ให้นึกถึงจังหวัดซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ชื่อแรกๆ ที่ผุดขึ้นในหัวผมต้องมีประจวบคีรีขันธ์รวมอยู่ด้วย ก็จังหวัดยาวเหยียดแห่งนี้มีทุกอย่างครบ หันหน้าออกอ่าวไทย ชายหาดทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตร หันหลังก็พิงป่า แนวเทือกเขากั้นพรมแดนไทย-พม่า รวมมีอุทยานแห่งชาติมากถึงสี่แห่ง

มาเที่ยวประจวบกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ไปแทบไม่เคยซ้ำที่ และเมื่อปลายฝนตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้กลับไปเยือนประจวบอีกครั้ง คราวนี้วาไรตี้สุดๆ เที่ยวทั้งชายหาด น้ำตก และปีนเขาในทริปเดียว ที่ตำบลห้วยยาง อำเภอทับสะแก กับสองอุทยานแห่งชาติ หาดวนกร และน้ำตกห้วยยาง

ความจริงทั้งหมดเริ่มต้นจากแค่เพื่อนสายลุยชวนไปเดินป่าเขาหลวง อช.น้ำตกห้วยยาง แค่นั้นแหละ แต่ด้วยพอดีมีเวลาว่างเหลือเฟือผมจึงขอขยายทริปของตัวเองให้สนุกสนานยิ่งขึ้น เที่ยวทั้งทีมันต้องให้คุ้ม ประมาณนั้นแหละนะ


หาดวนกร

ทริปนี้ผมเริ่มต้นด้วยการเดินทางจากที่พักโคราชคนเดียว นั่งรถทัวร์ถึงหมอชิตก่อนเช้า ต่อรถเมล์ไปสถานีรถไฟธนบุรี เพื่อขึ้นรถขบวน ธนบุรี-หลังสวน ตามตารางออกตอน 7.30 น. ซึ่งดันเผื่อเวลาเกินไปหน่อยเลยมาถึงก่อนฟ้าสว่าง แต่ไม่เป็นไรครับ เอาบัตรประชาชนไปรับตั๋วฟรีแล้วเตร็ดเตร่รอจนรถออก

รถไฟขบวนธรรมดา จอดเกือบทุกสถานี นั่งกินลมชมวิวกันไป ของกินต่างๆ ซื้อหาบนรถ ขาประจำสายนี้ต้องเคยลองบะหมี่หมูแดง รถวิ่งใกล้ถึงราชบุรีจะมีแม่ค้ามาเดินขายกันแล้ว ห่อละสิบบาท ถ้าจะกินให้อิ่มต้องสามสี่ห่อขึ้นไป รสชาติไม่ได้เลอเลิศ แต่พอบวกบรรยากาศก็อร่อยดีแฮะ

ผ่าน ราชบุรี เพชรบุรี ชะอำ หัวหิน สามร้อยยอด เอาล่ะพอถึงตัวเมืองประจวบเห็นป้ายยินดีต้อนรับสู่เมืองสามอ่าวบนเขาช่องกระจก ก็แสดงว่าใกล้ถึงจุดหมาย อีกประมาณครึ่งชั่วโมงนับจากจุดนี้

การมาเที่ยวหาดวนกร เราเลือกลงได้สองสถานีคือวังด้วน อำเภอเมือง (ก่อนถึงอุทยานฯ) หรือห้วยยาง (เลยจากอุทยานฯ) อำเภอทับสะแก ซึ่งลงที่ห้วยยางจะสะดวกกว่า เพราะเป็นชุมชนใหญ่สามารถต่อรถเข้าไปอุทยานฯ ง่าย แต่หากลงวังด้วนจะหารถยาก อาจต้องเดินหลายกิโลเมตร

ลงรถไฟที่ห้วยยาง 14.45 น. มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาดักรอทันที บอกเขาได้เลยครับว่าไปหาดวนกร ราคาตอนนี้ 70 บาท เทียบกับระยะทาง 6 กิโลเมตร ถือว่าไม่แพงไม่ถูก

พี่วินจะมาส่งเราถึงหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (อย่าลืมขอเบอร์โทรไว้เผื่อใช้บริการขากลับด้วยนะ) ผมเคยมาที่นี่ครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อสักสิบห้าปีก่อน สภาพตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งบ้านพัก ลานกางเต็นท์ ร้านอาหารสวัสดิการขายเช้าถึงเย็น ปิดวันพุธวันเดียว โดยรวมบรรยากาศดี เงียบสงบ น่าพักผ่อน

ติดต่อค้างแรม จ่ายค่าธรรมเนียม 30 บาท หากใครไม่มีอุปกรณ์สามารถเช่าได้ครับ ทั้งเต็นท์ เครื่องนอนต่างๆ รวมถึงเตากับถ่านสำหรับทำอาหาร ส่วนครั้งนี้ผมนอนเปลก็หาทำเลผูกกับต้นสนเรียงรายตามสบาย

หาดวนกรสงบเงียบจริงๆ ส่วนหนึ่งคงเพราะช่วงเดือนตุลาคมไม่ใช่หน้าไฮของทะเลประจวบ และสภาพอากาศตอนนั้นพายุเข้าพอดี ผมเดินเล่นสำรวจตามแนวชายหาดไปเรื่อย บ้านพักอุทยานฯ มีสองโซน ทั้งหาดทิศเหนือ และหาดทิศใต้ บรรยากาศดีทั้งคู่

อุทยานฯ มีกิจกรรมดำน้ำพาไป เกาะท้ายทรีย์ กับเกาะจาน เห็นเด่นกลางทะเลอยู่หน้าชายหาด แต่การไปเที่ยวต้องเหมาเรือ ราคาหลายพันอยู่ รายละเอียดกับราคาผมจำได้ไม่ชัดต้องขออภัย สอบถามกับทางอุทยานฯ โดยตรงดูครับ 0-3261-9030

คืนนั้นบรรยากาศสบายๆ นอกจากผมมีเต็นท์อีกสามหลังมานอนเป็นเพื่อน ที่พักบ้านก็มีหลายหลัง ช่วงกลางคืนฝนตกเป็นระยะ นอนขดในเปลฟังเสียงฝนกระทบฟลายชีตเพราะดีไม่หยอก เป็นอะไรที่เพอร์เฟคมาก

ตื่นเช้ามาฟ้าหม่นหมองตามระเบียบ แต่ไม่เป็นปัญหาอะไร กินข้าวเช้าเสร็จก็ใช้เวลาเดินเล่นไปเรื่อย ไม่ได้ถ่ายภาพสักเท่าไหร่เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ เขามีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเลาะไปตามชายหาดเพื่อชมวิวจุดต่างๆ ด้วยครับ คิดว่ารอโอกาสหน้าค่อยมาใหม่ทีเดียวดีกว่า


น้ำตกห้วยยาง

หลังข้าวเที่ยง ผมโทรเรียกมอเตอร์ไซค์วินให้มารับที่หาดวนกร แล้วไปส่งที่ อช.น้ำตกห้วยยาง ซอยเข้าอุทยานฯ อยู่ตรงข้ามกับซอยสถานีรถไฟห้วยยาง แต่จากปากถนนเพชรเกษมไปถึงข้างในก็อีกตั้ง 6 กิโลเมตร ดังนั้นรวมจากหาดถึงน้ำตกปาเข้าไป 16 กิโลเมตร ลุงวินคิดราคา 120 บาท ถือว่าถูกมากครับ เพราะนี่ยังไม่คิดรวมว่าเขาต้องขี่จากตลาดห้วยยางมารับผมที่หาดด้วยนะ

ถึง อช.น้ำตกห้วยยาง ผมสอบถามเรื่องที่พักและการขึ้นเขาพรุ่งนี้ก่อนเลย คืนนี้เพื่อนอีกกลุ่มใหญ่จะตามมาสมทบ ที่นี่มีลานกางเต็นท์ ห้องน้ำ ร้านอาหารสวัสดิการดีมากๆ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถนอนภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพราะช่วงนี้ฝนตกชุกไม่อยากให้เปียกไปเปล่าๆ

ด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีเส้นทางขึ้นไปชมวิวผาชมทะเล ระยะทางแค่ 400 เมตร วิวใช้ได้ เห็นชัดว่าทับสะแกเป็นอำเภอแห่งสวนมะพร้าวจริงๆ ทอดสายตาไปไกลจะเห็นแนวชายหาดวนกร เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์ นี่ถ้าฟ้าเปิดล่ะคงสวยน่าดู

จากนั้นค่อยไปเดินเที่ยวน้ำตกห้วยยาง ในหลวงเคยเสด็จประพาส พร้อมสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เมื่อราวห้าสิบปีก่อน ทางอุทยานฯ มีภาพประวัติศาสตร์ครั้งนั้นให้ชมกันด้วย

จากจุดเริ่มต้น เดินไปน้ำตกชั้นแรก 400 เมตร ทางเดินสบาย ถัดไปชั้นสอง สาม สี่ ห้า อยู่ไม่ห่างกันมาก เราเดินเที่ยวได้ถึงชั้นห้าครับ หลังจากนั้นเป็นหน้าผาสูงไม่สามารถขึ้นได้

เจ้าหน้าที่บอกว่าปีนี้น้ำน้อยจนน่าใจหาย ประจวบประสบภัยแล้งมาต่อเนื่อง ฝนตกไม่มาก เพิ่งจะมีตกลงมาบ้างช่วงที่ผมไปเที่ยวนั่นเองเลยทำพอมีน้ำอยู่บ้างให้นักท่องเที่ยวเล่นได้นิดหน่อย

คืนนั้นพอเย็นย่ำ คนมาเที่ยวกลับกันหมด ผมค่อยย้ายสำมะโนครัวไปนอนในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นอนคนเดียวแต่ไม่เหงาเพราะมีตุ๊กแกซึ่งน่าจะตัวเขื่องอยู่ส่งเสียงคุยเป็นเพื่อนให้หลับๆ ตื่นๆ อยู่นั่นแหละ (ฮา...)


เขาหลวง

หลังจากเที่ยวสบายมาสองวัน วันแห่งความเหนื่อยมาถึง เพื่อนร่วมทริปทยอยเดินทางมาสมทบจนครบสิบหกชีวิต พอฟ้าสว่างก็ช่วยกันทำข้าวเช้ากิน พร้อมเตรียมข้าวของสำหรับขึ้นเขาในวันนี้ และหากใครจะติดต่อข้าวกล่องขึ้นไปก็คุยกับร้านค้าสวัสดิการได้เลย

เก้าโมงครึ่งเริ่มออกเดิน ถ่ายภาพหมู่ที่ยังดูดีกันอยู่เป็นที่ระลึกสักหน่อย พวกเราสิบหกคน กับเจ้าหน้าที่นำทางสามคน ไม่มีลูกหาบครับ แบกกันเองตามสไตล์

เส้นทางขึ้นเขาหลวงระยะทางราว 7 กิโลเมตร เริ่มต้นเดินไปตามเส้นทางน้ำตกห้วยยาง ก่อนถึงชั้นห้าจะมีทางแยกเลี้ยวขวาขึ้นเขา ตลอดเส้นทางบอกได้เลยว่าชันและโหดสุดยอด ขึ้นกับขึ้นอย่างเดียว เพราะแม้ยอดเขาจะสูงแค่ 1,250 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล แต่เราเริ่มต้นจากความสูงที่เตี้ยต่ำมากๆ

ทั้งน้ำหนักและความชันทำให้ทริปนี้เราทำเวลากันช้ามาก แต่ละคนหายใจหอบแทบไม่อยากพูดคุยกัน ข้างทางไม่มีวิวให้ชม หันไปทางไหนก็ล้วนมีแต่ป่าและป่า

สิบเอ็ดโมงกว่าๆ มาถึงริมน้ำจุดพักใหญ่ครั้งแรก ถือว่าช้ากว่าที่ควร แต่หลังจากนี้เราจะเริ่มเดินเร็วขึ้นแล้วเพราะ... ฝนตก เจ้าหน้าที่เอ่ยบอกว่า "คืนนี้นอนในดงทากแน่ๆ"

ไม่เพียงแค่เม็ดฝนเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเดินเร็วขึ้น อีกเหตุผลสำคัญคือทากดูดเลือดตัวร้ายนั่นไง เรามาสูงขึ้น ป่าทึบขึ้น ชื้นขึ้น ทากเยอะขึ้น หยุดพักตรงไหนสักประเดี๋ยวเป็นได้โดนเกาะ ต้องบริจาคเลือดกันระนาวรวมถึงผมด้วย


นานเนิ่นนาน เดินแล้วก็เดิน ชันแล้วก็ชัน จนในที่สุดสี่โมงนิดๆ เราถึงเพิ่งได้เห็นวิวครั้งแรกนับตั้งแต่ออกเดิน ถอนหายใจอย่างแรง ค่อยรู้สึกชื่นใจหน่อย นั่งพักเหนื่อยชมวิวไปก็ดีดทากที่ไต่ขึ้นตามแขนตามขาไป รอเพื่อนๆ กลุ่มหลังกันที่นี่อยู่นานพอสมควร

ตรงจุดนี้คือผาหนึ่ง เหลืออีกเฮือกเดียวก็จะถึงลานกางเต็นท์ซึ่งเรียกว่าผาสอง ระหว่างทางจะผ่านธารน้ำ ก็กรอกใส่ขวดนำไปใช้ในการแคมปิ้งคนละสองขวดสามขวดช่วยถือกันไป

ห้าโมงครึ่งถึงลานกางเต็นท์ ต่างคนต่างแยกย้ายเตรียมที่นอน มีทั้งเต็นท์ เปล ปลาทู (ปูผ้าใบรองพื้น กลางฟลายชีตกันฝนง่ายๆ) ปัญหาใหญ่คือทาก อย่างที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเราต้องนอนกันในดงทาก และปัญหาให้กังวลยิ่งกว่าคืองู

งูตัวเป็นๆ ทริปนี้เราเจอทั้งหมดสี่ครั้ง หนึ่งครั้งตกจากต้นไม้ลงมาใส่เต็นท์เพื่อนร่วมทริป เป็นงูมีพิษเสียด้วย เจ้าหน้าที่ต้องรีบเข้ามาจัดการ เล่นเอาเราต่างคนต่างระแวงอยู่กันไม่ค่อยเป็นสุขสักเท่าไหร่

เสร็จสรรพแล้วมาช่วยกันต้มยำทำกับข้าว เพราะมีเชฟมือดีมาด้วยจึงแทบไม่อยากเชื่อว่าเราจะได้มากินราดหน้าอร่อยๆ กลางป่า พออิ่มหนำก็แยกย้ายพักผ่อนเข้านอนตัวใครตัวมัน เป็นทริปเงียบกริบที่สุดตั้งแต่ร่วมเที่ยวกันมา แต่ละคนอ่อนระโหย และไม่มีใครอยากอยู่เผชิญหน้ากับฝูงทากที่ตามหลอกหลอนดูดเลือดไม่หยุด

รอเช้าวันใหม่นั่นแหละครับ ถึงค่อยกระปรี้กระเปร่าพากันไปชมวิวริมหน้าผา ตรงลานกางเต็นท์นี้มีจุดชมวิวสองฝั่งครับ เดินออกไปได้ทั้งคู่ สภาพอากาศอาจทำให้ภาพไม่สวยงามนัก ท้องทะเลอ่าวไทยกลืนไปกับฟ้าขาวๆ มองไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นขอบฟ้า แนวชายหาดวนกร เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์ มองเห็นแค่เลือนลาง แต่สำหรับผมก็ถือว่าเป็นความสุขมากเพียงพอ

ฝั่งนี้มองเห็นสายหมอกไหลมาตามร่องเขา และมองเห็นผาสามกับสี่ถัดไปซึ่งต้องเดินอ้อมสันเขาไปอีก

เฮฮาถ่ายรูปกันให้เพลิน เอ้อละเหยไปเรื่อย เสร็จแล้วมาทำกับข้าวกินมื้อเช้าเป็นสปาเก็ตตี้กลางป่า หรูกว่ากินอยู่บ้างอีกแฮะ เสร็จแล้วเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินลง

ความจริงการเดินป่าเขาหลวงประจวบควรมีเวลาสองคืนถึงจะเหมาะ เพราะกลุ่มของเราทำเวลาไม่ดีนักทำให้เดินไปไม่ถึงยอดสูงสุด และยังพลาดชมวิวสวยๆ ที่ผาสามกับสี่ รวมถึงวิวป่าฝั่งพม่าด้วย ดังนั้นแนะนำว่าควรให้เวลามากกว่าหนึ่งคืน

ขาลงเร็วกว่าขาขึ้น ถึงจุดพักริมธารน้ำฝนตกกระหน่ำอีกรอบ แต่เรายังไม่วายช่วยกันสลับถือผ้าใบคนละมุมบังฝนให้พ่อครัวอาหารกลางวัน ช่วยกันถือ แบ่งปันกันกิน เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน

กว่าจะถึงด้านล่างก็บ่ายแก่ๆ แบบเละเทะเปียกปอนไม่เหลือสภาพ ทยอยกันอาบน้ำอาบท่าพักเหนื่อยจนถึงเกือบเย็นย่ำ ผมเองอาศัยติดรถเพื่อนกลับเข้ากรุงเทพ ก่อนเดินทางสู่โคราชต่อไป (นาทีนั้นเรื่องกลับรถไฟไม่มีอยู่ในหัวสักนิด... ฮา)

หนึ่งชายหาด หนึ่งน้ำตก หนึ่งภูเขา ที่ห้วยยาง อำเภอทับสะแก ทริปนี้อาจไม่สมบูรณ์ที่สุดเรื่องความสวย อาจไม่สมบูรณ์ที่สุดเรื่องการพิชิตยอดเขา แต่เป็นหนึ่งในทริป (โหด) ซึ่งผมประทับใจมากครับ มีรสชาติการเดินทางอร่อยเด็ดในตัวเอง อีกทั้งต้องกาตัวแดงไว้เลยว่า อีกสักครั้งในชีวิต ผมจะต้องมาซ่อมที่นี่แบบครบถ้วนและสวยสุดใจให้ได้...


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller


นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.11 น.

ความคิดเห็น