ความเดิมจากตอนที่แล้ว ใครยังไม่ได้อ่านลองไปดูเส้นทางที่พวกเราทะลุมิติกันมาได้ค่ะ

https://th.readme.me/p/6933

สำหรับเช้านี้ที่ Gex เราเริ่มต้นด้วยความสดใสหลังจากฟ้าฝนหม่นหมองมาหลายวัน วันนี้คงเป็นวันของพวกเราบ้างละ

เป้าหมายวันนี้อยู่ที่เมืองสวยหวานอย่าง Annecy อ่านว่า "อันซี" ค่ะ เมื่อจัดการกับทุกสิ่งเรียบร้อย ออกเดินทางกันเลยค่ะ

ในนี้มีอะไร?

คุณปาเริ่มปฏิบัติภารกิจแล้วค่ะ

พี่ออเข้าประจำตำแหน่ง

เชื้อเพลิงก็เตรียมให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกล

ห้างนี้กลายเป็นตำนานในบ้านเราไปแล้ว

บนเส้นทางสู่ Annecy เต็มไปด้วยท้องทุ่งเขียวๆ พวกเราค่อนข้างมีความสุขกับการเดินทางมาก

เพราะเผชิญกับฝนพรำมาสองวันติด ได้เห็นแสงแดด ฟ้าใสๆ บ้างค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

ในการเดินทางครั้งนี้พวกเราตั้ง GPS ไว้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเมืองนี้อยู่ติดกับสวิสเซอร์แลนด์

โดยมีทะเลสาบเจนีวาเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นเอาไว้ หากให้ GPS เลือกเส้นทางที่ประหยัดเวลาให้

จะพาเราเดินทางผ่านเข้าไปทางสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนั่นจะนำพาปัญหามาให้พวกเราอย่างแน่นอน

เป็นเพราะพวกเราไม่มีสติ๊กเกอร์ติดหน้ารถสำหรับการผ่านแดนเข้าไปในสวิสเซอร์แลนด์

ถ้าเข้าไปละก็ มีหวังได้เสียค่าปรับเป็นแน่ ดังนั้น เส้นทางที่พวกเราใช้จึงค่อนข้างวิ่งอ้อม

เข้าหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อยไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงจุดหมาย


เข้าสู่เขต Annecy แล้ว

Annecy เป็นเมืองที่คนหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสมักใช้เป็นเมืองฮันนีมูนกัน แถมเมืองนี้ยังแวดล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์

เป็นเมืองเอกของเขตซาวัวตอนบน (Haute Savoie) ได้รับเกียรติให้มีฉายาว่า ห้องรับแขกของ Rhone-Alps

ในแถบเทือกเขาสูงของ French Alps เพราะมีเขตแดนติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี

นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่ต้องการเดินทางผ่านเส้นทางนี้จะต้องผ่าน Annecy ด้วยกันทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในฤดูท่องเที่ยวที่เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง

(ราวปลายเดือนมีนาคมจนถึงเดือนตุลาคม) เมืองเล็กๆ ในหุบเขาแห่งนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว

ทั้งชาวยุโรปด้วยกันเองและจากทวีปอื่น

เมื่อมาถึงหนูเล็กไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรที่นี่จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะหนุ่มสาว

เพราะสภาพของเมืองนั่นน่ารักมุ้งมิ้งสวยหวานนุ่มบอกไม่ถูก แค่ยืนมองทะเลสาบ Annecy นิ่งๆ ก็มีความสุขแล้ว

พวกเราเดินไปยังสวนสาธารณะริมทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่กว้างขวาง นักท่องเที่ยวหลายคนพากันนั่งรับแสงแดดอุ่นๆ ริมน้ำ

บ้างก็เดินเลาะเลียบริมน้ำชมวิว บ้างก็วิ่งออกกำลัง หรือหากอยากอิ่มเอมกับบรรยากาศให้มากไปกว่านั้น

เขามีเรือไว้บริการหากอยากออกไปกลางน้ำ ข้างทางมีสวนดอกไม้สวยๆ ที่ช่วยให้บรรยากาศสดชื่นมากขึ้นไปอีก

เมื่อมาถึงที่นี่พวกเราต้องพากันไปชมจุดเด่นของเมืองที่เมื่อมาแล้วพลาดไม่ได้อย่าง Palais de L'Isle

ซึ่งนอกจากมีรูปทรงเหมือนป้อมโบราณแล้ว ยังตั้งอยู่กลางลำคลอง Le Thiou ที่มีน้ำไหลผ่านทั้งสองด้าน

โดยเราสามารถไปยืนที่สะพาน Pont de la Halle เพื่อชมได้เต็มๆ ตา เดิมทีอาคารนี้เป็นของตระกูลเดล ลิส์ล

สร้างในศตวรรษที่ 12 แต่อีก 200 ปีต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นศาลและคุก จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นโรงกษาปณ์

ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการของรัฐในศตวรรษที่ 15 แล้วกลับมาเป็นคุกใหม่อีกครั้งในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส จนถึงปี ค.ศ. 1986

ทางการฝรั่งเศสได้เข้าบูรณะครั้งใหญ่แล้วใช้เป็นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองและเขตซาวัว

ด้วยความโดดเด่นในประวัติศาสตร์และรูปทรงทางสถาปัตยกรรมทำให้ Palais de L'Isle

กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Annecy ไปในที่สุด เรียกว่าถ้าใครมาที่นี่ต้องมีรูปนี้กลับไป ไม่มีก็แสดงว่ามาไม่ถึง

หลังจากเก็บภาพบริเวณนี้เรียบร้อย ก็พากันเดินลัดเลาะเที่ยวเมืองกันไป ผังเมืองได้รับการออกแบบไว้อย่างดี

ถนนหนทางอยู่ใต้ร่มเงาความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ เขตเมืองเก่าอนุรักษ์อาคารโบราณตั้งแต่สมัยยุคกลางอยู่ในสภาพสมบูรณ์

บ้านเรือนสะอาดสะอ้าน ตกแต่งไม้ดอกไม้ประดับไว้นิดๆ หน่อยๆ พองามเหมือนเมืองตุ๊กตา

เช่นนี้เองจึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาต่างประทับใจและหลั่งไหลมากันไม่ได้ว่างเว้น

พวกเราเดินเที่ยวเล่นกันจนใกล้เที่ยง ได้เวลาเมียงมองหาร้านรวงเพื่อฝากท้องสักมื้อแล้ว

เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเราที่บางครั้งก็หาโอกาสลิ้มลองร้านอาหารท้องถิ่นเพื่อเป็นประสบการณ์ในการเดินทาง

ลองมาติดตามดูว่า มื้อกลางวันที่ Annecy เมืองแสนโรแมนติกแบบนี้พวกเราจะไปฝากท้องกันที่ร้านไหนกันดี

พวกเรากำลังหาที่ฝากท้องค่ะ

สำหรับอาหารกลางวันวันนี้ พี่ใหญ่หัวหน้าทัวร์พาลูกทัวร์ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นของฝรั่งเศส

แบบที่เขาเรียกว่าสไตล์ปาริเซียงที่ร้าน Le Bastringue ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับการแนะนำจากเว็บไซต์ยอดนิยมของนักเดินทาง

อย่าง Tripadvisor โหวตให้เป็นร้านที่มีบรรยากาศน่านั่ง อาหารอร่อย บริการดี น่าประทับใจ และที่พลาดไม่ได้

ก็ต้องเมนูแนะนำที่ว่ากันว่าถ้ามาฝรั่งเศสแล้วไม่รับประทานสักครั้ง จะถือว่ามาไม่ถึง นั่นคือ

หอยทากอบเนยกระเทียม (Escagot) ส่วนเมนูอื่นๆ ก็เลือกผสมผสานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของลูกทัวร์ของเรา

ปกติหนูเล็กไม่ใช่คนนิยมทานอาหารเมนูประหลาดๆ แต่เพื่อการเรียนรู้และประสบการณ์ "หอยทาก" สักครั้ง

เป็นไงเป็นกัน ขนาดครีมทาหน้าจากเมือกหอยทากที่สาวๆ นิยมกันยังว่าดีนักดีหนา

ระดับเรารับประทานกันทั้งตัวน่าจะยิ่งเป็นเลิศ (มันใช่รึเปล่า?)

บรรยากาศโดยทั่วไปของร้านค่อนข้างคึกคัก พนักงานบริการดีตามที่อ่านมา

คอยสอบถามความต้องการ ดูแลเก็บจานที่เหลือใช้ คอยเติมขนมปังให้แต่ละโต๊ะไม่ให้ขาด

อาหารของแต่ละโต๊ะที่สั่งได้กันรวดเร็ว ส่วนรสชาตินั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเอร็ดอร่อยไปตามๆ กัน

แม้ว่าปัญหาใหญ่จะอยู่ที่คุณพี่ออซึ่งไม่นิยมการรับประทานผัก แต่หัวหน้าทัวร์บังคับให้ทาน

เพราะทัวร์นี้ไม่ได้เอาแต่เที่ยวจนละเลยเรื่องสุขภาพ การจะเที่ยวได้สนุกนั่นหมายถึง

เราต้องดูแลสุขภาพของเราให้สมบูรณ์ด้วยจึงจะมีเรี่ยวแรง และยิ่งมากับทัวร์ของพี่ใหญ่และหนูเล็กด้วยแล้ว

ร่างกายต้องมีความพร้อมพอสมควร วันๆ นึงเราพาลูกทัวร์เดินกันหลายสิบกิโลเมตร

หรือถ้าจะนับก็เกือบหมื่นก้าวเลยทีเดียว ที่รับประทานกันไปก็เพื่อเอาไปเผาผลาญทั้งสิ้น

เมื่ออิ่มหมีพีมันกันเป็นที่เรียบร้อย หนูเล็กจะพาพวกเราไปเดินย่อยอาหารกันต่ออีกเล็กน้อย

ที่สวนสาธารณะ Les Jardins d'Europe ใกล้ๆ ทะเลสาบ Annecy ก็ใกล้ๆ ที่เราเดินเล่นเมื่อเช้า แต่เป็นอีกด้านหนึ่ง

เพื่อเป็นการอำลาเมืองแสนหวานโรแมนติกแห่งนี้ อยู่นานไปก็คงไม่ไหวเพราะมองทางใดดูขัดหูขัดตาคนโสดเสียเหลือเกิน

อีกทั้งภาคบ่ายเรามีโปรแกรมการเดินทางสู่ที่พักของคืนนี้ที่ดูเหมือนว่า

อาจต้องขับผจญภัยวกวนไต่ระดับความสูงขึ้นๆ ลงๆ เขาอีกเป็นแน่ ดังนั้น คงจะออกเดินทางช้ามากไม่ได้

ไม่เช่นนั้นเราจะถึงที่หมายช้าเกินไป และจะทำให้พี่ออ คุณ พขร. ของเราต้องขับรถด้วยความเครียด

ไหนๆ มาเมืองโรแมนติกขนาดนี้แล้ว ขอทำร้ายจิตใจตัวเองให้สุดๆ ไปเลยด้วยการเดินไปยัง Pont d'Amour

ซึ่งก็คือ สะพานคู่รัก กันเสียหน่อย ตลอดทางเดินในสวน เขาจะปลูกดอกไม้เป็นสวนหย่อมไว้เป็นจุดๆ

เพิ่มความหวานในหัวใจให้กับคู่รักที่นิยมมาเพิ่มเติมความหวานกันที่นี่

ยิ่งเดินไปยิ่งสงสัยว่าแล้วสาวโสดอย่างหนูเล็กหรือพวกทิ้งคู่เคียงเรียงหมอนมาเที่ยว

จะมาเดินให้ชอกช้ำระกำใจกันไปเพื่ออันใด น่าแปลกใจจริง

เมื่อไปยื่นบนสะพานจะสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ทั้งสองมุม

คือเมื่อมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นวิวทะเลสาบที่แผ่นน้ำเป็นสีเขียวสดโดยมีภูเขาเป็นฉากหลัง

มีเรือสีขาวๆ ลอยล่องอยู่เต็มริมฝั่งให้กับนักท่องเที่ยวได้เช่าออกไปล่องเล่นกลางทะเลสาบ

ในขณะเดียวกันเมื่อมองย้อนกลับมาอีกทางหนึ่งก็จะเห็นภาพตรงหน้าเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่มีเรือจองเรียงรายประกอบฉากอยู่

หนูเล็กได้แต่ยืนมองและทอดถอนใจ หาเรื่องเดินทางมาทำร้ายหัวใจให้สะออนแท้ๆ เชียว

สะพานแห่งนี้เขามีความเชื่อกันด้วยว่า หากคู่รักคู่ใดมาจุมพิตกันที่บนสะพานแห่งนี้ จะรักกันมากและรักกันตลอดไป เฮ้ออ...

ยืนนานไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด เดินเลาะเลียบทางเดินริมทะเลสาบต่อไปดีกว่า

ความงามของทะเลสาบแห่งนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองมาก เคยมีคำกล่าวขนาดว่า

น้ำในทะเลสาบของเขานั้นใสสะอาดขนาดกวักขึ้นมาดื่มได้เลยทีเดียว จะว่าไปคำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย

เพราะใสราวกระจก น้ำใสกว่าฟ้าเสียอีก ภาพที่หนูเล็กเก็บมาฝากขอบอกเลยว่างดงามไม่ถึงครึ่งกับที่ตาเห็น

อย่างที่หนูเล็กบอกค่ะว่า แค่ได้ยืนนิ่งๆ และมองออกไปก็มีความสุขแล้ว มันเป็นความสุขแบบที่ยากจะบรรยาย

ภาพถ่ายที่เห็นยังงดงามไม่เท่ากับความทรงจำและภาพที่ติดตาจนทุกวันนี้

และแล้วก็หมดเวลาแห่งความโมแรนติกในหัวใจ ชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้วให้เดินบนเส้นทางแห่งการผจญภัยไร้คู่

ดังนั้น จงมุ่งมั่นเดินต่อไปอย่าได้หวั่นไหว ยังมี "เขา" ให้ "เรา" ไปตกหลุมรักได้อีก ได้อีก

ดังนั้น อย่าได้รอช้ากันเลยว่าแล้วพี่ใหญ่ก็บัญชาการให้พี่ออสตาร์ทรถ

ออกเดินทางจาก Annecy ให้หนูเล็กตั้ง GPS ไว้ที่ Chamonix

เพราะอะไรต้องเป็น Chamonix เมืองนี้ ไปถึงแล้ว...มีคำตอบค่ะ


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันพฤหัสที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.32 น.

ความคิดเห็น