...เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “มรดกโลก" เชื่อเหลือเกินว่าใคร ๆ หลายคนก็จะต้องมีความเข้าใจ ใจความ ความหมาย นิยามไปในแต่ละคน อาจเหมือนกันต่างกันสุดแท้แต่กันไป .. ซึ่งหากจะนับจากความเป็นจริงรายละเอียดจะมีมากมายหลายหลากข้อ ดังนั้นเพื่อความเข้าใจโดยง่ายเอาแบบให้พอเห็นภาพกันได้เร็ว ๆ .. ผมจะขอว่าไว้แบบคร่าว ๆ เกริ่นนำเรื่องสักหน่อย



... “มรดกโลก" ก็คือสถานที่อะไรก็ได้ ได้แก่ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย ผืนป่า ป่าไม้ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เมืองต่าง ๆ หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ .. ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโก .. โดยมรดกโลกจะแบ่งได้ 2 ประเภทคือ 1. มรดกโลกทางวัฒนธรรม และ 2. มรดกโลกทางธรรมชาติ



...และสำหรับประเทศไทยเราเองก็มีทั้ง 2 ประเภทตามที่กล่าวมาให้เป็นความภาคภูมิใจของเราชาวไทย โดยเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 3 แห่ง และทางธรรมชาติ 2 แห่ง ... โดยมีสถานที่ดังนี้

...มรดกโลกทางวัฒนธรรม 3 แห่ง...

1.อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร

2.นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

3.แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง

...มรดกโลกทางธรรมชาติ

1.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง

2.ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่



...ส่วนเหตุผลว่าทำไมสถานที่แต่ละแห่งนั้นถึงได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกนั้นมีเหตุผลต่าง ๆ แยกแยะไปหลายข้อ .. หากใครสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมกันเองได้ครับ...



...และสำหรับภาพชุดนี้ผมขอนำเสนอ 1 ใน 5 มรดกโลกของบ้านเราคือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร"

โดยจะเดินทางไปกัน 2 จุดหมายปลายทางคือ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ...



สิ่งที่ได้รับ SR

- ตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียทั้งไป-กลับ / ดอนเมือง - พิษณุโลก / พิษณุโลก - ดอนเมือง

- รถเช่าจากสนามบินพิษณุโลก



...การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ตอนเช้าจากสนามบินดอนเมืองบินไปยังสนามบินพิษณุโลก และเช่ารถขับต่อไปยังทั้ง 2 จุดหมายปลายทาง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตามลำดับ...



...จากสนามบิน จ.พิษณุโลกขับรถมุ่งหน้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ไปยัง จ.สุโขทัยเพื่อถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงเมืองมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย



...ส่วนตัวผมเคยมาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยครั้งนึงแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน .. วันนี้ได้เดินทางกลับมาอีกครั้งจึงเหมือนการย้อนเวลากลับมาอีกหน...



...เมื่อมาถึงก็ทำการชำระค่าเข้าชมโดยเสียค่ารถนำเข้า 50.- / คัน พร้อมกับรับแผนที่ผังเมืองเพื่อความสะดวกต่อการเที่ยวชม .. โดยแบ่งเป็น 2 โซนง่าย ๆ คือภายในกำแพงเมือง และรอบนอกกำแพงเมือง ซึ่งก็มีหลายจุดน่าสนใจแตกต่างกันไป โดยจุดแรกที่ขอแวะสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งเมืองประวัติศาสตร์เป็นอันดับแรกคือ “วัดมหาธาตุ"...



... “วัดมหาธาตุ" นับว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของสุโขทัย เพราะนอกจากจะเป็นที่เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามความเชื่อทางศาสนาพุทธแล้ว ที่เจดีย์ประธานยังมีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมที่แสดงลักษณะเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยไว้อย่างแท้จริง



...โดยภายในบริเวณวัดมหาธาตุยังมีกลุ่มเจดีย์ และพระพุทธรูปต่าง ๆ ประดิษฐานอยู่ภายในพื้นที่ตามจุดต่าง ๆ กันออกไป...



...ภาพโดยรวมของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างที่เห็นในภาพคือภายในกรอบสี่เหลี่ยมจะเป็นตำแหน่งของวัดต่าง ๆ รวมไปถึงบึงน้ำ สะพานไม้ จุดให้บริการต่าง ๆ ตั้งกระจายกันไปภายในพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้ .. โดยพื้นที่ล้อมนอกก็จะเป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงเมืองทั้ง 4 ด้าน...



ป.ล. แผนที่ที่ได้รับจากอุทยานจะหน้าตาแบบนี้ครับ แต่ภาพนี้ผมนำมาจากเวป http://www.aksorn.com/lib/detail_print.php?topicid=768 เพราะมีรายละเอียดในส่วนของป้อมตำรวจ ยาม และกล้อง CCTV เพิ่มเติม .. ขอขอบคุณมา ณ ที่นี่ด้วยครับ



...เมื่อ 3 ปีก่อนครั้งแรกที่ผมได้มาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยนั้นตรงกับช่วงวันเข้าพรรษาพอดี.. ซึ่งทางวัดก็มีการจัดงาน จัดให้บรรดาเหล่าพุทธศาสนิกชนได้มาทำบุญ ไหว้พระ สักการะ เวียนเทียนประกอบพิธีตามศาสนา ผู้คนที่มาในครั้งนั้นก็เลยหนาตาเป็นพิเศษหากเทียบกับครั้งนี้ที่ไม่ตรงกับวันสำคัญทางศาสนา...



...อย่างใน 3 ภาพนี้ก็เป็นอีกวิธีในการบันทึกภาพผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศฝรั่งเศส..มากัน 2 คน หนุ่มสาว... ฝ่ายชายนั่งวาด ฝ่ายหญิงก็นั่งอ่านหนังสือ.. ต่างกิจกรรมกัน แต่ได้รับความสุขเหมือนกัน



...อย่างภาพวาดสีน้ำที่ผมถามจากชาวต่างชาติท่านนี้บอกว่าวาดประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ .. และนี่ก็คือขั้นตอนสุดท้ายคือตากแดดรอให้สีแห้ง...



...วันที่เดินทางมานั้นตรงกับวันธรรมดาก็มีให้พบเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางมาอยู่หลายกลุ่ม โดยเฉพาะชาวต่างชาติทั้งที่มากันเอง กับที่เป็นคณะทัวร์ ... ซึ่งจากเท่าที่ผมได้คุยบ้างกับนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาส่งมอบรอยยิ้มให้กัน มีบ้างที่เรากลายเป็นตากล้องจำเป็นเก็บภาพหมู่ให้ชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ พร้อมทักทายเล็กน้อยถามถึงว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง...



...และที่ได้ยินจากปากนักท่องเที่ยวแทบเหมือนกันหมดว่า “Beautiful Place".. แค่นี้เราก็ภูมิใจ...



...จากวัดมหาธาตุก็ไปยังวัดต่อไปที่อยู่ติดกันคือ “วัดศรีสวาย"... มีพื้นที่ไม่กว้างสักเท่าไหร่ โดยรูปแบบที่เห็นชัดจากภาพคือ ปราสาทเขมร 3 องค์เรียงกัน ...



...พื้นที่เล็กเดินเก็บภาพได้สักนิดหน่อยก็ขับรถวนรอบไปยังวัดต่อไป แต่ยังคงอยู่ในพื้นที่กำแพงเมือง


... ต่อกันที่ภาพนี้ “วัดตระพังเงิน" ที่วัดแห่งนี้จะไม่มีกำแพงล้อมรอบ แต่อาศัยน้ำเป็นขอบเขตของวัด.. ซึ่งก็ตรงกับความหมายของคำว่า “ตระพัง" ในภาษาเขมรที่แปลว่า “สระน้ำ"..



...ซึ่งส่วนพื้นที่ของวัดตระพังเงินนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัดมหาธาตุ...



...จากนั้นก็สลับจากการเก็บภาพในวัดต่าง ๆ มาเป็นถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ มุมต่าง ๆ ภายในพื้นที่ด้านในกำแพงเมืองบ้าง...



...เห็นท้องฟ้าแล้วต้องบอกว่าชื่นใจมาก เพราะจากตอนเช้าที่เริ่มขับรถออกจากพิษณุโลกท้องฟ้ายังครึ้ม ๆ สีเทา ๆ แต่พอมาถึงอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้ไม่นานนักจนถึงตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าแดดมาเต็ม...



...บรรยากาศภายในรื่นรมย์เงียบสงบ ความนิ่งของผืนน้ำบวกกับสายลมที่ไม่แรงนักทำให้ได้ภาพสะท้อนน้ำที่ชอบ ๆ กลับมาได้อยู่หลายใบ...



...สภาพอากาศรอบตัวในวันนี้หากเทียบกับฤดูฝนแล้วต้องบอกว่าโชคดีมากที่ได้เจอแดดดี ๆ อย่างตอนนี้ ...



...ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีให้บริการรถรางนำเที่ยวรอบ ๆ ภายในจุดต่าง ๆ หรือใครอยากปั่นจักรยานทางสถานที่ก็มีให้เช่าอยู่เลือกบริการกันได้ .. แต่สำหรับผมก็เป็นขับรถเก๋งที่เช่ามาขับจอด ขับจอด แวะไปจุดนั้นจุดนี้เรื่อย ๆ ...



...หากไม่รีบร้อนแข่งกับเวลามากมายนัก ก็ถือว่าไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไหร่ .. เพราะร้อนก็เข้ารถขับรถเปิดแอร์ แต่ที่ดูจะเป็นไปตามสภาพร่างกายก็คือเรื่องเมื่อยเท้าที่เดินไปเดินมานี่แหละ ยิ่งอาการเอ็นข้อเท้าอักเสบอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้วทำให้เวลาเดินเยอะ ๆ ก็มีเจ็บจี๊ด ๆ ขึ้นมาได้เป็นพัก ๆ ...



...และแล้วก็พักเหนื่อยด้วยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่ขายอยู่ในโซนร้านค้า กินจนอิ่มเติมพลังเรียบร้อย ก็ขับรถเที่ยวกันอีกครั้ง...



...โดยคราวนี้ออกจากบริเวณภายในกำแพงเมืองไปยังด้านนอกกำแพงบ้างโดยไปกันที่เจดีย์เล็ก ๆ อย่างที่ “วัดสรศักดิ์" ในภาพต่อไป...



... “วัดสรศักดิ์" มีพื้นที่อยู่ทางกำแพงเมืองด้านเหนือทางเดียวกับที่จะไปวัดที่มีชื่อเสียงอย่าง “วัดศรีชุม" ...



...ลักษณะเด่นของวัดนี้ที่ทำให้ผมเลือกแวะเก็บภาพก็คือ เจดีย์ทรงกลมที่มีช้างล้อมอยู่รอบฐาน .. ตามความเชื่อที่ว่าช้างเป็นสัตว์พาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่ควรคู่กับการค้ำจุนพุทธศาสนาให้ยั่งยืน...



...หลังจากผ่านพ้นช่วงบ่ายได้สักพักใหญ่ ช่วงบ่ายคล้อยแบบนี้ท้องฟ้าสีสวย ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป .. ตามที่ได้ทำใจไว้เล็ก ๆ ว่าอากาศดีดีอาจอยู่กับเราได้ไม่นาน



...แต่จุดหมายที่จะไปเก็บภาพก็ยังไม่หมด .. จากนั้นก็ขับตรงต่อไปยัง “วัดศรีชุม" อีกหนึ่งวัดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาที่นี่กัน เรียกได้ว่าเป็นอีกไฮไลท์ของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเลยก็ว่าได้...



... “วัดศรีชุม" มีพื้นที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ .. เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่สำคัญและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในการเดินทางมายังโบราณสถานแห่งนี้...



...จุดเด่นของวัดนี้ได้แก่ พระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในมณฑป โดยเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อ “พระอจนะ" ซึ่งแปลว่า “ผู้ไม่หวั่นไหว"...



...อย่างที่เห็นในภาพตัวมณฑปนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ขนาดความสูงจากยอดถึงฐาน 15 เมตร มีความกว้างหน้าตักราว 11.30 เมตร ...



...จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่ากันว่าที่วัดศรีชุมนี้เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช มาประชุมทัพก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก อันเป็นที่มาของตำนานเรื่อง “พระพุทธรูปพูดได้" ...



...พูดถึงเรื่องการถ่ายภาพภายในมณฑปของวัดศรีชุม บอกได้คำเดียวว่าถ้าไม่มีเลนส์มุมกว้างก็คงอาจเก็บภาพได้ไม่ครบทั้งองค์พระพุทธรูป... เพราะขนาดพื้นที่ภายในที่จำกัด...



...หลังจากถ่ายภาพจนพอใจจากนั้นก็เตรียมตัวขับรถกลับไปยังที่เดิม คือบริเวณภายในกำแพงเมืองด้านในเพื่อถ่ายภาพในมุมต่าง ๆ ต่อไป...



...แสงแดดจากตอนกลางวันค่อย ๆ คลายความร้อนแรงลงทีละน้อย... การถ่ายภาพเริ่มมีเวลากลางแจ้งมากขึ้นเพราะไม่ต้องคอยหลบแดดอยู่ใต้เงาไม้...



...จาก 3 ปีก่อนที่มาจนวันนี้อีกครั้งกับเจดีย์บางองค์ หรือวัดบางวัดก็อยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซมให้คงทน และเพื่อให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น... ขับรถวนไปรอบ ๆ แวะเก็บภาพในมุมที่ถูกใจเคล้ากับสายลมยามบ่ายแก่ ๆ ก็ทำให้เริ่มสัมผัสได้ถึงความสุขในวันที่ได้ออกมาอยู่ท่ามกลางพื้นที่อากาศดีดีเช่นนี้..



...ผมเชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่มาที่นี่แต่ไม่รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่นัก(ยอมรับอย่างเต็มปากว่าผมเองก็คือหนึ่งในนั้นด้วย).. แต่พอได้ออกมาเที่ยวมาสัมผัสความงดงามเรียนรู้ถึงที่มาของแต่ละสถานที่ด้วยการอ่านป้ายบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ สักเล็กน้อยก่อนเดินเข้าวัด... ก็เป็นส่วนดีที่น่าจะทำให้เราได้อะไรกลับมาบ้างไม่มากก็น้อย...



...เปลี่ยนจากถ่ายภาพสถานที่แบบกว้าง ๆ เน้นภาพรวม ๆ มานั่งอยู่ริมน้ำเฝ้ามองสิ่งละอันพันละน้อย อย่างดอกบัว แมลง รวมแม้กระทั่งเงาจากเจดีย์ที่ปรากฏอยู่บนผืนน้ำก็ทำให้ใจเบา ๆ และได้ภาพที่ชอบ ๆ กลับมาได้อีกแบบ...



...หลายครั้งที่ความเงียบสงบทำให้เกิดมุมมอง จินตนาการ และความสุขในหัวใจได้ง่าย ๆ ..



...เวลาเริ่มเย็นลงไปทุกที แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่ได้น้อยลงไปแต่อย่างใด .. ยังคงพบเห็นบรรยากาศท่องเที่ยวเก็บภาพในอากัปกิริยาต่าง ๆ กันทั้งที่จะมาคนเดียว หรือหลายคน..



...เห็นภาพแบบนี้แล้วชื่นใจครับที่แม้แต่ต่างชาติก็ยังประทับใจในความเป็นไทยของเรา



...อาจเพราะด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ และการปฏิบัติตามกฏภายในที่ไม่ส่งเสียงดังโวยวายจนเกินไปภายในพื้นที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวค่อนข้างเงียบสงบ...



...เรียกได้ว่ากลมกลืนลงตัวไปกับธรรมชาติ และมนต์ขลังของโบราณสถานแห่งนี้...



...แสงแดดยามเย็นเวลานี้คลายตัวลงไปเยอะมากจากตอนกลางวัน... ในตอนนี้ใช้เวลาไปกับการค่อย ๆ เดินบ้าง นั่งบ้างเฝ้ามองดวงตะวัน และรอเวลาที่จะมีแสงสวย ๆ ให้เผื่ออาจได้เห็นบ้าง...



...ที่เหลือก็รอลุ้นให้เกิดท้องฟ้างาม ๆ ปรากฏให้เห็นตรงหน้าสักหน่อย.. โดยมุมที่ผมเลือกจะเก็บภาพยามเย็นอยู่ที่บริเวณวัดมหาธาตุ มุมที่เห็นทั้งเสาเจดีย์ และองค์พระพุทธรูปเบื้องหน้า...



...ปิดท้ายที่ภาพ และแสงสุดท้ายของวัน... ก่อนจะขับรถกลับไปยังบ้านพักที่ขับหาไว้ในช่วงบ่าย ... อาบน้ำพักผ่อนจนตัวเย็นหายเหนื่อยก็ออกมาหาร้านข้าวนั่งกินซึ่งก็อยู่ใกล้กับตัวอุทยาน .. ..



...ก่อนจะหลับตาลงเพื่อตื่นเช้าวันใหม่กับจุดหมายปลายทางต่อไป “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย" ในวันรุ่งขึ้น...



...เริ่มต้นเช้าอีกวันจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมุ่งหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ใช้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ อ.สวรรคโลก ขับตรงไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางผ่าน อ.สวรรคโลก ดูจากป้ายบอกทางจะมีบอกเป็นระยะอย่างชัดเจน เบ็ดเสร็จเส้นทางโดยประมาณ 70 กิโลเมตร ... ระยะเวลาก็ประมาณ 1 ชั่วโมง...



...ในที่สุดก็ถึงอีกเมืองมรดกโลก.. ซึ่งที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยนี้เป็นเมืองบริวาร เช่นเดียวกับอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร .. (อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร ประกอบไปด้วยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย, ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร)



...เมื่อมาถึงก็เป็นไปตามทุกครั้งสำหรับตัวผมคือการเข้าไปยังศูนย์บริการเพื่อสอบถาม พูดคุย สอบถามถึงเรื่องราวรายละเอียดต่าง ๆ สักเล็กน้อยกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการ ...



...จากคำถามถึงความนิยมในการเดินทางมาเมืองศรีสัชนาลัยแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าคนส่วนใหญ่มักจะเลือกเดินทางไปที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมากกว่า .. ส่วนที่ตัวศรีสัชนาลัยจะมีนักท่องเที่ยวเยอะในช่วงวันเทศกาลสำคัญ... อันนี้สำหรับใครที่มีโอกาสเดินทางมาผมว่าก็น่าแวะเที่ยวไม่แพ้ที่สุโขทัยแม้แต่น้อย...



...นอกจากนี้ในส่วนของศูนย์บริการยังมีห้องจัดนิทรรศการที่สร้างรองรับไว้อย่างดี ทั้งการตกแต่ง ข้อมูล รายละเอียด เรื่องราว รวมไปถึงการจัดโซนห้องบนพื้นที่เล็ก ๆ ที่สำคัญติดแอร์เดินสบาย... แวะเข้ามาอ่านพอเป็นเกร็ดความรู้สักเล็กน้อยก็ออกเดินทางไปยังตัววัดต่อไป...



...เริ่มต้นกันที่โบราณสถานที่พบเห็นตั้งแต่จุดแรกคือ “วัดช้างล้อม" ...



...พื้นที่ของวัดช้างล้อมอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย .. มีจุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ประธานทรงลังกา มีกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบ มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งสิ้น 39 เชือก...



...ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยมีโบราณสถานที่สำคัญ และควรเที่ยวชมอยู่หลายแห่ง ซึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปก็มีเช่น วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดนางพญา วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง กลุ่มเตาเผาสังคโลก เตาทุเรียงบ้านป่ายางบ้านเกาะน้อย และแหล่งโบราณคดีวัดชมชื่น... นอกจากนี้ยังมีวัดอื่น จุดอื่นให้เที่ยวชมสำหรับใครที่สนใจ และมีเวลามากพอ...



...แต่สำหรับผมวันนี้ที่ได้มามีเวลาถึงแค่ประมาณช่วงบ่ายสอง เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับไปยังสนามบินพิษณุโลกเพื่อคืนรถตอนเย็น ทำให้มีเวลาไม่มากนัก ... ดังนั้นที่ได้เก็บภาพกลับมาจึงมีเพียงแค่ วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดนางพญา และ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง...



...ภายในโบราณสถานวันนี้เงียบสงบมาก นอกเหนือไปจากผม และสิ่งมีชีวิตอย่างพืช และต้นไม้ก็เห็นจะมีแต่ฝูงนกที่บินวนไปมาเหนือเจดีย์...



...เดินถ่ายรูปอยู่ราว 30 นาที ถึงได้พบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เช่าขับรถมาเที่ยวชม.. ค่อยใจชื้นหน่อย .. ไม่ได้กลัวอะไรแต่ดีใจว่าก็ยังมีคนมาเที่ยวอยู่เหมือนกัน... ^^



…จากวัดช้างล้อมมองมาย้อนมาฝั่งตรงข้ามบนพื้นที่ถนนเดียวกันก็เป็นที่ตั้งของ “วัดเจดีย์เจ็ดแถว" ที่ตั้งอยู่ขนานกับวัดช้างล้อม...



...ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวเป็นโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมอยู่ด้านหลังพระวิหาร และมีเจดีย์รายรวมทั้งอาคารขนาดเล็กแบบต่าง ๆ กัน 33 องค์ .. และล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง



(เพิ่มเติม : สำหรับคนที่อาจไม่เคยได้ยินสำหรับคำว่า “เจดีย์ราย" ก็คือ เจดีย์ที่มีขนาดเล็กสร้างเรียงรายอยู่รอบ ๆ บริเวณเจดีย์ประธาน โดยจะอยู่ถัดออกมาจากเจดีย์ประธาน หรือเรียกอีกชื่อว่าเจดีย์บริวารก็ได้เช่นกันครับ)



...ท้องฟ้าที่สดใสในวันนี้แตกต่างกันเหลือเกินกับความรู้สึกเมื่อตอนเช้ามืดตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นอนเพราะได้ยินเสียงสายฝนหล่นพรำมาตลอด .. แต่พอขับรถมาจนถึงแถว อ.สวรรคโลก ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ กลับกลายสดใสก่อนที่จะเข้ามาถึงที่ศรีสัชนาลัยและเป็นอย่างที่เห็น....



...เสียงนกร้อง เสียงแห่งความสงบบนพื้นที่ที่มีความสำคัญมาแต่อดีตกาล... ค่อย ๆ ถูกซึมซับเข้าตัวทีละน้อย... แม้ข้อมูลที่อ่านจากป้ายทางเข้าจะมีไม่เยอะ แต่ก็เพียงพอให้ได้รู้อะไรเพิ่มเติมจากที่ไม่เคยรู้เลย...



...ความร่มรื่นของธรรมชาติทั้งต้นไม้ ใบหญ้า เป็นตัวขับให้สถานที่นั้นมีความงดงามมากยิ่งขึ้น...



...ยิ่งในวันที่ท้องฟ้าดีดี แดดแรง ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว .. ร่มไม้นั้นนอกจากช่วยให้ร่มเงาแล้วยังช่วยให้ได้ภาพที่ประทับใจกลับมาได้ด้วยเช่นกัน...



...ความสุขที่ได้เห็นสถานที่แบบนี้ทำให้รู้สึก และนึกภาพถึงวันที่สถานที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ คงงดงามและอลังการยิ่งนัก...



...ใช้เวลาเดินไปเดินมาอยู่ภายในบริเวณวัดเจดีย์เจ็ดแถวอยู่ราว ๆ 20 นาที จากนั้นก็ขับรถออกไปยังวัดแห่งต่อไปได้แก่ “วัดนางพญา"...



... “วัดนางพญา" ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้กับกำแพงเมืองด้านทิศใต้ เป็นโบราณสถานที่สำคัญประกอบด้วยเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ...



...บรรยากาศโดยรอบที่วัดนางพญาค่อนข้างร่มรื่นเพราะพื้นที่ของตัวเจดีย์ไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ต้นไม้ปกคลุมได้ทั่วถึง.. พอให้เดินถ่ายภาพได้สบาย ๆ ...



...เก็บภาพในระดับระนาบอยู่นาน แหงนมองฟ้าอีกทีก็แก้เมื่อยได้บ้าง .. สิ่งที่เห็นก็เป็นสีฟ้าจากท้องฟ้าสดใส และสีเขียวจากต้นไม้...



...ความสุขในการเดินทางค่อย ๆ ถึงเวลานับถอยหลังลงทีละช้า ๆ เพราะเวลาก็เดินต่อไปทุก ๆ นาที... ก่อนจะขับรถไปยังสถานที่ต่อไป “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง"



...“วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง" สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของเมืองเชลียง หรือเมืองศรีสัชนาลัยเดิมในราวพุทธศตวรรษที่ 18 .. ซึ่งต่อมาในสมัยสุโขทัยวัดแห่งนี้ก็ยังคงเป็นศาสนสถานที่มีความสำคัญอย่างสูงดังเห็นได้จากการสรรค์สร้างงานศิลปกรรมชิ้นต่าง ๆ ภายในวัด...



...ตัวบริเวณวัดนั้นอยู่เป็นลักษณะพื้นที่ต่ำกว่าถนนรอบ ๆ มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีเจดีย์ประธานอยู่ตรงกลาง... ภาพของท้องฟ้า และเมฆก้อนใหญ่นั้นช่วยทำให้ภาพเกิดมีพลังขึ้นมาได้เสมอ...



...การเฝ้ารอจังหวะให้ได้ภาพอย่างที่ใจวาดไว้ขึ้นมาสักภาพ บางทีก็ต้องอดทนรอสักหน่อย... อย่าง 2 ภาพนี้ที่รอให้เหล่าบรรดานกโฉบบินผ่านไปมาอยู่ในเฟรมกล้อง...



...และแล้วก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับ อำลาจากเมืองสุโขทัยกันเสียที ...



...การเดินทางครั้งนี้ทิ้งไว้ที่ความประทับใจที่ได้มาเดิน มาชื่นชม เฝ้ามอง และรับรู้ถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ผ่านศาสนสถานอันยิ่งใหญ่... หากยังช่วยกันรักษา และหวงแหนเหมือนอย่างที่เคยผ่านมาส่วนตัวผมเองเชื่อเหลือเกินว่าโบราณสถานแห่งนี้ก็คงอยู่คู่กับประเทศของเราไปอีกนานเท่านาน...



...การเดินทางสู่โบราณสถาน และแหล่งโบราณคดีอย่าง “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองบริวาร" นั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว และยากเกินที่จะเข้าใจ... อยู่ที่เราจะแบ่งเวลาสละเวลาเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการรู้ขึ้นมาเพียงหนึ่งอย่างก็เท่ากับเราได้ประสบการณ์ความรู้ที่มากขึ้นแล้ว...



...การเดินทางไปชื่นชมความสวยงาม งดงาม เรียนรู้ ศึกษาและเข้าใจในแต่ละสถานที่คงมีความหมายมากขึ้น.. หากสิ่งที่ได้พบได้เห็นได้รับมานั้นสามารถนำมาแบ่งปันบอกต่อเผื่อใครที่ยังไม่รู้ หรืออาจกำลังอยากรู้ให้ได้เดินทางไปเพื่อกลับมาบอกต่อ และเดินทางไป...



..หากมีโอกาสอยากให้มาลองสัมผัสกันครับจะมายังไงก็ได้ครับ ขี่มอเตอร์ไซด์ ขับรถเก๋ง ปั่นจักรยาน แล้วแต่สะดวก แต่อยากให้มาเที่ยวอุทยานกันเยอะ ๆ ครับ... เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเวลาเห็นคนมาเที่ยวแล้วเค้าชื่นใจแน่นอนครับ ..



...การแบ่งปันเป็นสิ่งสวยงามที่ควรมี แต่การรักษาให้คงอยู่นั้นเป็นเสมือนของรักของหวงที่ต้องทำเพื่อคงไว้ถึงภาพในวันวาน และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเพื่อชนรุ่นหลังให้ยังได้เห็น ได้สัมผัส และนึกถึงภาพในอดีตโดยเรียนรู้จากภาพจริงในปัจจุบันเหมือนในครั้งนี้ที่ผมได้มาเยือน “เมืองมรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย"...



…เรื่อง : ภาพ / Forzanu



...ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมภาพกันนะครับ



...แล้วก็ขอให้ได้เดินทางไปที่นี่กันทุกคนเลย... ^^

Forzanu

 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.08 น.

ความคิดเห็น