วน้อง กินข้าวแทนเถอะ" นี่พี่ยังติดตลกอีกหรอ TT และก็นั่นแหละครับ พี่พนักงานก็เลยบอก ไปเลือกนั่งที่วิวมันสวยๆ เดี๊ยวเอาข้าวเช้าไปให้


ก๋วยจั๊บญวน ปาท่องโก๋ และโอวัลติน เป็นเครื่องย้อมใจ แถมวิวเทพให้อีกอันหนึ่งด้วย โอเค หลังจากนั้น ผมก็ไปหยิบจักรยานคู่ใจหนึ่งคันเพื่อไปตามล่า มุมที่ผมจดจำจากเมื่อวาน แล้วถ่ายมาให้เกิดความทรงจำบนรูปภาพ



อย่าถามว่าชอบมั้ย ถามว่ารักมั้ยดีกว่า



บุคคลที่ 7 ลุงตึ๋ง


ลุงเป็นคนขยัน ลุงจะตื่นมากวาดลานหน้าบ้านทุกเช้าถือเป็นการออกกำลังกาย ลุงเป็นนักพูดในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ หรือไม่ใช่ คนก็ชอบมาเชิญแกไป แล้วลุงก็จะไม่ขอรับเงิน บอกว่าช่วยกันทำด้วยใจ ลุงให้คนอื่นจริงๆ เราคุยกันเป็น ชม นี่ถ้าเอาเรื่องชีวิตลุงมาเขียนหนังสือ คงเป็นหนังสือเรื่องความสำเร็จแบบพอเพียงได้เล่มนึงเลยนะ

“เวลาจะถอนหญ้ายังต้องค่อยๆถอนเลย ความสำเร็จในชีวิตก็เช่นกัน ค่อยๆทำให้มันรอบคอบ"



ลุงยิ้มให้ดูหน่อย



ตั้งแต่อยู่มานี่ ยังไม่เจอคนมาเที่ยวแนวเดียวกันเลย ไม่มีใครมาปั่นจักรยานเป็นเพื่อนเลย



อาม่าชิคปะหล่ะ



และมีที่หนึ่ง เป็นที่ที่ชอบมากที่สุด คือด่านข้ามแม่น้ำ ไทย-ลาว ที่นี่แสดงออกให้เห็นถึงชีวิต แบบชีวิตจริงๆของเมืองๆนี้ ให้เห็นว่าทุกเช้าเค้าทำอะไร แล้วเค้ารักกันมากขนาดไหน



“เลิกนอนอืดสักสองวัน แล้วมาหยิบเป้ออกมาลุยดูสิ มีอะไรให้เห็นอีกเยอะ"



และสุดท้ายเวลาก็ได้บีบคั้นให้มาจนต้องกลับ กลับไปใช้ชีวิตจริงๆ ถือซะว่าเรามาชาร์จพลังที่นี่ ทีนี้ก็ได้เวลาไปตามทางที่เคยมา เพื่อบอกลาคนที่เราได้เริ่มรู้จักกัน



แกขายของอยู่เลยได้คุยแป๊ปเดียว แต่คุณยายที่อยู่ข้างๆเลยมาคุยแทน “หลานชื่ออะไร" “เบนครับ" “โชคดีนะหลาน เจริญๆ " บทสนทนาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมอดอมยิ้มกับความน่ารักของคนที่นี่ไม่ได้



ก็กะว่าจะมาหาลุงบุญสินกับพี่แสง แต่ดูเหมือนว่าจะมาผิดเวลา เลยไม่เจอใคร เจอเพียงแต่ทางแห่งความทรงจำที่ได้สร้างไว้เมื่อวาน


…และผมก็รีบเดินทางกลับ กลับที่พักไปเช็คเอ้า แต่เวลายังเหลืออีกมาก เลยจะไปแวะเล่นในตัวเมืองอุบล (จริงๆเขมราฐก็มีรถกลับกรุงเทพ) บายบายเขมราฐ



บุคคลที่ 8 พี่ออซซี่และผองเพื่อน


“สะพายกล้องไรมาเยอะแยะ ถ่ายพี่สักรูปดิ" นี่เจอกันก็อยากจะเป็นนายแบบเลยหรอไง “ทำยังไงกับรูปนี้ก็ได้แต่ให้พี่ดูหล่อๆเลยนะ"พี่แกโม้เรื่องความเชียวชาญในการรักษาคนเป็นเบาหวานแต่พี่แกขับวินมอไซ แกบอกว่า ถ้าอยากหายเบาหวาน ให้กินข้าวทุกมื้อ ให้ท้องมันอิ่ม มันจะได้เอาไปสู้โรค(จริงๆแกเล่าเป็นชม แต่จำมาได้แค่นีแหละ)



ผองเพื่อนป่ะละ นั่งเล่นหมากรุกกัน แล้วก็ผลัดกันแซวพี่ออสซี่ อย่าไปหลอกเด็กมันสิ 5555


และสุดท้าย ขอจบทริปนี้ด้วยภาพ พระอาทิตย์ตกดิน ที่ จ.อุบลราชธานี เราไปหามุมสวยๆมาถ่ายจนได้



สรุปสถานที่ไปทั้งหมด

สำหรับมาคนเดียวไม่มีรถ

-แลโขงรีสอร์ท

-วัดเหนือ

-วัดโพธิ์

-เลนจักยานริมโขง

-สถานที่ตรวจคนเข้าออก ไทยลาว

สำหรับ option เสริม (มีรถ)

-สามพันโบก

-ผาชัน

-เสาเฉลียง

-ลานหินแตก

-ผาแต้ม

-แม่น้ำสองสี



ถือว่าเป็นทริปคนเดียวครั้งแรกที่ครบรส สุข เศร้า สนุก เฮฮา แถมยังได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ(ทักคนแปลกหน้า) ที่นี่สอนให้ผม ชาร์จพลังด้วยตัวเองเป็น สอนให้ผมรู้จักพอในสิ่งที่มี และรักในสิ่งที่ใช่

*** ถ้ามาเที่ยวให้มาเที่ยววันที่มีถนนคนเดินนะครับ ไม่งั้นจะพลาดสิ่งที่เป็นไฮไล แบบที่สุด ผมมาพลาดให้แล้ว อย่าพลาดซ้ำอีกรอบนะ



“การเดินทางมันไม่เคยมีจุดสิ้นสุดหรอก มันมีแต่จุดใหม่ๆที่เรายังไม่เคยไปก็นั้น"



ติดตามเรื่องราวที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึก แบบครบรส ในแบบฉบับ "สะปายเป้" ได้ที่นี่



Backpack เชียงคาน อยากจะไปก็ไปเลย : http://pantip.com/topic/32900995

[สะปายเป้]ไปไหนคนเดียวได้บ้างว่ะ ...“หัวหิน" ไง... O n e D a y T r i p : http://pantip.com/topic/34007057

[Backpack] 3 วัน 2 คืน กิน เที่ยว หลง ที่นี่....สิงคโปร์ !! : http://pantip.com/topic/33792448



-ขอบคุณ จบทริป เขมราฐ-


เรามีแค่เป้ กับ ใจ แค่นั้นแหละ เธอจะไปกับเราอยู่มั้ย(ตังไม่มี)
Facebook : https://www.facebook.com/Sapaipaee

สะปายเป้

 วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.09 น.

ความคิดเห็น