จากความเดิมตอนที่แล้ว https://th.readme.me/p/5329 เราพกพาความผิดหวังจาก Colmar มุ่งหน้าสู่ Riquewhir กันค่ะ
บนเส้นทางสู่ Riquewihr มีฝนโปรยปรายต้อนรับไปตลอดทาง เมื่อเริ่มเข้าใกล้เขตเมืองสองข้างทางเต็มไปด้วยไร่องุ่นกว้างสุดลูกหูลูกตา เสียดายแต่ว่าน่าจะเพิ่งผ่านการตัดไปจึงเหลือแต่เพียงตอไม้ไม่มีใบเขียวๆ ให้หนูเล็กเก็บภาพมาฝาก
เปียกแฉะไปตลอดทาง
ไร่องุ่นที่ไม่ชวนมมองเอาเลย
Riquewihr เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทซึ่งอยู่ห่างจาก Colmar ระยะทางเพียง 12 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเส้นทางไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้น Alsace นับเป็นหมู่บ้านที่ สวยที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส (Les plus beaux villages de France) ลักษณะบ้านเรือนจะคล้ายๆ กับ Colmar ด้วยระยะทางแค่นี้เหมาะกับเป็น one day trip มากกว่าการไปมานอนค้างเว้นแต่ว่าอยากจะเก็บหมู่บ้านเล็กๆ แถวนี้ทั้งหมด การมาพักค้างแรมในหมู่บ้านเล็กๆ อย่างที่นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีกว่าการไปนอนในเมืองฮิตๆ อย่าง Colmar ซึ่งค่าที่พักอาจจะราคาสูงมากกว่า
เมื่อไปถึงเราก็ไปหาที่จอดรถด้านนอกค่ะ แล้วเดินเข้าไปเที่ยวในเขตเมืองเก่า ด้านในเล็กและแคบเกินกว่าที่รถจะเข้าไปวิ่งได้ค่ะ ที่นี่ดูคล้ายกับ Colmar ก็จริง แต่หนูเล็กกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในหมู่บ้านจะแตกต่างกันมาก
จอดรถพร้อมชำระค่าจอดไว้ให้เรียบร้อย
เราพากันเดินไปสุดทางข้างหน้าเลยค่ะ
ดอกไม้น่ารักริมทาง
เดินเข้าเมืองกันค่ะ
ความรู้สึกแรกที่เดินเข้ามาเหมือนหลงมาอยู่ในเมืองแห่งเทพนิยายยังไงก็ไม่รู้ บ้านเกือบทุกหลังจะตกแต่งและประดับประดาด้วยดอกไม้ ตุ๊กตาหรือของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่น่ารักๆ เต็มไปหมด ดูมันกระจุ๋งกระจิ๋ง ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกเท่าใดนักจึงยังคงความงดงามไว้เหมือนในยุคกลาง อีกทั้งชาวเมืองยังคงรักษาสภาพบ้านเรือนหรือแม้แต่อาชีพก็ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม ทำไวน์ ทำขนมท้องถิ่น ทำงานฝีมือ ซึ่งก็เอื้อให้เป็นเมืองท่องเที่ยวไปในตัวด้วย โดยใน Wikipidea เขียนไว้บอกว่า
"Riquewihr looks today more or less as it did in the 16th century"
นั่นคือ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น" ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะทำให้เราได้มาเห็นบรรยากาศเดิมๆ ในยุคก่อน เดินๆ ไปตามตรอกและตามทางแคบๆ บางทีหนูเล็กยังเผลอนึกไปว่าตัวเองเดินอยู่ในตรอก Diagon แบบในหนังสือ Harry Potter เลยทีเดียว
หมู่บ้านนี้เล็กมากค่ะ ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็เดินทั่ว มีถนนสายหลักกลางเมืองคือ Rue du Ge'ne'ral de Gaulle ตลอดถนนเส้นนี้ก็จะมีร้านขายของ ร้านอาหาร ให้ได้แวะช้อปแวะชม มีตรอกเล็กๆ แยกย่อยออกไปบ้าง ที่นี่จะมีขนมชนิดหนึ่งที่ควรซื้อลองชิมค่ะ Macaron de Riquewihr เป็นมาการองในรูปแบบเฉพาะมีหลากรส หน้าตาและรสชาติต่างจากมาการองที่พวกเราคุ้นเคย ซึ่งจริงๆ ก็คือมะพร้าวอบน้ำตาลค่ะ รสชาติอร่อย หอม พวกเรายังซื้อมาชิมกันเลย อร่อยดี
งานนี้ถือว่าชดเชยความผิดหวังให้ลูกทัวร์เป็นที่เรียบร้อย ประทับใจชื่นมื่นไปตามๆ กัน ใครนิยม Selfie มาที่นี่ไม่ผิดหวังค่ะ มีมุมน่ารักๆ ให้ถ่ายรูปไม่รู้เบื่อ บ้านเรือนก็สีสันสดใส ใส่เสื้อผ้าสีเรียบๆ มานี่จะเหมาะกับสถานการณ์มากมายค่ะ
Macaron รสอร่อย ต้องลองค่ะ
แต่เวลาสำหรับความหวานสดใสก็มีได้เพียงเท่านี้ ระยะทางสามร้อยกว่ากิโลเมตรยังรออยู่ข้างหน้า จาก Riquewihr เราไม่มีสิทธิ์แวะเที่ยวเล่นที่ไหนอีก เพราะปลายทางวันนี้อยู่ที่เมือง Gex เมืองชื่อสั้นๆ สาเหตุที่เราเลือกเมืองนี้เพราะอยากพักเมืองแปลกๆ ไม่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวมากนัก และไม่ไกลจาก Annecy ที่หมายในวันถัดไป เพราะการจะไปพักที่ Annecy ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็คงเจอราคาที่พักที่ราคาสูงเกินงบ
ระยะทางจาก Riquewihr ไปยัง Gex ประมาณ 320 กิโลเมตร และเมื่อคำนวณระยะเวลาเดินทางที่ไม่ใช้ทางด่วนแล้วต้องใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง 45 นาที นั่นหมายความว่า เราต้องเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ เมืองเล็กเมืองน้อยมากมาย ซึ่งถนนพวกนี้จะทำความเร็วไม่ได้เลย เพราะเมื่อเข้าเขตเมืองจะขับได้ไม่เกิน 50 กม./ชม. การประหยัดค่าทางด่วนทำให้เราต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ ฟ้าฝนก็มาเพิ่มอุปสรรคในการเดินทางให้อีก
สำหรับบรรยากาศภายในรถสำหรับการเดินทางสู่ GEX นั้น หนูเล็กประจำการเป็นเนวิเกเตอร์ตามระเบียบโดยมี Google map และ Maps.me สองตัวช่วยประกอบการเดินทางร่วมกันกับ GPS ของในรถ ที่เราต้องมีตัวช่วยมากมายขนาดนี้นั่นเป็นเพราะว่าไม่อยากพลาดหลงทางเสียเวลา เพราะเวลาพวกเราที่ต้องเดินทางตามปกติเพื่อให้ถึงที่หมายวันนี้ก็ต้องใช้มากเพียงพอแล้ว ส่วนสมาชิกที่เหลืออันได้แก่ พี่ใหญ่ คุณปา และคุณสุด ต่างก็ช่วยกันดูเส้นทางไปตลอดทางเช่นกัน
วิวสองข้างทางช่วงนี้เต็มไปด้วยความสดชื่น คงเป็นเพราะฝนที่ตกฉ่ำฟ้ามาตลอดสองวันถนนจึงฉ่ำแฉะไปตลอดทาง บางช่วงที่ได้ขับเข้าไปในถนนไฮเวย์ก็พอทำความเร็วได้บ้างเพราะถ้าถนนไฮเวย์จะสามารถทำความเร็วได้ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่พอเริ่มเข้าถนนเส้นเล็กวิ่งผ่านหมู่บ้าน ความเร็วก็จะเหลือ 70 และ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามลำดับ บางช่วงที่วิ่งผ่านโรงเรียนคงเหลือเพียง 30 กิโลเมตร/ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ
สำหรับคุณพี่ออ พขร. ของพวกเรา ณ ตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับรถมากขึ้น ขับขี่ด้วยความสบายใจ ส่วนหนึ่งคงเพราะออกมานอกเมืองใหญ่ๆ รถน้อย ทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างผ่อนคลาย ขับรถไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน แม้ว่าฝนจะยังไม่ยอมแพ้ ตกพรำๆ เป็นเพื่อนคลอเคลียเรามาตลอดเส้นทาง หนูเล็กนั่งภาวนาในใจว่าขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายตามที่ดูพยากรณ์อากาศไว้เถิด เพราะตามแผนท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้เราควรจะได้ไปถ่ายรูปกับสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ กันได้บ้างแล้ว เพราะสองวันมาแล้วนะที่เดินตากฝนพรำจนแทบหมดสนุก
แต่แล้วเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานเริ่มเงียบลง เมื่อสายตามองที่หนทางข้างหน้า ถนนเต็มไปด้วยหมอกหนาระยะการมองเห็นแค่เพียง 5 เมตรเท่านั้น บรรยากาศในรถเริ่มตึงเครียดด้วยเริ่มไม่แน่ใจว่าหนทางข้างหน้านับจากนี้พวกเราจะพบอะไรที่เกินจากที่คิดกันไว้หรือไม่
สิ่งที่น่าตื่นเต้นตามมาเมื่อคุณพี่ออเรียกให้หนูเล็กดูที่หน้าปัทม์หน้ารถ เพราะมันมีอุณหภูมิภายนอกบอกเอาไว้ด้วย พระเจ้าช่วยกล้วยทอด !!! หน้าปัทม์รถที่มุมขวาบนมีตัวเลขบอกว่า "อุณหภูมิด้านนอก..2 องศาเซลเซียส" จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าทางข้างหน้าเราจะเจออะไรที่มากไปกว่าที่กำลังเผชิญอยู่นี้ พวกเราทุกคนทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนับจากนี้
และที่สำคัญตอนนี้คือ "หิว" ดังนั้น แวะหาจุดพักรถ จอดหาอะไรรองท้องระหว่างทางก่อนออกเดินทางต่อกันก่อนดีกว่า เดี๋ยว พขร. เราเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจะลำบาก ตามไปลุ้นกันค่ะว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และพวกเราจะเผชิญกับอะไรอีก
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.16 น.