...คงมีอยู่หลายสถานที่สำหรับใคร ๆ หลายคนที่เมื่อเดินทางไปแล้วก็หวังเหลือเกินว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวกับที่นั้น ๆ .. บางคนไปทะเลที่เดิมซ้ำ ๆ แต่ก็อยากกลับไปอีก บางคนไปขึ้นภูขึ้นเขาขึ้นดอยทั้งที่เดินเป็นครึ่งวันแต่ก็ไปแล้วไปเล่า .. ผมเชื่อเสมอว่ามีคนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการเหตุผลอะไรมากมายจากสถานที่ที่เราไปว่าทำไมถึงยังได้กลับไปแล้วกลับอีก .. ผมเองก็คือหนึ่งในคนกลุ่มนั้นที่มีหลายแห่งที่เดินทางไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ชอบ แต่รัก..และก็หวังจะได้เดินทางกลับไปอีก...



... “พะเยา" ผมเคยเดินทางมาแล้ว 2 ครั้ง .. จุดหมายปลายทางก็เป็นที่เดิม ต่างกันคือเส้นทางการมา และสถานที่ตามรายทาง กับช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป .. จนได้กลับมาอีกครั้งในวันนี้ที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท.จังหวัดเชียงราย และ ททท.จังหวัดพะเยา .. จับมือกันให้ผมได้มีโอกาสเดินทางเพื่อเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยว และมนต์เสน่ห์ความน่าสนใจของเมืองพะเยา...



...การเดินทางครั้งนี้จึงได้รับการสนับสนุนจาก ททท.เชียงราย-พะเยา, สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และบริการรถเช่าจาก AVIS .. โดยเดินทางมาในช่วง 18-21 พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ครับ



…ซึ่งสถานที่ที่เราจะเดินทางไปครั้งนี้นั้นจะเน้นหลัก ๆ ไปที่พะเยา.. ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมอย่างภูลังกา วัดพระนั่งดิน วัดนันตาราม บรรยากาศสองข้างทางต่าง ๆ ตลอดการเดินทาง และสถานที่สุดคลาสสิคอย่างกว๊านพะเยา .. โดยจะมีภาพของ จ.เชียงรายอยู่แค่วันเดินทางกลับเล็กน้อยเท่านั้น .. เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาถ้าอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ



…ป.ล. ภาพในอัลบั้มนี้ค่อนข้างเยอะ 138 ภาพ .. ใครมีเวลาเปิดกระทู้ทิ้งไว้ไปเดินเล่นสักพักแล้วค่อยกลับมาชมภาพต่ออีกทีก็ได้นะครับ...



...เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิเช็คอินกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์สพร้อมส่งสัมภาระโหลดลงเครื่องเรียบร้อย เป็นเที่ยวบินรอบ 7.35 ไปกันแต่เช้าบินตรงถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ...



...ใช้ระยะเวลามาตรฐานประมาณ 1 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ส่งตรงถึงสนามบิน จ.เชียงรายโดยสวัสดิภาพ .. ดูจากท้องฟ้า ณ ตอนนี้แล้วถือว่าโอเคเลย เพียงแต่ไม่รู้ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร .. แต่ที่แน่นอนคือสภาพแดดตอนประมาณ 9 โมงนี่ก็เผาให้เหงื่อออกได้เบา ๆ เช่นกัน



...จากนั้นเมื่อเดินเข้าสู่ตัวอาคารเป็นที่เรียบร้อยพร้อมรับสัมภาระ อันดับต่อไปก็คือการรับรถโดยพาหนะขับเคลื่อนที่จะพาเราไปก็เป็นบริการรถเช่า AVIS THAILAND ...



...รถที่ได้รับก็เป็น Toyota Yaris Eco Car ประหยัดน้ำมันที่จะต้องอยู่ด้วยกันกับเราอีก 3 วัน.. เมื่อเซ็นเอกสารรับรถเรียบร้อยแล้ว.. หน้าที่คนขับจึงเป็นของเพื่อนผมที่มาด้วยกันไปโดยปริยาย .. ส่วนตัวผมขอเป็นคนนำทาง ดูเส้นทาง และเก็บภาพเป็นหลัก.. ฤกษ์งามยามดี 9 โมงครึ่งล้อรถก็เริ่มหมุนเป็นสัญญาณเริ่มต้นแห่งการเดินทางอย่างแท้จริงเสียที



...จากสนามบินเราขับออกมามุ่งหน้า อ.เทิง จ.เชียงราย และยึดเส้นทางเข้า อ.ภูซาง จ.พะเยาเป็นหลัก.. ระยะทางจากสนามบินถึงช่วง อ.เทิง ประมาณไม่ถึง 100 ก.ม. ขับไปเปิดเพลงฟังไปเรื่อย พร้อมแวะกินข้าว



...ประมาณ 11 โมงก็ถึง อ.เทิง และจึงมุ่งหน้าต่อไปทางภูซาง เพื่อสู่สถานที่หมายแห่งแรก “น้ำตกอุ่นภูซาง" ..



...ระหว่างเส้นทางสู่น้ำตกอุ่นภูซางถนนเริ่มแคบลง เริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งธรรมชาติที่ห้อมล้อมอยู่สองข้างทาง...



...ทุ่งข้าวรวงสีเหลืองทองยามสาย ๆ ใกล้ย้ายมากลางวัน.. สีสันให้ชวนมองและลงสัมผัสยิ่งนัก.. ไม่รอช้าที่จะจอดรถ และเก็บภาพสักเล็กน้อย ก่อนจะถูกเรียกด้วยชาวบ้านที่กำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ให้ลงไปถ่ายภาพเล่นที่ด้านล่างได้ตามสบาย .. เสียอย่างเดียวถ้าไม่ติดว่าจะต้องไปยังที่อีกหลายที่ในวันแรกนี้ก็ว่าจะขอร่วมวงกินข้าวกลางวันกับพี่ ๆ ชาวบ้านด้วยเป็นแน่



...เหมือนเวลาถูกล๊อคไว้ เราเดินทางมาถึง “น้ำตกภูซาง" เป็นเวลาเที่ยงพอดีเป๊ะ... ทันทีที่ขับรถข้ามสะพานเล็ก ๆ มาก็พบกับน้ำตกขนาดย่อม ๆ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่อยู่ที่ริมทางนี้เลย



...จอดรถเรียบร้อย แวะซื้อน้ำซื้อขนมกินจากร้านค้าของชาวบ้านที่มีอยู่หลายร้านจากนั้นก็เริ่มเดินหามุมปลีกวิเวกถ่ายภาพทางใครทางมันกับสหายที่มาด้วยกัน...



... “น้ำตกภูซาง" การเดินทางของสายน้ำอุ่น .. เหตุที่ได้ชื่ออย่างนี้เพราะสายน้ำของน้ำตกภูซางนั้นเดินทางลัดเลาะมาตามลำห้วยน้ำฮวก ซึ่งไหลผ่านบ่อน้ำร้อนที่เรียกว่า “บ่อซับน้ำอุ่น" ก่อนจะตกลงมาสู่หน้าผาหินปูนที่สูงประมาณ 15 เมตร .. จึงกลายเป็นน้ำตกอุ่น อุณหภูมิโดยเฉลี่ยก็ประมาณ 35 องศาเซลเซียส ..จากนั้นก็ไหลรวมกับลำน้ำเปือยด้านล่าง ก่อนที่จะกลายเป็นแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตพืชพันธุ์ และชุมชนต่อไป



...ที่น้ำตกภูซางก็มีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ มีธรรมชาติที่ร่มรื่นห้อมล้อมด้วยน้ำตก และต้นไม้ใหญ่ .. พื้นที่โดยรวมกับวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวแบบนี้บอกได้เลยว่าโปร่งโล่ง และดูสะอาดมาก ...



...ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการถ่ายภาพ และก็ยืนนิ่ง ๆ เฝ้ามองสายน้ำที่ไหลจากหน้าผาด้านบนกระทบร่วงหล่นสู่ผืนน้ำด้านล่าง เสียงน้ำตกดังตลอดเวลาเคล้ากับเสียงร้องของนกที่บินไปมาเป็นบางจังหวะ .. ความสุขบางครั้งแค่ยืนเฉย ๆ ก็รับได้มาเต็ม ๆ ...



...เราอยู่ที่น้ำตกกันไม่นานนักราว 1 ชั่วโมง ก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง... ซึ่งจุดมุ่งหมายปลายทางของวันนี้จะไปนอนที่ภูลังกา... ซึ่งระหว่างทางไปก็ยังมีวัดที่สำคัญ และมีชื่อเสียงของที่นี่ให้เราต้องแวะเก็บภาพ...รวมทั้งบรรยากาศสองข้างทางอีกมากมาย ..



...ออกจากน้ำตกภูซางขับมาเรื่อย ๆ ระยะทางไม่ถึง 30 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 30 นาที รวมถ่ายรูปเล่นระหว่างทางในที่สุดก็มาถึง “วัดนันตาราม"...



... “วัดนันตาราม" ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อ.เชียงคำ จ.พะเยา .. ซึ่งชื่อก่อนหน้านี้คือ “วัดจองคา หรือ วัดจองเหนือ" เดิมทีแต่แรกนั้นเป็นเพียงอาราม สำนักสงฆ์ ก่อนที่ประมาณปี 2467 – 2468 พ่อนันตา(อู๋) วงศ์อนันต์ คหบดีอำเภอเชียงคำ ได้มีการบูรณะพระวิหารโดยจ้างนายช่างชาวพม่าเป็นผู้ออกแบบ และก่อสร้างด้วยศิลปะแบบไทยใหญ่



...ภายในวัดนั้นแม้บริเวณตัววิหารจะไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม หรือรอบล้อมมากนัก แต่เราก็ถึงกับพูดออกมาเหมือนกันว่า “สวยงามมาก" .. ด้วยศิลปะ และสีสันการออกแบบที่เห็นตั้งแต่ภายนอกนั้น สร้างความประทับใจให้ตั้งแต่แรกเห็น



...เนื่องจากที่ผู้ออกแบบเป็นช่างชาวพม่า ทำให้วัดนี้ดูแปลกตาไปหากเทียบกับวัดไทยทั่วไป .. แต่สิ่งนี้เองที่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ให้กับผู้ที่เดินทางผ่านมาได้จดจำ และสัมผัสกับความสวยงามของศิลปะ...



...นอกจากที่วัดนันตารามนั้นจะเป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้ของชาวบ้าน และผู้ที่เดินทางผ่านไปผ่านมาแล้ว .. ภายในตัววัดยังแบ่งเป็นพื้นที่ของการอนุรักษ์วัตถุโบราณที่มีคุณค่าอยู่มากมายหลายอย่างชิ้น ..



...โดยวัตถุโบราณหลาย ๆ ชิ้นก็เก็บอยู่ในตู้กระจกเก็บเป็นอย่างดี แต่ก็มีหลายชิ้นที่วางไว้ให้เราได้เห็นกันชัด ๆ .. ช่วงวันที่เดินทางมาก็มีชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวมากราบไหว้อยู่หลายราย... เรียกว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยเลย...



...จากวัดนันตารามเราก็ออกเดินทางกันต่อซึ่งสถานที่ต่อไปก็ยังคงเป็นวัดเช่นเดิม โดยเราจะไปกันที่ “วัดพระนั่งดิน"... แค่ฟังจากชื่อก็ให้พอนึกภาพออกได้ลาง ๆ ...



...ด้วยระยะทางสั้น ๆ ราว 5 ก.ม. ก็มาถึงวัดพระนั่งดินเป็นที่เรียบร้อย... ตัววัดตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่เห็นได้โดยง่าย ..



...วัดพระนั่งดิน เป็นวัดที่องค์พระประธานของวัดไม่มีฐานรองรับเหมือนกับพระประธานองค์อื่น ๆ หรือตามวัดอื่น ๆ ... ซึ่งก็เคยมีผู้คนมาสร้างฐานรองรับเพื่ออัญเชิญพระประธานขึ้นประดิษฐานบนฐานรองรับ แต่ไม่ประสบผลเพราะพยายามยกเท่าไรก็ยกไม่ขึ้น รวมทั้งยังมีเรื่องเล่าว่าเคยมีชาวบ้านรวมใจกันสร้างฐาน และอัญเชิญพระเจ้านั่งดินขึ้นประทับ แต่ก็เกิดฟ้าผ่าลงที่อุโบสถนี้ด้วยกันถึง 3 หน .. ชาวบ้านก็เลยต้องเชิญประดิษฐานที่พื้นล่างเช่นเดิม ... จึงเป็นที่มาเรียกสืบต่อกันมาว่า “พระนั่งดิน"...



...จากนั้นก็ถึงเวลาขับรถเที่ยวกันอีกครั้ง ... ภาพของสองข้างทางอีกมากมายที่รอเราอยู่ข้างหน้ากำลังรอคอยเราอยู่...



...ระยะทางอีกประมาณ 40 ก.ม. จะถึงที่หมาย .. ด้วยเวลาที่ยังหมุนเท่าเดิมเดินด้วยจังหวะเดิม แต่ในวันที่อากาศดีดี ไร้พิษไร้ควันไร้เสียงจอแจอย่างในวันนี้ .. กลับเหมือนว่าเวลาจะบรรจงเดินไปทีละช้า ๆ เพื่อให้เราเสพสุขตักตวงทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ ...



...วันที่เปลี่ยนจากเสาไฟฟ้าเป็นต้นไม้ เปลี่ยนตึกสูงใหญ่เป็นภูเขาลูกโต เปลี่ยนความวุ่นเป็นทุ่งข้าว และเปลี่ยนคนเมืองเยอะ ๆ เป็นชาวบ้านกลุ่มน้อย ๆ ...



...เรื่องราวสองข้างทางมีอะไรให้น่าจดจำเสมอ...



...รอยยิ้ม คำตะโกนทักทาย ถามไถ่มาจากไหน จะไปที่ไหน แม้แต่ชวนกินน้ำทั้งที่พวกพี่ ๆ ชาวบ้านน่าจะเป็นผู้ที่ต้องการน้ำมากกว่าเราที่อยู่บนรถแอร์สบาย ๆ ...



...น้ำใจ และมิตรภาพถ้าจะลงตัวสักอย่างเวลาน้อยก็ไม่จำเป็น.. กับบททักทายพูดคุยรอยยิ้มที่พี่ ๆ ชาวบ้านมอบให้ ทำให้เราได้ภาพในมุมที่มากขึ้นที่ต่างจากมองแต่ไกล ๆ



...โดยประมาณ 4 โมงเย็น เบ็ดเสร็จเส้นทางจากสนามบินเชียงรายถึงภูลังการีสอร์ท .. ประมาณ 180 ก.ม. เส้นทางที่ขับง่าย สภาพท้องถนนดีเยี่ยมตลอดทางมาแทบไม่เจอที่ขรุขระเลย ไม่มีเลี้ยวเยอะ ไม่มีทางโค้งชันให้ต้องกลัว...



...ใครที่มีแพลนเดินทางมาจะเช่ารถขับ หรือจะขับมาเอง .. บอกได้เลยครับว่าเป็นเส้นทางที่สบาย ๆ วงเล็บไว้แค่อย่าประมาทก็พอครับ



...ช่วงที่เดินทางมานั้นเป็นช่วงวันที่ 18 – 21 กลางเดือนพฤศจิกายนนิด ๆ .. อากาศ ณ วันนั้นยังไม่ค่อยหนาวสักเท่าไหร่ แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดเร็วบ้างแล้ว...



...เราใช้เวลาไปกับการเกี่ยวกับบรรยากาศทัศนียภาพสองข้างทาง.. ขับรถไปเรื่อย ๆ เจอตรงไหนสวย เรามองสวย คนขับมองไม่สวยเราก็จอด .. หรือคนขับมองว่ามุมนี้สวย แต่เรามองไม่ออก .. เราก็จอด .. สนุกดีครับเพราะบางอย่างเราก็ได้เจอ ได้สัมผัส ได้ชอบในมุมจากที่ตอนแรกเรามองไม่ออกนี่แหละ..



...เราเข้าที่พักตอนเย็นประมาณ 5 สั่งกับข้าวกับปลากินเรียบร้อย พร้อมมีแพลนว่าจะถ่ายภาพหมู่ดาวสักหน่อย หรือถ้าโชคดีก็จะลองถ่ายภาพทางช้างเผือกดูด้วย เพราะยังไม่เคยเหมือนกัน... ระหว่างที่นั่งกินข้าวไปเล็งมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ไว้เรียบร้อย เหลือแค่รอเวลาช่วงหัวค่ำเท่านั้น...



...มุมอาจจะถูกบีบบังคับจากสถานที่ และสภาพแวดล้อม.. นี่คือมุมเดียวที่สามารถถ่ายกลุ่มทางช้างเผือกได้จากตรงจุดนี้... ไม่เคยถ่ายภาพทางช้างเผือกหรือกลุ่มดาวมาก่อน แต่มาหนนี้มีหาอ่าน และจดจำข้อมูลมาบ้าง .. ว่าแล้วชัตเตอร์แรกของการถ่ายภาพทางช้างเผือกก็เริ่มตอนประมาณทุ่มนึง



...ด้วยพื้นที่ที่อยู่สูงจากปกติทำให้มองเห็นกลุ่มทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าได้พอลาง ๆ บวกกับหมู่ดาวมากมายที่ระยิบระยับอยู่บ้าง... กว่าจะได้มาแต่ละภาพนั้นไม่นานนัก แต่ที่ทรมานและต้องทนคือเหล่ายุงที่มาอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา



...ทันทีที่ถ่ายได้แล้วเปิดดูหลังกล้องบอกได้คำเดียวว่าดีใจมาก แม้อาจเป็นเรื่องปกติของหลาย ๆ คนที่เคยถ่ายภาพแนวนี้กันมาแล้ว แต่กับเราที่ไม่เคยย่อมรู้สึกต่างกัน .. ส่งท้ายนอนหลับฝันดีด้วยภาพทางช้างเผือกในคืนนี้อย่างมีความสุข....



...เช้าตรู่ของอีกวันเวลาประมาณ 7 โมงเช้า .. เช้านี้ไม่มีหมอกหนาไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง ผิดกับ 2 ครั้งที่เคยมา และผิดกับเมื่อวานที่คนที่นี่บอกว่าเช้าเมื่อวานยังมีหมอกอยู่เลย .... ทำให้รู้สึกตัวได้อีกครั้งว่าคงอยู่ที่โชคชะตาแล้วแหละ...



...แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เก็บภาพสักหน่อย ยังพอมีแสงจากดวงตะวันส่องมาเป็นเส้นให้เห็นบ้างก็ยังดี .. จากนั้นก็กลับมากินข้าวเช้า เดินโอ้เอ้ ชมบรรยากาศชิมกาแฟปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปช้า ๆ สบาย ๆ ก่อนจะออกจากที่พักเพื่อไปเก็บภาพที่ด้านล่างแทน...



...เมื่ออยู่ด้านบนมองลงมาเบื้องล่างก็สวย ครั้นอยู่ตรงนี้ด้านล่างมองสูงย้อนขึ้นไปก็สวยไปอีกแบบ ..



...อากาศที่บริสุทธิ์ถ้ามีกระป๋องสักใบแล้วอัดใส่เก็บไว้ได้คงดี .. แต่ไม่มีก็ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ สูดหายใจช้า ๆ ให้เต็มปอดแล้วค่อย ๆ ถอนลมหายใจออก ... นอกจากมีความสุขที่อากาศดีแล้วยังรู้สึกโล่งอีกด้วย



...เมื่อวานระหว่างทางมาได้เห็นวิถีชาวบ้านที่ทำนาลงแขกเกี่ยวข้าว นวดข้าวกันด้วยแรงคน .. แต่เช้านี้เราก็เห็นการนวดข้าวอีกแบบที่ใช้เครื่องยนต์เครื่องจักร .. ความเร็วนั้นไม่ต้องพูดถึงกินขาดจากแรงคนแน่นอน



...และก็เดินเก็บภาพมุมนั้นนิดนี่หน่อยไปเรื่อย... เมื่อวานตอนมามากัน 2 คน แต่วันนี้หมายของเราจะต้องไปที่ตัวเมือง กว๊านพะเยาเพื่อเก็บภาพ ซึ่งบังเอิญว่าเราได้รู้จักกับมิตรภาพระหว่างทางจากนักเดินทางที่มาด้วยกันอีก 2 คน เป็นแฟนกันโบกรถกันมาเที่ยว และมีแพลนจะกลับเข้ากว๊านพะเยาเช่นเดียวกับเรา .. เราเลยชวนให้ติดรถไปด้วยกัน เพราะดูจากพี่ทั้งสองก็ชอบถ่ายภาพไม่แพ้เราสองคน ..



...ถึงตอนนี้ทั้ง 4 คน ไม่ว่าจะคู่ผมที่เป็นเพื่อน หรือคู่แฟนที่เจอเมื่อคืน .. ต่างคนต่างเดินแยกย้ายกันเรียบร้อย มุมใครมุมมัน ที่กว้าง ที่สวย เวลาเยอะ เวลามี ..



...เป็นอีกช่วงเวลาที่ปลีกวิเวกได้ดีจริง ๆ ...



...จากนั้นสาย ๆ หน่อยสักประมาณ 10 โมงกว่าเราก็เริ่มออกจากที่นี่...



...โดยระหว่างทางก็แวะพักกินข้าว เจอบ้านของชาวบ้านที่เป็นนักดนตรีก็แวะเข้าไปนั่งเล่นตามเสียงชวนจากเจ้าของบ้าน... เวลาจึงหมดไปกับการนั่งฟังดนตรีพื้นบ้าน พูดคุยกับมิตรภาพที่ไม่คิดว่าจะเจอมาก่อน...



...จนถึงประมาณบ่ายโมงสถานที่แรกที่เรามากันคือ “ชุมชนบ้านไทลื้อ บ้านยายแสงดา" ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.เชียงคำ เป็นเส้นทางที่เราจะต้องขับผ่านไปสู่ตัวเมืองพะเยาพอดี... ชุมชนนี้เป็นเหมือนหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งที่บ้านยายแสงดาที่เราแวะกันนั้นก็ประกอบอาชีพทางด้านงานหัตถกรรมถักทอ ซึ่งก็มีส่งผ้า ส่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ทางศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อที่อยู่ภายในวัดใกล้ ๆ กันนี้ไว้แสดงผลงาน



...ซึ่งที่บ้านยายแสงดานั้นชั้นล่างใต้ถุนก็จะเป็นที่คุณยายนั่งถักนั่งทอนั่งทำงานกัน .. ส่วนชั้นบนก็จะเป็นที่เก็บงานทองานถักงานผ้าตัวอย่าง ทั้งที่ส่งขาย และส่งโชว์ที่ศูนย์ .. และก็ยังมีมุมที่จัดวางบอกเล่าถึงประวัติที่มาที่ไปเล็ก ๆ ..



...คุณยายทั้งสามที่เราเจอใจดีมาก .. บอกว่าอยากเดินถ่ายภาพตรงไหนก็เดินได้เลย พร้อมชวนกินข้าวกินน้ำ .. เราใช้เวลาอยู่ที่บ้านยายแสงดาประมาณ 30 นาที .. ยืนดูคุณยายทำงาน ดูไปก็อดคิดไม่ได้ว่ากว่าจะได้ออกมาเป็นด้ายแต่ละเส้น เป็นผืนแต่ละผืนนั้นใช้เวลานาน และความเหนื่อยแค่ไหน ...



...จากนั้นกราบลาคุณยายด้วยดี พร้อมออกเดินทางสู่จุดหมายต่อไป “โบราณสถานเวียงลอ"...



... “โบราณสถานเวียงลอ" อยู่ห่างจากตัว อ.จุน ประมาณ 17 ก.ม. ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นเมืองเก่าซึ่งมีประวัติศาสตร์มาช้านาน โดยจะเป็นซากกำแพงเมืองเก่า รวมถึงวัดเก่าแก่อย่างวัดศรีปิงเมือง ซึ่งที่เราจะแวะกันนั้นจะเป็นเพียงในส่วนที่เก็บวัตถุโบราณเวียงลอเท่านั้น



...ทันที่ทีมาถึงจอดรถเสร็จเรียบร้อย ก็ได้คำชี้แนะจากพระภายในวัดให้มาชมวัตถุโบราณที่ได้มีการจัดเก็บไว้อย่างดี... ซึ่งห้องที่จัดเก็บไว้นั้นทางวัดก็ล๊อคกุญแจไว้อยู่เนื่องจากทางวัดกลัวจะถูกขโมย จึงเปิดให้ชมเป็นกรณี ๆ ไป ..



...ภายในนั้นเป็นห้องโถงกว้างมีรายละเอียดบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์เวียงลอ ในยุคสมัยอดีต .. รวมทั้งยังเป็นเก็บสะสมวัตถุโบราณต่าง ๆ ทั้งที่ขุดค้นพบเจอ หรือเป็นของเก่าที่ชาวบ้าน หรือมีผู้มอบส่งทอดต่อมาให้ .. ทางวัดก็จัดเก็บไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นได้ศึกษากันไป



...ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลง บวกกับเป้าหมายของวันที่อยากได้ภาพของกว๊านพะเยายามเย็นสักเล็กน้อย ทำให้เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็ต้องออกเดินทางกันต่อ...



...ท้องทุ่งที่สวยงามระหว่างทางยังน่าสนใจ และสวยงามเสมอ ยิ่งเวลานี้แสงแดดยามบ่ายเริ่มเบาบางลง .. ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่นักจากตอนกลางวันทำให้เรายังคงแวะเก็บภาพข้างทางอยู่เรื่อย ๆ ...



...ในที่สุดก็ขับมาถึงบริเวณตัวเมืองพะเยา แต่ก่อนที่เราจะไปเก็บภาพบรรยากาศกว๊านพะเยากันที่ริมกว๊าน ก็ขอขึ้นไปชมทัศนียภาพจากมุมสูงที่จุดชมวิวกว๊านพะเยา ซึ่งอยู่บนเส้นทางถนนที่จะตัดออกไป จ.เชียงใหม่ได้



...ผมได้ลองวาดแผนที่แบบคร่าว ๆ เผื่อใครสนใจจะตามไปกันนะครับ (ขออภัยสำหรับลายมือ) .. เริ่มจากบริเวณสี่แยกแม่ต๋ำไปตามลูกศรที่ผมเขียนไว้ ยึดเส้นทาง อ.วังเหนือ แล้วขับผ่านวิทยาลัยเกษตรแม่นาเรือด้านขวา จากตรงจุดนั้นจะเป็นเส้นทางเริ่มขึ้นเขาโค้งไปมาเล็กน้อย .. ขับไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 ก.ม. จะเจอจุดชมวิวอยู่ด้านขวามือ...



...ขับมาเส้นนี้ยังไงก็เจอครับเพราะทำไว้เห็นเด่นชัด เมื่อจอดรถแล้วก็เดินไปยังบริเวณจุดชมวิวที่ทางจังหวัดสร้างไว้เป็นอย่างดี มีร้านค้าจากชาวบ้าน ห้องน้ำ และพื้นที่ให้เดินเล่น ..



...แต่โชคร้ายสำหรับวันนี้ที่มาเนื่องจากสภาพอากาศทำให้เมื่อมองลงไปด้านล่างเห็นตัวกว๊านพะเยาไม่ชัดเท่าไหร่นัก .. ในทางกลับกันหากเป็นวันที่ท้องฟ้าสวย สภาพอากาศโปร่งใส .. ตรงจุดนี้น่าจะเป็นวิวที่สวยงามมากเลยทีเดียว



...หลังจากที่เห็นทีท่าไม่ดีเราทั้ง 4 คนจึงตกลงกันว่ารีบบึ่งไปยังริมกว๊านน่าจะเป็นการดีกว่า... เพื่อเก็บแสงยามเย็น..



...ทันทีที่มาถึงท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเวลาเดินหามุมมากมายนัก .. พร้อมกับอดขับรถเล่นเพลิน ๆ เลาะริมกว๊านไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังดีที่พอเก็บภาพได้บ้าง .. และจากหนึ่งในภาพชุดนี้ก็มีภาพที่ผมชอบมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้เลยด้วย...



...ปิดท้ายค่ำคืนของวันที่ 2 ด้วยที่พักราคาประหยัดริมกว๊านพะเยา .. อาหารค่ำกับมิตรภาพเก่า ๆ ที่มาด้วยกันกับเพื่อน และมิตรภาพใหม่ที่ได้พบระหว่างทาง... ทำให้เรามีเรื่องราวแลกเปลี่ยนอะไรกันเยอะแยะ ก่อนจะแยกย้ายกันต่างคนต่างพัก ... แต่สำหรับผมและเพื่อนยังมีโปรแกรมอื่นรออยู่ในวันรุ่งขึ้น



...เช้าอีกวันอันสดใสที่ท้องฟ้าใสสะอาด ไม่มีเมฆแม้แต่ปุยเดียว แต่สีของท้องฟ้านั้นสัมผัสได้ถึงความเป็นเมืองเหนือ ผิดกับที่บ้านผมสาทรใจกลางเมืองกรุงเป็นไหน ๆ



...เมื่อมาถึงกว๊านพะเยาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกหนึ่งคือการแวะไหว้พระสักการะที่ “วัดติโลกอาราม" ซึ่งเป็นวัดลอยน้ำอยู่กลางกว๊านพะเยา



...ช่วงที่มาถึงก็เวลาประมาณ 9 โมงเช้าพอดี เหมือนว่าเรือจากชาวบ้านจะยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่เพราะยังจัดคิวเรือกันอยู่ แต่บังเอิญว่าช่วงที่ผมมาเป็นเวลาเดียวกับที่มีรายการท่องเที่ยวมาถ่ายรายการอยู่พอดี แถมมากันถึง 2 รายการด้วย ..



...และหนึ่งในรายการนั้นเป็นของคุณแหม่ม สุริวิภา .. ทางทีมงานจึงชวนเราสองคนลงเรือลำเดียวไปกับทีมงานด้วยกันเลย ..



...ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เรือพายจากชาวบ้านก็นำเรามาถึงบริเวณวัดกลางน้ำ ซึ่งในแต่ละปีบริเวณรอบ ๆ อุโบสถกลางน้ำนี้ก็จะเป็นที่มีการเวียนเทียน โดยนั่งอยู่บนเรือแจวพายไปรอบ ๆ ส่วนวันที่จัดให้มีการเวียนเทียนก็จะตรงกับวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา ..



...วัดติโลกอาราม นับได้ว่าเป็นโบราณสถานแห่งหนึ่งที่จมอยู่ในกว๊านพะเยา เป็นวัดที่พระเจ้าติโลกราช แห่งราชอาณาจักรล้านนาโปรดให้พระยายุทธิษถิระ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองพะเยาสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2019 - 2029 .. จากคำบอกเล่าที่ต่อกันมาว่าหลังจากที่มีการสร้างประตูกั้นแม่น้ำอิง ก็ส่งผลให้เรือกสวนไร่นา วัดวาอารามหลายวัดได้จมอยู่ใต้น้ำกว๊านพะเยานับแต่นั้นเป็นต้นมา... และจากข้อความที่ปรากฏในศิลาจารึกนั้นทำให้รู้ว่าวัดนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 530 ปีแล้วนับถึงปัจจุบัน



...เราใช้เวลาอยู่ที่วัดประมาณครึ่งชั่วโมงก็กลับมายังฝั่ง เพราะต้องรอทีมงานถ่ายรายการจนเสร็จ..



...จากนั้นก็ค่อย ๆ ขับรถเลาะไปเรื่อย ๆ ตามริมน้ำ... ยามสาย ๆ อย่างนี้แดดอาจจะแรงไปสักหน่อย แต่กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้นดูจากรอยยิ้ม และสัมภาระที่แบกกันมาแล้วบอกได้คำเดียวว่าต้องชอบแน่ ๆ .. อย่างกลุ่มนี้เท่าที่ผมได้เข้าไปทักทาย และพูดคุยเล็กน้อยก็ทราบว่ามาจากฟินแลนด์ และก็ชอบในการขี่จักรยานรอบริมกว๊านนี้มาก...



...กว๊านพะเยา ที่เราขับรถเล่นกันอยู่นี้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำอิง สามารถรองรับน้ำที่ไหลมาจากลำห้วยทั้งหมดด้วยกันถึง 12 สาย ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาสันปันน้ำ หรือดอยหลวง... กว๊านพะเยามีเนื้อที่โดยประมาณ 12,830 ไร่ .. พื้นที่เส้นทางรอบ ๆ กว๊านนั้นสามารถขับรถได้ตลอดทาง มีบ้างที่อาจไม่ได้ติดชิดริมน้ำสลับไปมาตามพื้นที่ ...



...ช่วงเวลาที่เหมาะสมผมว่าจริง ๆ แล้วน่าจะอยู่ในช่วงเช้าตรู่ หรือไม่ก็ช่วงยามเย็นที่สภาพอากาศเบาบางกว่าในตอนก่อนเที่ยงอย่างในวันนี้ .. แต่ด้วยเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้ทำให้เราก็ไม่ทิ้งเวลาไป จึงตัดสินใจขับเลาะไปเรื่อยตามทาง... เพื่อซึมซับบรรยากาศในวันสบาย ๆ



...เส้นทางถนนที่เราขับอยู่นั้นทำไว้อย่างดี ...



...สภาพแสงแดดก่อนเที่ยงอาจแรงไปสักหน่อย แต่สายลม และเหล่าต้นหญ้าก็ยังคงสร้างภาพสวยงามให้เราเสมอ เป็นทัศนียภาพที่สบายตา ชวนให้คิดว่าหากเป็นยามเย็นย่ำนั้นคงจะยิ่งงดงามมากเท่าตัว...



...เมื่อมีพบก็ย่อมมีจาก.. ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องเดินทางออกจากกว๊านพะเยา เก็บไว้ซึ่งความประทับใจ และความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ในหลายต่อหลายแห่งที่เราได้ผ่านมาทั้งน้ำตกภูซาง ภูลังกา บรรยากาศสองข้างทาง .. และความงดงามเรื่องราวต่าง ๆ ของวัดวาอารามที่มีชื่อเสียงอย่างวัดนันตาราม วัดพระนั่งดิน .. หรือความประทับใจในงานฝีมือหัตถกรรมถักทอที่บ้านยายแสงดา ชุมชนบ้านไทลื้อ...



...เราขับรถออกจากพะเยาเข้าสู่ จ.เชียงราย โดยวันนี้จะนอนค้างที่โรงแรมที่พักซึ่งอยู่ใกล้กันกับสนามบินเพื่อนอนพักสักหนึ่งคืนไม่ให้เหนื่อยจนเกินไป... ก่อนที่เราจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นเพื่อส่งรถ และขึ้นเครื่องกลับในท้ายสุด...



...เราเข้ามาถึงที่พักประมาณบ่ายสองกว่า ๆ ตัวโรงแรมเดอะ มันตรินี เชียงราย นั้นอยู่ติดกันกับห้างเซ็นทรัล ซึ่งหาง่ายมาก... และยังสะดวกต่อการไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายที่ทั้งสี่แยกพ่อขุนเม็งราย, สนามบินแม่ฟ้าหลวง, แหล่งที่เที่ยวคึกคักยามค่ำคืน หรือจะเป็นวัดร่องขุ่นก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนี้เช่นกัน



...วันที่เดินทางมาเนื่องจากตรงกับวันธรรมดาทำให้บรรยากาศในที่พักดูเงียบสงบดีจริง ๆ มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ติดกับห้องพักวิ่งออกจากห้องแล้วกระโดลงน้ำได้เลย... และจากที่วางสัมภาระเรียบร้อยล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นกลับคืนมาอีกครั้ง.. เราก็เตรียมมุ่งหน้าหามุมสวย ๆ โดยคราวนี้ไม่มีกำหนดแล้วจะต้องเป็นที่ไหน.. จึงขับรถไปเรื่อย ๆ ...



...และก็มาถึงไร่บุญรอดที่มีสิงห์สีทองตัวใหญ่เห็นเด่นชัดอยู่ภายใน .. เราก็แวะเข้าไปชมกันสักเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บภาพอะไรมามากมายนักเน้นไปที่แวะมาชื่นชมเสียมากกว่า...



...แต่ก็ยังมีมุมดอกไม้สวย ๆ พอติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง.. กับจังหวะที่แสงจากดวงอาทิตย์ส่องเป็นลำเส้นพุ่งลงสู่พื้นล่าง.. บวกกับดอกไม้ที่ทางไร่บุญรอดปลูก และดูแลไว้อย่างดี...



...ใช้เวลาสักเล็กน้อยก็เดินทางมาต่อปิดท้ายการเดินทางแบบสมบูรณ์ที่ “วัดห้วยปลากั้ง" ...



...วัดที่มีความสวยงาม และมีทัศนียภาพเมื่อมองจากมุมไกลที่งดงามไม่แพ้วัดไหน.. นอกไปจากเป็นที่เคารพสักการะกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชนแล้ว ยังเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กที่ขาดโอกาสอีกด้วย...



...หลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้เห็นในการเดินทางแต่ละครั้งนั้นมีมากมายแตกต่างหลายหลากกันไป .. บ้างได้เจอด้วยความบังเอิญ บ้างได้มาเพราะความตั้งใจ .. แต่ไม่ว่าจะได้มาแบบไหนหากเรายอมรับแล้วเข้าใจ ความสุขก็เกิดขึ้นในหัวใจได้ไม่ยาก....



...ปิดท้ายอัลบั้มนี้ที่ภาพยามพลบค่ำของวัดห้วยปลากั้ง.. ก่อนจะกลับเข้าที่พัก และเดินทางกลับขึ้นเครื่องในวันรุ่งขึ้นต่อไป ...



...การเดินทางในแต่ละครั้งทำให้เราได้รับได้รู้อะไรมากขึ้น หากที่ประทับใจแล้วก็หวังไว้ว่าจะได้มาอีก หากที่ยังไม่ได้ไปก็หวังไว้ว่าสักวันคงจะได้เดินทางไป... การเดินทางครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นครั้งที่ 3 ที่ได้มา จ.พะเยา .. และไม่ผิดหวังกลับไปเลยแม้แต่น้อย .. ต้นไม้ ใบหญ้า ธรรมชาติ ผู้คน น้ำใจ ทุกสิ่งรอบตัวที่ได้เจอตลอด 3 วันที่ผ่านมา เรียกความสุขได้อย่างเต็มที่กับการเดินทางครั้งนี้...



...ขอบคุณอีกครั้งกับ ททท.จังหวัดพะเยา และจังหวัดเชียงรายที่ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ พร้อมทั้งสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และรถเช่าจาก Avis Thailand ครับ และขอบคุณสุด ๆ กับเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับที่แวะมาชมอัลบั้มนี้กัน ... อัลบั้มหน้าอาจจะเป็นภาพรวบรวมสถานที่เที่ยวหน้าหนาวสักเล็กน้อย คาดว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนคริสต์มาสคงได้มาโพสที่พันทิปนี้อีกครั้ง..



...ส่วนอัลบั้มนี้ฝากไว้ให้กับเพื่อน ๆ ที่รักการเดินทางทุกคนมีความสุขกับการเดินทาง และเดินทางโดยสวัสดิภาพกันทุกคนเลยนะครับสวัสดีครับ



…เรื่อง/ภาพ : Forzanu



...ขอฝากไว้อีกช่องทางเผื่อเพื่อน ๆ คนไหน หรือใครอยากติดตามผลงานภาพต่าง ๆ หรือสอบถามเชิญที่ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ ^^

https://www.facebook.com/Forzanufoto



...ใช่ครับสงบเงียบสบาย ๆ มาก อยากกลับไปอีกมาก ๆ

Forzanu

 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.06 น.

ความคิดเห็น