...สวัสดีครับเพื่อน ๆ.. เมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเยือนดินแดนปักษ์ใต้บ้านเราโดยไปยัง จ. นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดทางภาคใต้ที่ผมเองยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง แต่เนื่องจากเหตุให้มีธุระจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับไหน ๆ แล้วจึงหาสถานที่ท่องเที่ยวพ่วงท้ายสักเล็กน้อยว่าพอมีอะไรที่สวยงามที่เราอาจจะได้เจอบ้าง..



...แน่นอนว่าเมื่อไม่เคยไปก็แทบจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่นี่เท่าไหร่นัก จะรู้ก็เพียงแค่ที่เดียวก็คือ อ.ทุ่งสง เนื่องจากมีพี่สาวที่รู้จักอยู่ที่นั่น .. ดังนั้นจึงค่อย ๆ ไล่หาสถานที่ว่าพอจะมีที่ไหนน่าสนใจให้เดินทางไปได้บ้างในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันสั้น ๆ ทั้งหาจากในเนท แล้วก็ถามคนนั้นคนนี้ .. ในที่สุดก็มาลงเอยกับสถานที่เล็กน้อยดังนี้ ... ปาร์ตี้ริมหาด ที่หาดหินงาม อ.สิชล / น้ำตกกะโรม(อุทยานแห่งชาติเขาหลวง) และ หมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา



...ภาพการเดินทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เจออะไรใหม่ ๆ และยิ่งการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอบอุ่นทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่ผมประทับใจมาก และคิดว่าหากมีโอกาสคงต้องหาช่วงเวลาที่เหมาะสม หาโอกาสดีดีเดินทางกลับไปอีกให้ได้สักครั้งก็ยังดี .. ถ้าพร้อมแล้วเราเริ่มต้นลำดับภาพกันก่อนที่ความคึกคักของปาร์ตี้มินิคอนเสิร์ตริมชายหาด จากนั้นค่อยหันหน้าเข้าหาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างที่น้ำตกกะโรม และความลงตัวของขุนเขา และสายน้ำที่หมู่บ้านคีรีวง...



…ป.ล. ภาพในอัลบั้มนี้ค่อนข้างเยอะประมาณ 140 กว่าภาพ .. ใครมีเวลาเปิดกระทู้ทิ้งไว้ไปเดินเล่นสักพักแล้วค่อยกลับมาชมภาพต่ออีกทีก็ได้นะครับ...



...เริ่มต้นที่ภาพบรรยากาศยามเย็นของพื้นที่บริเวณที่จัดงานปาร์ตี้ที่หน้าหาดหินงาม อ.สิชล... นักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ เล่นบานาน่าโบ๊ตก็ยังมีเล่นกันอยู่เรื่อย ๆ เรียกว่าใครอยากปาร์ตี้อยากครื้นเครงก็ครื้นเครงไป .. ส่วนใครอยากพักผ่อนเที่ยวเล่นตามใจก็ยังได้อยู่ ...



...เสียค่าเข้า 500.- งานจัด 2 วันเข้าได้ 2 วันเลย ... บริเวณหาดด้านในก็มีทั้งกิจกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงร้านค้าร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม แน่นขนัดไปหมดแบ่งขายกันเป็นซุ้ม ๆ ร้านใครร้านมันเรียงรายยาวไปตลอดแนวชายหาด... ตัวงานปาร์ตี้นี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า “Retro Beach Party 2015" ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 2-3 พ.ค.2558 ที่ผ่านมา ...



...เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นหน้าหาดส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นแนวดนตรี เนื่องจากเป็นปาร์ตี้คอนเสิร์ตที่เวทีใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ด้านซ้ายของชายหาด .. ส่วนพื้นที่ทางขวาถัดมาเรื่อย ๆ ก็จะมีการแบ่งสรรปันส่วนกันวางพื้นที่กิจกรรมตามแต่แนวใครแนวมัน...



...ด้วยพื้นที่หน้าหาดที่พื้นที่ไม่ได้เล็กมากนัก ทำให้วางซุ้มวางกิจกรรมได้ไม่เบียดกันดี .. คนเดินก็เดินสบาย แต่จะเหนื่อยก็คือเดินบนทรายนี่แหละครับ...



...มียิงปืนยาวเหมือนงานวัดเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ริมหาดแทน ...



...อย่างในภาพล่างสุดก็จะมีเหมือนหนังกลางแปลงตั้งฉายไว้เป็นจอขนาดย่อม ๆ ตามที่เห็นอย่างในภาพนี่เลย .. อันนี้ตอนดึก ๆ ผมลองเดินกลับมาอีกที ก็มีฉายหนังจริง ๆ นะครับ .. เรียกว่าก็แนว ๆ ไปอีกแบบ...



...บรรยากาศโดยรวมกับพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเวทีพอสมควร เข้าใจว่าคงเพราะหากดนตรีเล่นคนที่นั่งอยู่บริเวณนี้ก็ยังพอได้ยินอยู่ และไม่เสียงดังจนเกินไปสำหรับคนที่อยากมานั่งเล่นนั่งกินนั่งดื่มกับเพื่อนฝูงในบรรยากาศริมหาดที่มีดนตรีคึกคัก ๆ และเสียงคลื่นลมทะเลคลอกันไป



...ท้องฟ้าใกล้จะมืดลงไปทุกขณะ ในวันนี้ที่มีผู้คนมากมายอยู่เต็มหาดพร้อมกับสีสันวันสนุกของผู้ที่เดินทางมางานนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจของใครหลายคนที่ตั้งใจมา ยิ่งถ้ายังเป็นวัยรุ่น ๆ อยู่รวมถึงเป็นคนนครฯ เองด้วยแล้วเชื่อได้เลยว่ามากันเยอะแน่ ๆ



...ภายในงานตั้งแต่ช่วงเย็นก็จะมีวงดนตรีสลับกันเล่นกันมาเรื่อย ๆ โดยจะเก็บศิลปินที่มีชื่อเสียงไว้เป็นไฮไลท์เด็ดในช่วงยามดึก ... บริเวณหน้าเวทีก็เริ่มมีคนมานั่งชมดนตรีกันเรื่อย ๆ และตามแบบฉบับบรรยากาศริมทะเลบางคนก็นั่งกะทราย บางคนก็หาเสื่อมารองนั่งแล้วแต่... ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเก้าอี้ให้นั่งเพราะชื่องานนั้นบอกอยู่แล้วว่าปาร์ตี้ริมหาด .. โซนที่นั่งเก้าอี้จึงเป็นด้านหลังที่อยู่ห่างออกไป



...แสง สี และเสียงก็ค่อย ๆ ทวีความสนุกสนานขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับจำนวนของคนที่มางานที่ยิ่งดึกยิ่งเยอะขึ้น...



...สังเกตจากกลุ่มคนที่มาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในวัยรุ่นวัยเยาว์ทั้งหลายที่นาน ๆ ทีจะมีคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ริมหาดแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกที่จะมากันเยอะแยะมากมาย...



...กิจกรรมต่าง ๆ ก็ยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ..โดยมีร้านค้าร้านอาหารจำหน่ายให้บริการอยู่ข้าง ๆ บริเวณโซนที่เป็นเก้าอี้นั่งรับประทานอาหารกัน...



...ไม่ไหวแล้วก็ขอแวะกินข้าวสักจานสักหน่อย ก่อนจะรออยู่ดูปาร์ตี้คอนเสิร์ตสักนิด...



...และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงหลังจากมีกล่าวพิธีเปิดบนเวทีไปเล็กน้อย จากผู้จัดงานนี้คุณปาล์ม สิชลแมน...ผ่านพ้นไปต่อมาก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสนุกของเหล่าคนดูทั้งหลาย... เริ่มประเดิมความมันส์กันด้วยวง Musketeers กับเพลงสนุก ๆ จังหวะเร็ว ๆ ให้ทุกคนได้โยกได้เต้นแดนซ์กันอย่างสุดเหวี่ยง.. งานนี้ก็สนุกคุ้มค่ากันไปทั้งคนดูทั้งศิลปิน ..



...ตามหน้าบัตรบอกไว้ว่างานเริ่มตั้งแต่ 15.00 น. จนถึงเที่ยงคืน .. แต่ดูจากทรงแล้วคิดว่าคงมีต่อเวลาสนุกสนานกันแน่ ๆ เพราะนอกจากวง Musketeers แล้วก็ยังมี Boom Boom Cash และปิดท้ายด้วยตำนานเร็กเก้สกาแห่งประเทศไทยอย่างวง T-Bone ปิดท้ายค่ำคืน



...ปิดท้ายกับบรรยากาศของค่ำคืนแสงสีเสียงที่สนุกสนานริมหาดสิชลกับ Retro Beach Party 2015.. ซึ่งงานคอนเสิร์ตนี้ก็ได้จัดต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว หากใครสนใจจะเดินทางมาลองหาข้อมูลกันดูครับ ผมเชื่อว่าต้องมีจัดขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่สังเกตก็เป็นที่ถูกอกถูกใจทั้งคนมาเที่ยว คนที่มาพักผ่อนในแบบมีเสียงดนตรีมันส์ ๆ คลุกเคล้าบรรยากาศริมทะเล รวมไปถึงเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่ขายอาหารข้าวของสินค้าในงาน...



...ทิ้งความประทับใจกับค่ำคืนนี้... ก่อนจะต่อจากความคึกคักครึกครื้นของเสียงเพลงกันด้วยภาพของธรรมชาติแห่งเมืองนครศรีธรรมราชอีกแห่งที่ได้เดินทางไป .. “น้ำตกกะโรม"



...จาก อ.สิชล มาต่อยัง อ.ลานสกา กับสถานที่ลำดับสุดท้ายที่ผมได้เดินทางมาแต่จะนำมาสลับขึ้นก่อนจะปิดท้ายที่หมู่บ้านคีรีวงเพื่ออรรถรสในการรับชม...



... “น้ำตกกะโรม" มีพื้นที่อยู่ใน อ.ลานสกา อยู่บนเส้นทางหลวงหมายเลข 4015 ทางมาก็จะเป็นทางเดียวกับ “อุทยานแห่งชาติเขาหลวง" ซึ่งจะว่าไปแล้วที่น้ำตกนี้ก็มีพื้นที่อยู่ในเขตของเขาหลวงเช่นกัน ...



...น้ำตกกะโรมมีด้วยกันทั้งหมด 19 ชั้น แต่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวพักผ่อนได้มีเพียง 7 ชั้น เท่านั้น .. คือ หนานทุเรียน หนานช่องไทร หนานไผ่ หนานน้ำราง หนานผึ้ง หนานเตย และหนานดาดฟ้าซึ่งว่ากันว่าชั้นสุดท้ายนี้เป็นชั้นที่สวยงามที่สุด...



...แต่ด้วยความที่อุปกรณ์ไม่พร้อม ขาตั้งกล้องไม่มีมา ทำให้ถ่ายภาพน้ำตกมาเพียงแค่นิดเดียว .. ดังนั้นจึงตัดสินใจเก็บภาพของธรรมชาติที่อยู่ตามเส้นทางเดินจนถึงแค่ชั้น 6 มาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้เห็นถึงธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์กันสักเล็กน้อย



...นานมากแล้วที่ห่างหายไปจากการเดินทางสู่น้ำตก ครั้งสุดท้ายคือที่น้ำตกหมันแดง อช.ภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก .. วันนี้กลับมาได้ยินเสียงของน้ำตกที่ดังอยู่ในโสตประสาทอีกครั้งก็นึกเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้ติดขาตั้งกล้องมาด้วย...



...ปริมาณน้ำตกในช่วงนี้ที่เดินทางมาก็ยังมีไหลอยู่ ไม่ถึงกับแห้งเหือดไป แต่หากจะให้จินตนาการเอาจากคนที่ไม่เคยมาอย่างเราก็คงคิดว่าถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำคงสวยกว่าที่วันนี้ได้เดินทางมาอีกเป็นแน่...



...ความสุขที่ได้รับในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ชั่วโมงเศษ ๆ ที่ได้แวะมาเที่ยวที่นี่นั้นดูจะน้อยเสียเหลือเกิน...



...การเดินทางที่กระชั้นชิดไปด้วยเวลาหลายครั้งที่ทำให้เราต้องพลาดอะไรหลายอย่างไป... แต่หากลองใช้แค่เวลาที่มีอยู่สัมผัสซึมซับด้วยความรู้สึกจริง ๆ ก็แน่ใจได้ว่าความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้นก็มากมายเพียงพอแล้วที่จะได้อะไรดีดีกลับไป...



...แม้ในวันนี้จะได้ภาพน้ำตกมาน้อยมากแต่ก็ยังรู้สึกดีที่ได้มาเพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมได้เจอกับพี่สาวที่รู้จักที่ห่างหายกันไปนานอุตส่าห์พาเรามาเที่ยวน้ำตกในวันนี้...



...ก่อนผมจะต้องแยกทางเดินต่อคนเดียวไปยังหมู่บ้านคีรีวง จุดหมายปลายทางสำคัญในการเดินทางครั้งนี้... ทิ้งภาพน้ำตกกะโรมไว้ด้วยจำนวนภาพที่น้อยนิด และตั้งใจว่าสักวันจะขอมาเหยียบที่น้ำตกแห่งนี้อีก เพราะเท่าที่มอง ๆ ดูหากมาได้ถูกช่วงเวลาความงดงามของธรรมชาติที่เห็นคงมีมากมายกว่านี้....



...อีกหนึ่งวันแห่งการเดินทางซึ่งเราจะปิดท้ายอัลบั้มด้วยภาพของหมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช...การเดินทางสู่หมู่บ้านคีรีวง ผมเริ่มต้นจากตัวเมืองนครฯ บริเวณตลาดยาวขึ้นรถสองแถว “นครศรี – คีรีวง" ซึ่งก็จะออกเป็นรอบ ๆ ตั้งแต่เช้าถึงเย็น .. เริ่มต้นที่ต้นสายไปจนสุดสายปลายทางหน้าวัดคีรีวงนั่งได้ยาว ๆ ปัจจุบันตอนนี้อยู่ที่ราคา 25.-



...หากใครไม่รีบร้อนก็รอสักพักรถสองแถวก็จะออก แต่หากใครจะเหมาก็ได้เช่นกันเพราะสองแถวก็ถามผมเหมือนกันว่าจะเหมาไปที่ปลายทางเลยหรือไม่ 200.- หรือ 300.- ผมไม่แน่ใจเนื่องจากฟังภาษาใต้ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ปฏิเสธไป... เพราะมาคนเดียวจะเหมาไปก็ดูจะเปลืองเงินใช่น้อย ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานรถสองแถวก็ออกรอบ .. ที่สำคัญเวลานั้นประมาณ 9.40 น. ไม่มีใครมาขึ้นรถสองแถวด้วยกันกับผมเลย .. ดังนั้นจึงเหมือนเราเหมาสองแถว นั่งท้ายรถคนเดียวหล่อเลย....



...ระยะทางเริ่มต้นจากวินสองแถวมาถึงปลายทางที่หน้าวัดคีรีวงน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 30 กิโลเมตร .. วันนั้นที่นั่งมาคนเดียวตลอดทางใช้เวลาไปประมาณ 40 นาทีก็ถึงหน้าวัด...



...และเนื่องจากขนาดของหลังคาสองแถวที่เตี้ยทำให้นี่แทบจะเป็นทัศนียภาพเดียวที่เห็นตลอดการเดินทาง คือภาพมองย้อนกลับไป .. เพราะหากถ่ายจากหน้าต่างข้างรถเห็นทีจะต้องคุกเข่านั่งกับพื้น... แต่โดยรวมก็ถือว่าปลอดโปร่งสบายเพราะนั่งคนเดียว แม้สภาพอากาศนั้นจะร้อนมากก็ตาม...



...หากใครที่นั่งสองแถวมาก็นั่งมายาว ๆ ได้สบายใจเลยครับ อย่างผมไม่ได้บอกอะไรพี่คนขับแกก็พาไปส่งหน้าวัดปลายทางเลย แต่เท่าที่เห็นตรงบริเวณคอสะพานก็จะมีวินรถสองแถวจอดกันอยู่ (ไว้จะเห็นภาพในลำดับต่อ ๆ ไป ๆ ครับ) เมื่อรถข้ามสะพานบ้านคีรีวง คลองท่าดี แล้วก็มุ่งหน้าไปอีกนิดเดียวก็ถึงปลายทางหน้าวัดคีรีวง ... จากนั้นก็เป็นการเดินแบกเป้เสาะหาร้านค้าร้านอาหารเพื่อหลบร่ม และขอเติมพลังก่อนที่จะเข้าที่พักต่อไป.. เบ็ดเสร็จขึ้นรถตอนประมาณ 9.40 น. ถึงหน้าวัด 10.15 ก็แป๊บเดียวครับ..



...จากหน้าวัดเดินเท้ามาไม่ไกลจนถึงบริเวณริมลำธารก็จะเจอกับร้านค้าต่าง ๆ ร้านเช่าจักรยาน และร้านขายขนมต่าง ๆ อยู่เรียงรายหลายร้าน... ซึ่งหลังจากที่อิ่มกับผัดปลาดุกราดข้าวที่ร้านบริเวณนี้แล้วก็ตามด้วยการดับร้อนนั่งกินไอติมที่ร้านนี้กันสักหน่อย... “บ้านนายทั่ง ณ คีรีวง" ..



...นั่งไปเรื่อยก็คุยไปเรื่อย พี่สาวเจ้าของร้านก็ได้บอกว่าร้านนี้เพิ่งจะเปิดได้ไม่นานซึ่งก็ขายอาหารพวกไอติม ขนมปังช๊อกโกแลต ขนมปังปิ้งเนยนมต่าง ๆ ... แต่ผมเลือกของโปรดอย่างไอติมนี่แหละ ซึ่งที่ประหลาดสายตาคือไอติมถูกรองมาด้วยใบอะไรสักอย่าง (ถามมาเหมือนกันแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว)



...ร้านไอติมนี้ก็เป็นเจ้าของเดียวกับร้านจักรยานข้าง ๆ .. ผมเองใช้เวลานั่งพักอยู่ที่นี่สักครู่ใหญ่เพราะคุยถามโน่นนี่ไปเรื่อยกับพี่สาวเจ้าของร้าน และอีกเหตุผลคือร้านนี้มีบริการวายฟายฟรีด้วยครับ .. ใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเสิร์ชคำว่า “บ้านนายนั่ง ณ คีรีวง" ก็ขึ้นมาในเนทแล้วครับ....



...หลังจากพักจนคิดว่าน่าจะมีเรี่ยวแรงพอสู้กับแดดยามเที่ยงได้แล้วก็เริ่มปฏิบัติการเช่าจักรยาน ค่าเช่า 50.- / วัน .. ผมนอน 1 คืน พรุ่งนี้กลับคืนวันพรุ่งนี้ก็ 100.- ตามจริง...



...ส่วนสถานที่แรกที่พี่ชาวบ้านแนะนำเลยคือให้ไปไหว้พระเข้าวัดก่อน จะได้ขับขี่ปลอดภัยได้เดินทางสะดวกเจออะไรดีดีตลอดระยะเวลาสั้น ๆ ที่อยู่ที่นี่... (เป็นคำแนะนำที่ดีมากสำหรับผม เพราะผมเองห่างหายจากการเข้าวัดไปนานพอสมควร)... จากภาพแรกตัววัดจะอยู่ทางถนนเลนขวา ส่วนเลนซ้ายจะเป็นเส้นทางเลาะขอบแม่น้ำลำธารซึ่งเดี๋ยวผมก็จะขี่ไปตามเส้นทางนี้ครับ



...หมู่บ้านคีรีวงนั้นเป็นหมู่บ้านเก่าแก่มีอายุกว่า 300 ปี มีพื้นที่อยู่บริเวณที่ราบระหว่าง “หุบเขาหลวง" โดยเรียกพื้นที่บริเวณแห่งนี้ว่า “หมู่ 5 บ้านขุนน้ำ" เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ที่เป็นต้นน้ำ และยังเป็นแหล่งพันธุ์ไม้นานาชนิด รวมไปถึงการปลูกสวนผลไม้แบบหลายชนิดในสวน ๆ เดียว ซึ่งที่นี่เรียกสวนประเภทนี้ว่า “สวนสมรม" ...



...และเมื่อวันเวลาผ่านจากชื่อ “หมู่ 5 บ้านขุนน้ำ" ก็มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็น “บ้านคีรีวง" ซึ่งความหมายนั้นตรงตามตัวเลยที่ว่า “คีรี = ภูเขา" เมื่อมารวมกัน “คีรีวง" จึงหมายถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่ในวงล้อมห้อมล้อมของภูเขา ...



...หลังจากแวะที่วัดเพื่อเก็บภาพเรียบร้อยแล้วต่อไปก็เป็นการปั่นจักรยานไปยังที่พักที่ผมได้หาไว้คร่าว ๆ อยู่ก่อนแล้วชื่อ “ซือวานโฮมสเตย์"...ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านไอติมเมื่อสักครู่นี้ ผมจึงต้อนปั่นจักรยานย้อนข้ามกลับไป...ที่พักนี้อาจดูลึกลับไปสักหน่อยเพราะไม่ได้อยู่ติดริมถนน แต่ต้องสังเกตดีดีเริ่มต้นจากคอสะพานมาตามเลาะริมธารมาเรื่อย ๆ ประมาณเกือบ 200 เมตร จะเจอป้ายโค้งใหญ่ “ยินดีต้อนรับสู่คีรีทอง" (ถ้าจำไม่ผิด) ให้หันซ้ายเลยครับจะเห็นบ้านหลังนี้แน่นอน (หันขวาจะเจอลำธารแทน)



...เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเอาสัมภาระเก็บเข้าห้องพัก โดยผมนอนที่ห้องนี้ห้องเล็ก (จากภาพแรกหน้าบ้านห้องที่มีหน้าต่างหน้าบ้านก็คือห้องนี้แหละครับ) สาเหตุที่ผมเลือกพักที่นี่ก็เพราะเหตุผลง่าย ๆ คือ มี Wi-Fi ซึ่งแม้จะไม่มีแอร์ แต่ด้วยราคาสุดถูกที่ 150.- ต่อคืน ยังไงก็ต้องพักที่นี่แหละครับเพื่อเป็นการประหยัด...



...ป.ล. ยังไงผมทิ้งข้อมูลของ “ซือวานโฮมสเตย์" ไว้ให้เพื่อน ๆ กันนะครับ เผื่อใครสนใจก็ติดต่อสอบถามกันได้เลย



https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C/248238992026223



...เมื่อไม่มีกระเป๋าเป้เสื้อผ้า รวมทั้งวางกระเป๋ากล้องไว้โดยเอาออกมาแค่กล้องหนึ่งตัว และกระเป๋าใส่เลนส์อีกตัวเพื่อความคล่องแคล่ว และสะดวกในการปั่นจักรยานและถ่ายรูป .. จึงรู้สึกได้ถึงคำว่าเบาสบาย ๆ เตรียมสู้กับแดดยามบ่ายแบบเต็มตัวได้แล้ว



...เมื่อปั่นออกมาจากซือวาน ขี่จักรยานออกมาได้นิดเดียวก็จะมีทางลงด้านซ้ายสู่ลำธารด้านล่างซึ่งตอนนี้น้ำแห้งลงไปพอสมควรตามฤดูกาล แต่ก็ทำให้เห็นน้ำใส ๆ กับก้อนหินใต้น้ำได้อย่างชัดเจนมากขึ้น...



...จักรยานที่เช่ามาผมเลือกแบบที่มีตะกร้าอยู่หน้ารถเพื่อเอาไว้ใส่กระเป๋าเลนส์ ส่วนตัวกล้องก็สะพายเข้าที่ไหล่.. เจอมุมไหนอยากถ่ายก็หยุดจอดได้สบาย...



...ถึงเวลาข้ามสะพานกลับมาอีกครั้งก็ต้องแวะกลับมุมสุดคลาสสิคที่ใครไปใครมาก็ต้องถ่ายภาพนี้ไม่งั้นเสมือนว่ามาไม่ถึงที่นี่จริง ๆ ...



...เนื่องด้วยสภาพท้องฟ้า และแสงแดดในวันนี้ด้วยแล้วผมเริ่มทำใจกับความร้อนที่จะต้องเจอตลอดช่วงบ่ายนี้หากเลือกที่จะออกมาปั่นจักรยานเพื่อถ่ายภาพ... แต่ก็ต้องยอมเพราะหากจะใช้เวลาแค่เพียงช่วงเย็นเห็นทีคงได้ภาพกลับไปไม่มากสักเท่าไหร่...



...อย่างที่บอกว่าจะมีวินสองแถวอยู่บริเวณคอสะพานคลองท่าดี .. เมื่อข้ามสะพานลงมาปุ๊บจะเจอทางแยกเลี้ยวซ้ายขับเลาะลำธาร ตรงไปมุ่งเข้าวัดคีรีวง หรือเลี้ยวขวาก็จะเป็นวินสองแถว และถัดไปยังอีกสะพานหนึ่งก่อนจะเป็นเส้นทางไปสู่จุดชมวิวที่ทางหมู่บ้านได้สร้างไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว...



...จากในภาพบนที่เห็นซ้ายมือคือจุดชมวิวที่สร้างไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวพร้อมมุมพักผ่อนนั่งเล่นใต้ร่มไม้...



...ในระหว่างวันนักท่องเที่ยวไปมาก็พอพบเห็นได้บ้าง แต่ก็จะเป็นรถยนต์ รถกระบะเสียส่วนใหญ่ .. หรือไม่ก็เป็นชาวบ้านที่ขี่มอเตอร์ไซด์มาเที่ยว .. ซึ่งในวันนั้นไม่มีใครปั่นจักรยานแบบผมแน่นอน .. เพราะด้วยสภาพอากาศร้อนขนาดนี้ดูจะเป็นการทรมานร่างกายดีแท้ ซึ่งถ้าให้ประมาณเอาอย่างต่ำ ณ วันนั้นต้องมีขั้นต่ำที่ 34 – 35 องศาแน่นอน ..



...ร้อนหน่อยก็หลบใต้เงาไม้ช่วยได้เยอะ .. ที่ไหนมีต้นไม้ที่นั่นย่อมมีความร่มเย็น ...



...มองไปรอบ ๆ ตอนนี้คือห้อมล้อมด้วยขุนเขาขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มหมู่บ้านแห่งนี้อยู่โดยมีลำน้ำ ลำธารสายนี้เป็นเสมือนอีกหนึ่งชีวิตที่ให้ความสุข ให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านมาช้านาน...



...เดิมทีแม่น้ำสายนี้ไม่เคยเกิดขึ้น พื้นที่ของลำน้ำตรงนี้ในอดีตก็คือบ้านเรือนของชาวบ้านคีรีวง .. ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2531 ได้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากป่าด้านบนทำให้ลำน้ำที่เคยมีอยู่ซึ่งโดยปกติจะไหลไปด้านขวาได้เปลี่ยนทิศทางไหลลงมาตัดผ่านใจกลางหมู่บ้านนี้จนชาวบ้านได้รับความเสียหายกันไปอย่างมาก...



...แต่ด้วยวันเวลาอดีตได้จางไป เหลือไว้แต่คำบอกเล่าจากคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ .. ทำให้รู้ว่าชาวบ้านก็ไม่เคยคิดจะหนีบ้านเกิดตรงนี้ไปไหน กลับเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้น... จนกลายมาเป็นภาพอย่างในทุกวันนี้...



...จุดหมายปลายทางของผมในการปั่นจักรยานช่วงบ่ายนี้อยู่ที่ “หนานหินท่าหา" ซึ่งอยู่ห่างจากสะพานคลองท่าดีโดยประมาณ 2.5 กิโลเมตร .. ต้องบอกตามตรงว่าผมไม่ใช่สายปั่นจักรยาน ปกติกีฬาที่เล่นเป็นประจำคือเตะฟุตบอล ... แต่วันนี้ต้องมาปั่นจักรยานท่ามกลางอุณหภูมิร้อนระอุบอกเลยว่ามีหน้ามืดไปเหมือนกัน



...จะมีได้หยุดพักก็จะเป็นยามเจอร่มเงาไม้ข้างทาง .. ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนี้ไปตลอดบางช่วงก็จะเป็นทางโล่ง ๆ ไม่มีต้นไม้ แถมเส้นทางขาไปยังเป็นทางชันขึ้นทำให้การปั่นนั้นยิ่งต้องออกแรงเพิ่มตาม ..



...แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะปั่นต่อไปจนเจอกับจุดจอดพักข้างทางที่มีร้านค้า ขายน้ำ ขายอาหาร ขายของที่ระลึก .. ไม่รอช้าที่จะรีบจอดจักรยานแล้วเติมพลังด้วยน้ำหวาน ๆ ...พักจนหายเหนื่อย



...ซึ่งบริเวณนี้ก็มีชาวบ้านพาลูกหลานมาเล่นน้ำในลำธาร พ่อแม่ผู้ใหญ่ก็นั่งคุยกันไปใต้แคร่ใต้ร่มไม้ .. ส่วนเด็กก็สนุกสนานไปกับการเล่นน้ำ .. ซึ่งเท่าที่คุยกับชาวบ้านโดยมากก็บอกว่าสามารถลงเล่นน้ำตรงไหนก็ได้ อยากลงตรงไหนก็ลงได้เลย ไม่ได้มีจุดไหนบังคับไม่ให้เล่น ...แต่จะมีที่คนชอบไปเล่นมากสุดก็คือด้านในบริเวณ “หนานหินท่าหา" ที่ผมเล็งไว้ให้เป็นจุดหมายของการปั่นจักรยานเพื่อเข้าไปชมหน้าตาว่าเป็นอย่างไร...



...ในที่สุดแรงใจก็ชนะแรงกาย อดทนปั่นฝ่าแดดร้อน ๆ มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้กับระยะทางแค่ 2.5 กิโลเมตร ผมใช้เวลาปั่นทั้งหมดเริ่มจากซือวานโฮมสเตย์ตอน 12.30 น. รวมเวลาแวะถ่ายรูป นั่งพัก ยืนพัก กว่าจะมาถึงตรงนี้ 13.40 น. ... เป็น 70 นาทีแห่งความสุขที่ทรมานมากจริง ๆ



...เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่ทำก็คือการนั่งพักเติมน้ำเข้าร่างกายอีกรอบ .. เป็นอีกวันในชีวิตที่เหงื่อเยอะมากจริง ๆ ... ส่วนภาพของหนานหินท่าหาที่ผมคิดไว้ว่าน่าจะเงียบ ๆ เนื่องจากมาตรงกับวันธรรมดาคนไม่น่าเยอะ .. แต่กลับตรงกันข้ามเพราะตรงจุดนี้ผู้คนที่มาที่หมู่บ้านคีรีวงก็นิยมมาตรงนี้ด้วยกันทั้งนั้น...



...เมื่อเห็นสะพานเชือกก็แปลว่ามาถึงที่หนานหินแน่นอนแล้ว .. ส่วนสาเหตุหลักในความคิดของผมที่ทำให้บริเวณนี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวเพราะละแวกนี้มีรีสอร์ท มีที่พักอยู่หลายแห่งด้วยกัน รวมทั้งยังมีป้ายบอกแบบจริงจังว่าเป็นจุดลงเล่นน้ำที่เหมาะสม .. ดังนั้นผมว่าหากใครที่พาลูกหลานมาแล้วอยากลงเล่นน้ำผมว่ายอมให้คนเยอะหน่อย แต่เพื่อความปลอดภัยก็น่าจะให้มาเล่นบริเวณนี้จะปลอดภัยกว่า....



...บริเวณหนานหินตรงนี้มีจุดเด่นคือความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ ร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก รีสอร์ท เลยทำให้หากตรงกับวันหยุดที่นี่ก็เกิดรถติดได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เนื่องจากสภาพถนนที่เล็ก และแคบ ... ดังนั้นหากใครที่เดินทางมาก็ควรเตรียมตัวกันสักหน่อยเพื่อความไม่หงุดหงิดในวันพักผ่อนครับ



...มุมจากสะพานเชือกมองลงสู่ด้านล่างทั้งซ้าย และขวา ...



...จะเห็นว่ามีเด็กเล่นน้ำเต็มไปหมด แต่ช่วงนี้น้ำน้อยก็อาจเบาใจได้หน่อยกว่าหน้าน้ำ .. เด็กจึงมีอิสระทั้งเดินทั้งว่ายได้เต็มที่....



...ผมใช้เวลาทั้งหมดที่หนานหินไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ถ่ายภาพมาไม่เยอะเท่าไหร่ จะหนักไปทางนั่งพักมากกว่า .. และจากตอนที่นั่งพักอยู่นั่นเองก็เห็นอะไรที่รู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างคือ ชาวบ้านนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำบางคน จะนำยาสระผม สบู่ มาอาบน้ำกันที่บริเวณนี้ .. ซึ่งผมว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากสารเคมีต่าง ๆ ที่ผสมอยู่ในสิ่งชำระล้างนั้นย่อมส่งผลต่อธรรมชาติแน่นอน ...



...แต่อย่างที่รู้กันดีว่าบ้านเรามักจะละเลยอะไรเหล่านี้ โดยคิดว่าอาจไม่มีอะไร แต่สำหรับผมว่าบ้านเราควรพัฒนา และควรปรับปรุงในจุดนี้อย่างมาก .. หากทาง อบต.ที่นี่ได้มาเห็นอัลบั้มนี้ก็ฝากให้เธอช่วยดูแลหน่อยก็ดีครับ.. เพราะที่แห่งนี้สวยงามดีมากแล้ว เราน่าจะช่วยกันประคับประคองให้ธรรมชาติอยู่กับเราดี ๆ ไปอีกนาน ๆ เถอะครับ



...ถึงเวลาปั่นจักรยานกลับเสียทีครั้งนี้เป้าหมายก็คือร้านไอติมร้านเดิม .. เพราะหลังจากปั่นออกจากหนานหินท่าหาได้สักพักเหงื่อก็ไหลชะโลมกายอีกรอบ ..



...แต่รอบกลับนี้บอกได้เลยว่าสบายขากว่าเยอะ .. เพราะตอนมาเป็นทางชัน บางช่วงชันแบบที่ผมเองไม่รู้สึกตัวได้แต่คิดในใจว่าทำไมปั่นแล้วหนื่อยอย่างนี้ .. แต่พอขากลับถึงได้รู้เนื่องจากปล่อยล้อฟรีให้หมุนไปเองได้เป็นระยะทางยาว ๆ เกือบร้อยเมตรได้เลย...



...แต่แม้ร่างกายจะอยากพักผ่อนเพียงใด แต่ด้วยสายตาที่มองธรรมชาติมองวิวข้างทางไปเรื่อย ก็มีหลายจุดที่ผมแวะจอดจักรยานแล้วเดินลงไปยังลำธารด้านล่างเพื่อเก็บภาพยามที่น้ำลดระดับลงอย่างในช่วงนี้....



...หากเป็นช่วงที่ฤดูน้ำมีมากกว่านี้ก็จะปิดบังเจ้าหินเหล่านี้เสียจนหมด ... เรียกได้ว่าคงงดงามกันไปคนละแบบ...



...ธรรมชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ หลาย ๆ ครั้งที่เรามองข้ามไป .. และในบางครั้งกับการได้อยู่กับตัวเองก็ทำให้เราได้พบได้เห็นอะไรมากขึ้น ...



...อากาศยังร้อนเหมือนเดิม แต่ผมมีความสุขมากครับ .. มีความสุขที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมแห่งธรรมชาติที่แม้สายลมวันนี้จะเป็นลมร้อน แต่เสียงน้ำที่ไหลมาเบา ๆ แต่ไม่ขาดสายก็ดังพอให้ยืนเงียบ ๆ คนเดียวแล้วได้ยินเสียงน้ำไหลผ่าน ... เป็นความสุขที่อย่างเซฟเอาเสียงไพเราะแห่งธรรมชาติแบบนี้กลับบ้านไปเสียจริง ๆ



... ต้นหญ้าเล็ก ๆ ที่ขึ้นแซมไปมาตามซอกหิน หรือพืชต่าง ๆ ที่ขึ้นมาในยามนี้ .. ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกว่าที่ฤดูน้ำจะมาอีกครั้ง...



...แต่กับวันนี้สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ต่างหากที่ช่วยสร้างความลงตัวเติมเต็มให้ธรรมชาติที่กว้างใหญ่นั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น...



...จนในที่สุดจักรยานเช่าก็กลับมาจอดพักที่หน้าร้านไอติมร้านเดิม ก่อนผมจะกลับเข้าซือวานโฮมสเตย์อีกครั้งเพื่ออาบน้ำเรียกความสดชื่นให้ร่างกายอีกครั้ง



...นานมากแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำแบบตักจากโอ่ง วันนี้รู้สึกดีมากมายเหลือเกินวินาทีที่น้ำรดลงบนหัวบอกได้เลยว่าชื่นใจที่สุด .. หลายครั้งที่เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ได้นอนที่พักในรูปแบบแตกต่างกันไปความสุขก็แตกต่างกันไป .. แต่กับวันนี้ทำให้ผมนึกถึงภาพตอนเด็ก ๆ สมัยที่ยังอาบน้ำจากโอ่งราดโครม ๆๆๆๆ .. พลางคิดในใจบางทีอะไรที่ง่าย ๆ เดิม ๆ ไม่ต้องอะไรมากมายก็กลับทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน



...อาบน้ำเสร็จก็มานั่งตากพัดลมในห้อง ดูภาพที่ถ่ายมาเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกตัวอีกทีว่าใกล้ถึงเวลาที่เรารอคอยแล้วนั่นคือแสงตอนเย็น บรรยากาศยามเย็นบริเวณสะพาน.. ซึ่งได้แต่ภาวนาว่าขอให้อากาศดีดีตอบแทนให้เราเป็นของขวัญจากการมาเยือนสักหน่อยเถิด...



...จักรยานเช่าเพื่อนคู่ใจวันนี้ถูกผมถีบอีกครั้ง.. แต่คราวนี้ไม่กลัวร้อนแล้วเมื่อแสงแดดนั้นลดดีกรีความระอุลงไปเยอะพอสมควร .. แต่หากถามว่าสภาพอากาศเย็นมั้ยก็บอกได้เลยว่ายัง .. เพียงแค่ไม่ร้อนเท่าเมื่อบ่ายแล้ว...



...เวลาประมาณ 17.00 น. กว่า ๆ ... ผมพาตัวเองมายืนริมลำธารอีกครั้งซึ่งฝั่งนี้คือฝั่งเดียวกับที่พักรถราจะไม่เยอะเท่าอีกฝั่งตรงข้ามที่ไปยังหนานหิน .. ทำให้มีมุมที่เงียบสงบพอสมควร ....แสงตะวันยามเย็นเริ่มปรากฏโฉมมาให้เห็นทีละนิด ๆ เหมือนกับผมที่ค่อย ๆ ซึมซับเอาบรรยากาศยามเย็นดีดีอย่างนี้เข้าไปทีละน้อย ๆ ...



...สะพานที่เป็นทั้งทางเชื่อมข้ามฝั่งไปมา ยังกลายเป็นที่ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกของนักเดินทางทั้งหลาย



...หนึ่งคนตรงนั้น วันนั้นก็คือผม.. ต่างกันแค่เราเดินทางคนเดียวไม่มีใครถ่ายรูปให้เรา บวกกับเป็นประเภทไม่ชอบถ่ายเซลฟี่ตัวเองก็ได้แต่เลือกเก็บความทรงจำกับสิ่งที่ผ่านไปผ่านมาตรงนั้นก็พอ..



...เมื่อแสงตะวันเริ่มคลายความร้อนแรงลง ความสุนทรีย์ของธรรมชาติก็เหมือนกลับฟื้นคืนขึ้นอีกครั้ง...



...หมู่บ้านคีรีวงอาจไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ไม่มี 7-11 แต่ก็ยังมีร้านขายของที่ขายดีกว่า 7-11 ในเมืองกรุงเสียอีก .. ยังมีแหล่งหัตถกรรม ทอผ้า สมุนไพร ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้ถ่ายมาเลยสักภาพ ... ซึ่งหลายครั้งที่ผมอยากทิ้งอะไรไว้โดยไม่เก็บกลับไปบ้าง เพื่อได้เป็นข้ออ้างให้เราตั้งใจเดินทางกลับมาอีกครั้งในวันหลัง...



... มองอาทิตย์กำลังจะลา ... ขอบฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี ...



...ยืนไปเรื่อย ๆ ปั่นไปเรื่อย ๆ ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ กระจายลำแสงพุ่งขึ้นมาจากกลุ่มเมฆที่อยู่เบื้องหน้า .. สร้างภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจออะไรอย่างนี้...



...ไม่รู้ว่าเพราะคำแนะนำของพี่ร้านเช่าจักรยานหรือเปล่าที่บอกให้ผมไหว้พระก่อนปั่นจักรยานจะได้เจออะไรดีดี .. เพราะธูปสักก้านเทียนสักเล่มผมก็ไม่ได้จุดเลย.. เพียงแต่เข้าไปไหว้ขอให้วัดที่ผมยกมือไหว้อยู่ตรงนี้ขอให้อยู่กับคนที่นี่ไปอีกนาน ๆ ก็เพียงแค่นั้น ... หรือจะเพราะแค่เหตุผลง่าย ๆ ว่าผมโชคดี ..



...เรื่องราวบางเรื่องคำตอบก็ไม่ได้จะทำให้เราโล่งใจเสมอไป... หลายครั้งที่คิดอะไรไม่ออก โยงอะไรไม่ถูก ก็ไม่ต้องคิดปล่อยทุกอย่างให้ลมพัดไปเหมือนในเพลงแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว...



... “คีรีวง" คืออะไร ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน .. แต่ที่ได้มาที่นี่เพราะผมปรึกษากับพี่ชายท่านหนึ่งว่าจะต้องเดินทางมาที่นครศรีธรรมราช .. แล้วคำว่า “คีรีวง" ก็คือจุดหมายปลายทางจากปากพี่คนนั้นที่แนะนำให้ผมมา ...ก่อนมาผมจึงหาข้อมูลอ่านเพิ่มเติมสักเล็กน้อยถึงการเดินทางมา หาที่พักไว้พอคร่าว ๆ ...



...จนในที่สุดวันนี้ก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้ .. หมู่บ้านที่ว่ากันว่าอากาศดีที่สุดในประเทศไทย .. แม้ในวันนี้จะเป็นหน้าร้อน สภาพอากาศยามระหว่างวันย่อมรุนแรง หรือแม้อย่างในกลางคืนที่ผมนอนอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งคืนก็ไม่ได้หนาวเย็นจัดแต่อย่างใด ...เลยอาจตอบไม่ได้ว่าอากาศดีที่สุดในประเทศไทยหรือไม่



...แต่สิ่งที่ผมตอบได้คือ น้ำใจของคนที่นี่ที่ผมได้พบได้เจอ.. รวมไปถึงบรรยากาศโดยรวม และทัศนียภาพของหมู่บ้านที่มีลำธารไหลผ่านแบบนี้นั้นไม่ค่อยได้เห็นนักในดินแดนด้ามขวานของเรา หรืออาจมีแต่เพียงผมไม่รู้ ...



...บรรยากาศของหาดหินงามในวันที่เปลี่ยนชายหาดเป็นปาร์ตี้เป็นมินิคอนเสิร์ตเล็ก ๆ สร้างความสุขให้แก่คนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา .. น้ำตกกะโรม น้ำตกที่ผมว่าสวยงามซึ่งผมอาจมาผิดเวลาซึ่งไว้สักวันจะกลับมาใหม่ .. หมู่บ้านคีรีวงที่สภาพอากาศยามบ่ายเผาจนเหงื่อแทบจะหมดตัว แต่ตกเย็นกลับมองของขวัญชิ้นโตให้คือแสงที่งดงาม ...



...ความสุขในวันนั้นยังจำได้ถึงวันนี้ .. แสงสีทองที่ค่อย ๆ ฉาบลงบนขุนเขาเบื้องหน้าก่อนจะสร้างเงาสะท้อนสีทองย้อนกลับขึ้นมาจากผืนลำธาร ..สายลมที่ไม่ได้พัดแรงนัก แต่ความเหนื่อยล้าก็หายไปอย่างรวดเร็วยามที่ได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของธรรมชาติ .. ท้องฟ้าในวันนี้ได้ภาพจำกลับมาคือภาพนี้ หากวันหน้าได้กลับมาที่นี่อีกจริงไม่รู้จะเป็นแบบไหน .. แต่ก็ขอภาวนาให้ตัวเองได้กลับมาอีกสักครั้งก็ยังดี ...



...ปิดท้ายที่สามภาพนี้นะครับ ... สองภาพบนผมลบสายไฟที่พาดผ่านกลางออกไปเนื่องจากถ้าไม่มีจะดูสบายตากว่า .. แต่ภาพล่างสุดก็ปล่อยไว้ตามสภาพจริงครับ...



...ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับที่แวะเข้ามาชมอัลบั้มนี้กัน ... แล้วไว้เจอกันใหม่อัลบั้มหน้าครับ...



…เรื่อง/ภาพ : Forzanu



ป.ล. ขอฝากไว้อีกช่องทางเผื่อเพื่อน ๆ คนไหน หรือใครอยากติดตามผลงานภาพต่าง ๆ หรือสอบถามเชิญที่ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ ^^

https://www.facebook.com/Forzanufoto



ความคิดเห็น