พอมาถึง EP สุดท้ายของสวิตเซอร์แลนด์แล้ว
[EP01]: Interlaken เมือง 2 ทะเลสาบ
https://th.readme.me/p/52158
[EP02]: Oeschinensee ทะเลสาบกลางหุบเขา
https://th.readme.me/p/52159
[EP-03] Lauterbrunnen l Murren l Gimmelwald
หมู่บ้านกลางหุบเขา https://th.readme.me/p/54797
[EP-04] Grindelwald
https://th.readme.me/p/55382
หลังอยู่ Interlaken มา 3 คืน ก็ถึงเวลาที่ต้องมูฟแล้ว มีความงอแง ไม่อยากกลับ ทำไมไม่อยู่นานกว่านี้ เพราะเราชอบที่นี่มากๆ แต่ก็ต้องมูฟ ฮีลใจตัวเองด้วยการไปวิ่งช่วงเช้า เก็บภาพสวยๆ เมื่อคืนฝนตก เลยทำให้มีหมอกเบาๆตามภูเขาอยู่ด้วย
เก็บของ ทานข้าวเช้าที่โรงแรมเราก็ขึ้นรถไฟจาก Interlaken West กลับเข้าเมือง โดยแวะที่เมือง Bern ก่อน ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีรถไฟ Bern เลย ที่ฝากกระเป๋าง่ายมาก กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 40 นิ้ว ราคา 9 ฟรังก์ ก่อนที่จะไปตะลุยเดินเที่ยวในเมืองกัน
เราแวะที่เมือง Bern ประมาณ 4 ชั่วโมง การเดินทางง่ายมากๆ ในย่าน Old Town เราสามารถเดินเท้าเที่ยวได้ทั่วเลยเพราะแต่ละสถานที่อยู่ไม่ไกลกัน แต่ไม่อยากเดินก็นั่ง Tram ได้ (Swiss Pass ขึ้นฟรี)
เมืองเก่าที่นี่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1983 และถือว่าเป็นเมืองยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และยังเป็นเมืองมรดกโลก โดย UNESCO
คำว่า Bern นั้นมากจากคำว่า “Baren” ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า “หมี” หรือ “Bear” ในภาษาอังกฤษ ได้มาจากผู้ครองเมืองออกไปล่าสัตว์ และกล่าวว่าจะตั้งชื่อเมืองตามชื่อสัตว์ที่พบและล่าสำเร็จ แล้วสัตว์ที่ได้มาคือ หมี จึงทำให้เป็นชื่อเมืองจนถึงทุกวันนี้ และใช้หมีเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกด้วย
เมืองที่นี่เดินเพลินมาก อากาศประมาณ 20-21 องศา เราเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟ ผ่านหน้าสถานีกลาง จะมองเห็นโบสถ์ โบสถ์ Heiliggeistkirche
พอเข้าถนน Spitalgasse เดินตรงไปแปปเดียวก็เห็น Käfigturm หรือ Prison Tower ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขตเมืองเก่า ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่จัดนิทรรศการทางการเมือง
เดินตรงไปเรื่อยๆ จะพบว่าเราเห็นน้ำพุในเมืองเยอะมาก ซึ่งเมือง Bern ถือว่าเป็นเมืองน้ำพุโบราณที่สวยงามที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ (City of Fountain) มีหลากหลายแบบ ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุที่ต่อท่อมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อเก็บให้คนในเมืองได้ใช้ดื่มกัน
เดินถัดมาจะเจอกับ Münster St. Vinzenz หรือ Berner Münster มหาวิหารแห่งกรุง Bern โบสถ์ประจำเมืองนี้เป็นโบสถ์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มก่อสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1421 จนถึงปีค.ศ. 1573 ที่ความสูง 64 เมตรและได้ต่อเติมเพิ่มอีกในปีค.ศ. 1889-1893 จนถึง 100 เมตร มีบันไดวน 285 ขั้น เปิดให้ขึ้นชมวิวทุกวัน 10.00 - 16.30 น. (โดยจะจัดให้ขึ้นเป็นรอบๆ) แต่ตอนเราไปปิดซ่อมแซม เราเดินเล่นรอบๆแทน มีสวนสาธารณะที่วิวดีมาก มีเครื่องเล่น โต๊ะปิงปอง และยังมองเห็น Kirchenfeld Bridge ด้วย
ต่อไปเราเดินข้ามสะพาน Nydeggbrücke ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมเมืองเก่าและเมืองใหม่ ผ่านสวนน้องหมี (ไม่ได้แวะ) วิวระหว่างสวยมาก นักท่องเที่ยวเยอะระดับนึง และแม่น้ำที่มองเห็น นั่นคือ แม่น้ำอาเรอ (Aare) อยู่ติดกับสวนหมี เป็นแม่น้ำที่ล้อมเมืองเบิร์นไว้ทั้ง 3 ด้าน แม่น้ำค่อนข้างไหลเชี่ยวแรงตลอดเวลา สีของแม่น้ำนั้นเป็นสีเขียวอมฟ้า สีเทอร์ควอยซ์ และน้ำที่ไหลผ่านก็ใสสะอาดมาก ซึ่งหลายๆคนอาจจะเคยเห็น Clip คนสวิตฯ เดินทางด้วยแม่น้ำ วันที่เราไปเราก็เจอค่ะ 555 แต่ถ่ายรูปไม่ทัน
เราข้ามสะพานมา เดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆ วิวก็สวยใช้ได้เลย เรานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเมืองเก่าได้เกือบครึ่งชั่วโมง เกือบหลับเลย อากาศดีจัด 555 แถมยังมองเห็นโบสถ์ Berner Münster อีกด้วย
ก่อนกลับแวะกินไอติม Cuckoo Ice Cream Bern มันช่างเนียนนุ่ม เข้มข้นดีจริงๆ สั่งเป็นรสช็อกโกแลตมาค่ะ ขนาด Size S 1 โคน บวกไอติม 1 ก้อน 5.50 ฟรังก์
เกือบบ่าย 2 แล้ว เรากลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ และเดินทางกลับไปที่ Zurich พัก 1 คืน
สำหรับ Zurich เราพักกันที่โรงแรม Hotel montana Zurich ราคารวมอาหารเช้าอยู่ที่คืนละ 129 ฟรังก์ ดีมากกกกก เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟ และ Tram ระบบ Check-in เป็น Self Check-in ดำเนินการด้วยตัวเองเลย
พักผ่อน เก็บของได้สักครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็เกือบ 4 โมงเย็น (หน้าร้อนที่นี่พระอาทิตย์ตก 3 ทุ่ม) เราก็ออกไปเดินเล่นในเมืองกัน เดินทางด้วย Tram (Swiss Pass ขึ้นฟรี)
ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ Tram บ้านเค้าน่าตาดีมากกก ใหม่ สะอาด ตรงเวลา น้องหมาขึ้นได้ด้วย ได้เล่นกันน้องพุดเดิ้ล 1 ตัวถ้วน อิจฉาระบบขนส่งสาธารณะเค้าจังเลย TT ที่รอขึ้นรถรางก็สะอาด มีตารางเวลาเดินรถโชว์และที่ขายตั๋ว ซื้อด้วยบัตรเครดิตก็ได้
เราไปที่ร้านขายกระเป๋าแบรด์ดังของสวิตฯ Freitag รวมถึง Shop รองเท้าของ on cloud (กระเป๋าถูกกว่าไทย แต่รองเท้าแพงกว่า) และเราก็เดินเล่นทั่วเมืองเลย อากาศดีมาก
เราเดินไปที่ Linden of View Point of Zurich เพื่อชมเมือง Vibe ดี มากๆเลยค่ะ คนมานั่งคุยนั่งดื่มชิลๆกันเยอะมาก มีสวนสาธารณะด้วย มีที่นั่งประมาณนึง
มองเห็น Fraumünster Church ที่เคยถ่ายซีรี่ย์เกาหลี Crash Landing On You แล้วแดด 1 ทุ่มแสงก็โกงอีกแล้วเหมือนกัน สักพักเราก็ไปกินข้าวร้าน Rheinfelder Bierhalle เป็นร้านดังของย่านนี้ ซึ่งราคาอาหารนอกบ้านต่อมื้อต่อคน 1,000 บาทอัพเลยทีเดียว
แล้วก็หมดวัน เก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับวันพรุ่งนี้
ก่อนกลับตอนเช้าแอบไป City Run มา 5-6 กม. อากาศดีมากๆเลย กลับมาทานข้าวเช้าที่โรงแรม เป็นข้าวเช้าที่ถูกต้องสำหรับเรามาก เพราะมีข้าวผัด ตั้งแต่อยู่มาเราไม่ได้กินข้าวเลย ขนมปัง ชีส เป็นส่วนใหญ่ มีมาม่าบ้างบางมื้อ
เก็บกระเป๋า ไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน Zurich ตอนบ่ายสาม กลับด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ Singapore Airline: SQ345 บินออกมาตอน 11.45 น. ถึงสนามบิน Changi ตอนเช้าอีกวัน 05.55 น. เรา Transfer ที่นี่ประมาณ 9 ชั่วโมง ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะออกจากสนามบินไปเที่ยวในเมือง แต่สุดท้ายเริ่มจะขี้เกียจเลยไปแอบงีบในสนามบิน 2 ชั่วโมง แล้วไปเดินเล่นต่อที่ jewel Changi airport
สำหรับการเข้าประเทศของสิงคโปร์ เราเดินออกจาก Gate (กระเป๋าที่โหลดของเรา ทางสายการบินดำเนินการทั้งหมด) จะเจอตม. มีทั้งแบบอัตโนมัติและแบบปั๊มสมุด ซึ่งจุดนี้จะมีคุณลุงคุณป้าคอยแนะนำวิธีการกรอกข้อมูลในระบบ SG Arrival Card ง่ายมากค่ะ แล้วก็ถือพาสปอร์ตเข้าช่องอัตโนมัติได้เลย สะดวกรวดเร็วสุด
แล้วเราก็บินกลับจากสิงคโปร์ ตอน 15.25 น. ถึงไทยตอน 16.45 น. ปิดทริปสวิตเซอร์แลนด์ เป็นการเที่ยวยุโรปครั้งแรกของเรา ที่เตรียมทุกอย่างเองหมด ทั้งการทำเรื่อง Visa และแผนการเดินทางต่างๆ ทั้งเหนื่อยและสนุกไปพร้อมๆกัน
สรุปเลยล่ะกัน
ทริปสวิสเซอร์แลนด์ 27-31 กรกฎาคม 2566
5 วัน 4 คืน ไม่รวมเดินทาง 2 คืนบนเครื่อง
- Zurich ศูนย์กลางสวิสฯ ฟิลยุโรปสมัยใหม่หน่อย
- Bern เมืองหลวงมรดกโลก ย่าน Old Town ตึกสวยมาก
- Interlaken เมืองกลางทะเลสาบเบรียนซ์กับทูน
- Lauterbrunnen-Mürren-Gimmelwald เมืองบนเขา
- Grindelwald ใหญ่โตมาก ยิ่งใหญ่และประทับใจ
- Oeschinensee ทะเลสาบในหุบเขา ที่ที่เราชอบที่สุดในทริป
ค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 75,000 บาทรวมตั๋วเครื่องบิน
- เครื่องบิน Singapore Airline Transfer ที่สิงคโปร์ ราคาไป-กลับ 32,840 บาทต่อคน (ลองกดครั้งแรกได้ 28,000 นิดๆ ผ่านไปเดือนเดียวแตะเลขสามเลย 5555) เราจองล่วงหน้าประมาณ 10 เดือน
- ค่าที่พัก นอนดี วิวดี มีพื้นที่ มีอ่างอาบน้ำ มีข้าวเช้าทุกวัน ใกล้สถานีรถไฟ Interlaken 3 คืน ประมาณ 23,000 Zurich 1 คืน ประมาณ 5,000 บาท เท่ากับ 14,000 บาทต่อคน
- ค่า Swiss pass 4 วัน ชั้น 2 ราคา 11,000 กว่าบาทต่อคน
- ค่ากิน ซื้อของ อื่นๆ
ขอสรุปเป็นข้อๆไว้หน่อย
1."สายเครื่องบิน”มีให้เลือกเยอะ ทั้งบินตรงหรือต่อเครื่อง เราเลือก Singapore Airline ต่อเครื่องที่สิงคโปร์ ขาไปมีเวลาต่อเครื่อง 2 ชม. สบายๆ บินกลางคืนถึงเช้า ขากลับบินกลางวันถึงเช้าที่สิงคโปร์ อยู่เที่ยวก่อนแล้วบินกลับไทยตอนเย็น อาหารเยอะเสิร์ฟตลอด อร่อย เครื่องใหญ่ ยืดขาได้
2."ตม."เรียกว่าสบายใจมาก เพราะเราผ่านตม.เกาหลีมาแล้ว 555 ถามคำถามเดียว มาทำอะไร?? เราบอกมา Trekking เค้าก็ โอ้!! แล้วปั๊มสมุดให้เลย แถวไม่ยาวอาจเพราะมาถึงเช้า
3."การเดินทาง"เราซื้อ Swiss pass 4 วัน ชั้น 2 ราคา 11,000 กว่าบาทต่อคน (281 CHF) สำหรับเราคือคุ้ม รถไฟฟรี (1 ขบวนมีหลายตู้ จะมีหมายเลขว่าชั้นไหน) เรือฟรี รถรางฟรี กระเช้าต้องเช็ค บางอันฟรีแต่บางอันจ่าย 50% เราใช้แอพ SBB Mobile ดูข้อมูล รถไฟตรงเวลา มีเลทบ้างเวลาฝนตก รถบัสเค้าก็ดีนะ ชอบมาก อิจฉามากด้วย อย่างที่เค้าบอกระบบรางดี ชีวิตดี การเดินทางก็ดี
4."อากาศ"เราเกลียดหิมะ เพราะฉะนั้นไม่เคยเที่ยวหน้าหนาวเลย ไปสวิตฯ ก็ไปหน้าร้อน คือกลางวัน 25-28 กลางคืน 17-20 แต่ก้าวแรกที่ลงสนามบินคือ 17!!! เย็นมาก ยิ่งขึ้นเขา 15-16 เจอลม จมูกแดงกันไปเลย แนะนำโหลดแอพ MeteoSwiss ไว้ พยากรณ์ค่อนข้างแม่นเลย
5."อาหาร"รู้แหละที่ research มา อาหารแพง แล้วก็แพงจริงๆ T^T เรากินข้าวเช้าโรงแรม กลางวันเน้น Supermarket (ที่นั่นมีหลายแบรนด์ เราชอบเข้า Coop) ส่วนเย็นทานร้านอาหาร มื้อนึง คนละจาน เบียร์คนละแก้วคือจบที่ 2,000 บาทอัพ แพง 5555 แพงจริงๆแหละ แพงทุกอย่างเลย แต่เบียร์ถูกกว่าน้ำอีก 555
6."การใช้จ่าย"สังคมไร้เงินสดของจริง แทบจะ 100% ใช้บัตร SCB Easy Card ได้ทุกร้านแม้แต่ไอติมข้างทาง เราแลกเงินสดไป 50 CHF ใบเดียวไม่ได้ใช้เลย
7."ภาษา"ส่วนใหญ่ใช้อังกฤษได้อยู่ อังกฤษแบบที่เรียนมาทั้งชีวิตนั่นแหละ แต่ก็จะเร็วหน่อย ฟังไม่ค่อยทันแต่ก็พยายามฟัง
8."ระบบอินเตอร์เน็ต"ใช้เครือข่ายเราเอง DTAC Go Travel ซื้อแพ็คเกจไว้แล้วเปิดโรมมิ่ง ใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ารับสาย-โทรออกคือแพงมาก ต้องระวัง ส่วนร้านอาหาร ที่พัก รถบัส มี Wi-Fi ฟรี
9."ระบบนำทาง GPS"ใช้ Google Map ควบคู่กับ SBB App ง่าย สบาย สะดวก
10."ผู้คน"รู้สึกเค้าใจดีกันมาก เรียกว่า “Nice” มากกกกกกกก คุณลุงคุณป้า คือแค่สบตาคือทัก Hi ไม่ก็ยิ้มให้แทบทุกคน
11.“เวลา”ช้ากว่าไทย 5 ชม. เป็นปัญหาของเรามาก ปกติเรานอน 4 ทุ่มแต่ที่สวิตฯเพิ่ง 5 โมงเย็น หน้าร้อนเค้า พระอาทิตย์ขึ้น 6.00 น. ตก 21.00 น. มีแค่ 2 คืนที่เรานอนหลังพระอาทิตย์ตก คือหลังตี 2 เวลาไทย 55555
12"Visa"น่าจะเป็นส่วนที่ยุ่งยากที่สุด ต้องเตรียมหลายอย่างมากกกก เราทำกันเองทุกอย่าง ตอนยื่นเอกสารไม่มีคำถามเลย รอเล่มสัปดาห์เดียว ได้เลย
ขอปิดด้วยคำถามนี้ "จะกลับมาอีกมั้ย????"//
เอาจริงๆด้วยราคาเราไม่สามารถไปสวิสฯทุกปีได้ เพราะจะทำให้เราไม่สามารถมีทริปย่อยได้บ่อย 55555 แต่ด้วยราคานี้ สำหรับเราคือคุ้มค่าที่เสียเงินไป ทริปนี้เราใช้เงินเก็บแบงก์ 50 ที่เก็บมาเรื่อยๆเกือบ 6 ปี ไม่เสียดายเลย ทุกอย่างดีเกินกว่าที่คิดไว้ มีโอกาสจะมา Trekking เส้นที่ยาวและนานกว่านี้ ^^ ส่วนสิ่งที่เสียดายที่สุด คือ
1.ไม่ได้เล่น paragliding อากาศวันที่จะเล่นมีฝนนิดหน่อย
2.ไม่ได้เล่น First Mountain Cart ที่ Grindelwald เพราะฝนตก
ฝากติดตามที่ Readme #AnywhereIGobyThita #ฐิตา
Twitter: @AnywhereIGo2
ฐิตา
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เวลา 12.00 น.