วันที่ 12 มกราคม 2568
และแล้วในที่สุด ผมก็เดินทางมายังสถานที่หนึ่ง ที่เมื่อหลายปีก่อนนั้น ผมได้เห็นภาพถ่ายจากโลกอินเตอร์เน็ต และผมนั้น ก็รู้สึกได้ทันทีว่า อยากจะมาเห็นเจ้าก้อนหินขนาดยักษ์ รูปทรงแปลกตา ที่วางเรียงกันสวยงามแบบไม่น่าเชื่อ
ใช่แล้วครับ ที่แห่งนี้ก็คือ "หินสามวาฬ"
โดยจริงๆแล้ว ผมก็เดินทางมาถึงจุดขึ้นรถ และสามารถเดินทางได้ทันในวันเดียวกับที่ผมไปเดิน "ถ้ำนาคา" และ "ถ้ำนาคี" แต่เนื่องจากว่าในตอนนั้น ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว และที่สำคัญ จริงๆแล้วสถานที่แห่งนี้นั้น เป็นสถานที่ ที่ควรจะเข้าเยี่ยมชมในเวลาเช้า ที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นนั่นเอง
ผมก็เลยหาสถานที่พักแรมที่อยู่ใกล้กับจุดขึ้นครับ
ผมพักที่นี่ครับ ราคาคืนละ 400 บาท และอยู่ห่างจากจุดขึ้นรถแค่เพียง 200 เมตรเท่านั้น
และพอถึงเวลาเช้าตรู่ ผมก็สามารถเดินทางไปที่จุดขึ้นได้ทันที โดยที่ยังไม่ต้อง Check Out ออกจากห้องพัก (เพราะโปรแกรมการเที่ยวบนหินสามวาฬนั้น จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น)
จุดลงทะเบียนขึ้นรถครับ โดยนักท่องเที่ยวที่มากันแค่ 1-2 คนนั้น ก็สามารถมารอร่วมกลุ่มกับกลุ่มอื่นได้ครับ
ค่าใช้จ่ายในการเหมารถนั้นคันละ 500 บาทครับ
ที่นี่ก็มีตราประทับน๊ะครับ
แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติ ดังนั้นตราประทับก็จะอยู่ในหน้าหลังสุด ที่เป็นบันทึกความทรงจำครับ
ถึงแล้วครับ ตื่นเต้นๆ ^^
ข้อควรรู้: จริงๆแล้วที่ท่องเที่ยวแห่งนี้นั้น สามารถขึ้นมาได้ตั้งแต่ตี 5 ครับ แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องมาตั้งแต่เช้าขนาดนั้นหรอกครับ อย่างเช่นในวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นในเวลาประมาณ 6:40 น. และรถกระบะที่เหมามานั้น จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการขับขึ้นมา
ดังนั้น ผมคิดว่าคำนวณเวลาให้มาถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้น 10 - 20 นาทีก็พอครับ (มานั่งรอมืดๆ มันหนาวครับ)
และก็ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถขึ้นไปเดินได้แค่ หินของ วาฬพ่อ และ วาฬแม่ ได้เท่านั้นครับ
ส่วนวาฬลูก ที่เป็นหินที่เล็กที่สุดนั้น เค้าไม่ได้ทำทางขึ้นไว้ครับ
นั่นงัยๆ ได้มาเหยียบแล้วๆๆๆ
ผมที่ชื่นชอบในการถ่ายรูปแบบ "ชิลูเอท" มากนั้น ก็รีบวิ่งวนไปวนมาระหว่างหินทั้ง 2 ก้อน เพื่อเก็บรูปในมุมที่แสงสวยๆเลยครับ
อากาศหนาว แถมลมยังแรงอีกครับ
พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ
ขอย้ำว่า ลมแรงมากๆครับ
และแน่นอนว่า สำหรับการมาท่องเที่ยวที่นี่ และการที่จะได้รูปแบบสวยมากๆนั้น ก็ต้องเป็นการถ่ายภาพจากโดรนครับ
และโดยจริงๆแล้ว คนขับรถที่เราเหมารถขึ้นมานั่นเหลอะ เค้าก้รับจ้างถ่ายภาพจากโดรนอยู่แล้วครับ สามารถติดต่อได้ตั้งแต่จุดขึ้นรถเลยครับ
"บรื้นๆ"
"สตาร์ท...โต่ะ"
"อิกเขร้ๆๆๆ"
"ไปเล้ยๆๆๆ เจ้าโดรนๆๆๆ"
"วู้ๆๆๆ"
ที่เห็นเป็นน้ำๆ ตรงนั้นคือแม่น้ำโขงครับ
สิ่งที่ควรรู้: ขอย้ำน๊ะครับว่า ที่นี่ ลมแรงมากจริงๆ ดังนั้นทุกท่านที่มาเที่ยวนั้น ผมแนะนำว่า ควรที่จะเตรียมเสื้อกันหนาว หรือกันลม ที่ใส่แล้วกระชับกับร่างกาย เพื่อลดแรงปะทะกับลมที่แรงมากๆ เพราะว่าอย่าลืมว่า จุดชมวิวตรงนั้น มันคือหน้าผาที่สูงชันมากๆครับ
ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าห่ม มาห่มตัวน๊ะครับ เพราะว่าจะเกิดพลาดพลั้งขยับผิดนิดเดียว เด๋วลมมันจะพัดผ้าห่มให้กระพือไปกับลม แล้วเราจะเป็นอันตรายได้ครับ
สิ่งที่ควรรู้: ช่อวลม ในความเป็นจริงแล้ว ที่บริเวณจุดชมวิวของที่นี่นั้น มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าช่องลมอยู่ครับ โดยภาพที่เราเห็นเหมือนว่า จะเป็นจุดอันตรายนั้น ที่คนไปยืนอยู่ที่ปลายของหินนั้น ตรงนั้น ไม่ใช่ช่องลมที่แรงมากเท่าไหร่นัก (แต่เอาจริงๆ มันก็แรงอยู่ และก็อันตรายจริงๆนั่นเหลอะ) แต่ที่จะบอกก็คือ ตรงบริเวณตรงกลางของจุดชมวิว มันเป็นจุดที่ลมแรงกว่า ตรงปลายหินอย่างมากครับ
ดังนั้น ถึงแม้ว่า คุณจะไม่ได้ยืนอยู่ในจุดปลายสุดของหิน ก็ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาน๊ะครับ
เปลี่ยนระยะเลนส์มั่ง (ตอนนี้ผมก็ได้เปลี่ยนเลนส์จาก 70-200 มาเป็น 16-35 แล้วครับ)
และผมก็พบว่า เลนส์ระยะนี้นั้น ถึงแม้ว่าเวลาถ่ายแล้ว ก็แทบจะมองไม่เห็นตัวคน แต่มันก็ทำให้ผมนั้น ถ่ายเก็บรายละเอียดของหินสามวาฬ ที่ผมชอบมากๆได้ดีกว่าครับ
และหลังจากที่พวกเรานั้น ใช้เวลาถ่ายรูปอยู่บนหินสามวาฬแบบนานมากๆแล้วนั้น พวกเราก็เดินทางไปยังจุดอื่นครับ
และพอผมเดินมาถึงลานกว้าง ที่เป็นหินแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก ผมก็ได้รับคำตอบจากน้องคนขับรถว่า จริงๆแล้วไอ้หินก้อนใหญ่ๆ ที่มีรูปร่างแบบหินสามวาฬนั้น มันก็มีอยู่ที่อื่นอีกหลายก้อน แค่มันไม่ได้ถูกจัดวางอย่างสวยงาม เหมือนหินสามก้อนนั้น ก็แค่นั้นเอง (โดยลานหินแห่งนี้นั้น ก็เป็น 1 ในนั้น)
"อัยย่ะ คนที่นี่เค้ารักสะอาดกันดีน๊ะ มีไม้กวาดตั้งหลายอัน"
และในขณะที่ผมกำลังชื่นชมในความรักสะอาดของคนที่นี่นั้น ผมก็พบว่า
จริงๆแล้ว ไม้กวาดพวกนั้น ไม่ได้มีเอาไว้กวาดลานหินหรอกครับ
มันมีเอาไว้เป็นพร็อหถ่ายรูปต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่า
เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวทุกคนนั้น มากระโดดแอ๊กชั่นถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเลยครับ
แล้วหลังจากนั้น ก็เดินทางกลับครับ โดยในการเดินทางกลับนั้น ในทริปนี้นั้น ทางน้องคนขับรถนั้น ก็จะจอดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกับหินหน้าตาแปลกๆครับ โดยมันก็อยู่ในเส้นทางขากลับอยู่แล้ว
หินช้างครับ
ประตูภูสิงห์
ส้างร้อยบ่อ (จริงๆแล้วตรงจุดนี้จะสวยในฤดูฝนครับ)
อันนี้เป็นรูปจากโดรน ที่น้องคนขับรถเป็นคนถ่ายให้ครับผม ^^
แบกกล้อง
วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2568 เวลา 14.34 น.