ความเดิมตอนที่แล้ว หนูเล็กพาขึ้นมาด้านบนของมหาวิหารดูโอโมแล้วค่ะ

https://th.readme.me/p/7375

ได้เวลาเดินชมด้านบนของมหาวิหารกันแล้วค่ะ ชมภาพกันแบบเต็มๆ ตาไม่ต้องบรรยายอะไรกันดีกว่า

หนูเล็กไม่รู้จะมีคำบรรยายอะไรเกี่ยวกับภาพที่ถ่ายทอดออกมา เพราะมันงดงามเกินจะบรรยายได้ถูก บอกเป็นความรู้ได้แค่ว่า สิ่งที่มองเห็นปลายยอดทุกยอดคือเหล่าทวยเทพที่เขาเจตนาสร้างเพื่อให้ปกปักรักษาเมือง ดังนั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทุกองค์จะหันหน้าออกไปทั้งหมด เมื่อเรามายืนมองก็จะเหมือนเรามองก้นของเหล่าเทพทั้งหลายนี้ เสาแหลมๆ ที่ทำเอาไว้มากมายมาจากความเชื่อที่ว่าจะพาคนเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้า ทำให้ขึ้นสวรรค์ได้ง่าย ก็ว่ากันไป อันนี้แล้วแต่ความเชื่อแล้วกันค่ะ

นับเป็นโชคดีที่วันนี้ ฟ้าที่มิลานใสไร้เมฆหมอก การเที่ยวชมของพวกเราบนหลังคามหาวิหารจึงเดินได้อย่างสบายใจ หายห่วง แต่แดดออกจะแรงไปสักนิด หนูเล็กผู้หลงไหลได้ปลื้มกับสถาปัตยกรรมเดินชมทุกซอกทุกมุมราวกับตกอยู่ในภวังค์ ไม่สดับถึงสำเนียงหรือสิ่งรบกวนภายนอกใดๆ เพราะที่นี่คือเป้าหมายแห่งการมาเยือน

หลังจากเดินลัดเลาะชมความงามของ "วิหารเม่น" มาเรื่อยๆ จะมาสุดทางตรงบันไดทางขึ้นเล็กๆ แคบๆ เพื่อขึ้นไปสู่หลังคาด้านบนสุดของมหาวิหาร ซึ่งจะมีจุดสูงสุดเป็นรูปปั้นพระแม่มาดอนนา (Madonnina) เป็นรูปปั้นประธานปิดทองขนาด 15 ฟุต สูงขึ้นไป 330 ฟุตเหนือทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นสัญญลักษณ์ประจำเมือง นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรพลาดขึ้นมาชมค่ะ หากได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้

จากด้านบนนี้ สามารถใช้เป็นจุดชมวิวทั้งลานที่กว้างใหญ่ด้านล่างและอาคารสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รายรอบ ทั้ง Galleria Vittorio Emanuele II ช้อปปิ้งอาคารเขตที่หนูเล็กพาเที่ยวแล้วเมื่อ part ก่อน เมื่อมาถึงจุดนี้หนูเล็กใช้เวลาเดินสำรวจไปทั่วๆ บริเวณ ค่อยๆ ดูงานแกะสลักอย่างหลงไหล ในขณะที่พี่ใหญ่ขอตัวนั่งคอย ยิ่งได้มีเวลาพิศความงามของสถาปัตยกรรมหินอ่อนแกะสลักเหล่านี้ ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดจึงใช้เวลาก่อสร้างนานมากเกือบๆ 500 ปี รายละเอียดทุกจุดดูเหมือนจะไม่มองข้ามเอาเลย

พวกเรานั่งเล่นรับลมกันสักพักก็พากันลงค่ะ เพราะเดี๋ยวคงต้องไปรอคิวลงลิฟท์อีก คาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน เมื่อลงไปแล้วหนูเล็กจะพาชมที่ด้านล่างของมหาวิหารกันต่อค่

หลังจากชมความงามที่ด้านบนกันแล้ว คราวนี้ลงมาชมที่ด้านล่างกันบ้าง ใจจริงหนูเล็กตั้งใจจะเข้าไปชมข้างในมหาวิหาร แต่ลงมาไม่ทัน ปิดไปเสียก่อน ทำได้แค่เพียงเดินชมสถาปัตยกรรมด้านนอก ลูกทัวร์คนอื่นน่ะล่าถอยแพ้ภัยกันไปหมดแล้ว เพราะแค่ดูด้านบนมาทุกคนก็ดูเหมือนจะเต็มอิ่มแทบจุกคอหอย แต่หนูเล็กนี่สิ คงเพราะที่นี่เป็นเป้าหมายหลักของการมาเยือนมิลาน ทำให้หนูเล็กไม่อยากจะปล่อยทุกเวลาทุกนาทีที่เหลืออยู่นี้ให้หมดไป อยากจะเก็บภาพความงดงามอลังการเหล่านี้ไว้ อย่างน้อยเมื่อกลับไปและหยิบขึ้นมาดูครั้งใดก็คงเติมเต็มความรู้สึกให้ได้นั่งทอดอารมณ์และหวนระลึกถึงโมงยามที่ครั้งหนึ่งเราผู้ซึ่งมาจากดินแดนอันไกลโพ้นได้มายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ที่สถาปัตยกรรมระดับโลกที่มีอายุหลายร้อยปีได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

เมื่อเดินชมและเก็บภาพไปรอบๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักที่ฝีมือสุดยอดจริงๆ มันมีความพลิ้วไหว อ่อนช้อย ให้ความรู้สึกเหมือนมีเลือดเนื้ออยู่ในนั้นเลยทีเดียว สีหน้าท่าทางรูปแกะสลักบางตัวก็แสดงออกถึงความรู้สึก เช่นความเจ็บปวด โกรธเกรี้ยว อะไรมันจะมีฝีมือกันได้ขนาดนี้ คนสมัยก่อนนี่ไม่รู้ไปฝึกปรือฝีมือเหล่านี้มาจากไหน ส่วนด้านหน้าที่เป็นบานประตูสีเขียวเข้มนั้น หล่อด้วยบรอนซ์เท่าที่ไปยื่นดูภาพก็น่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่โบสถ์หรือวิหารคริสต์ก็มีแต่เรื่องราวแบบนี้ ตรงข้ามกับมหาวิหารมีพระบรมรูปทรงม้าพระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 ประดิษฐานอยู่กลางลานกว้างที่เต็มไปด้วยฝูงนกพิราบมากมาย นักท่องเที่ยวเด็กๆ ส่วนใหญ่สนุกกับการให้อาหารนกมาก

ความที่จัตุรัสด้านหน้ามหาวิหารเต็มไปด้วยผู้คนเยอะเเยะมากมายนี้เอง จึงเป็นที่เลื่องลือมากเกี่ยวกับเรื่องการโจรกรรม ถึงขั้นว่ากันว่า "อิตาลีมีมาเฟีย" เพราะเหล่านักต้มตุ๋น มิจฉาชีพ นักล้วง มีครบทุกรูปแบบค่ะ เป็นพื้นที่สีแดงสำหรับนักท่องเที่ยวมากที่สุดในการมาเยือน จะมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการล้วงกระเป๋า กรีดกระเป๋า แกล้งเดินชน หรือแม้แต่ชวนคุย สอบถามทาง เข้ามาขายอาหารนก เอาหมดทุกอย่าง หรือหมดทางจริงๆ ก็กระชากกระเป๋าหรือกล้องถ่ายรูปแล้ววิ่งหนีไปเฉยๆ เลย ดังนั้น แม้มหาวิหารจะงดงามเพียงใด แต่ก็ต้องเดินด้วยความระมัดระวัง เหลียวซ้ายแลขวา อย่ามัวแต่หลงไหล ดื่มด่ำจนไร้สติสัมปชัญญะโดยเด็ดขาด คนที่นิยม Selfie ก็พึงระมัดระวังกล้องถ่ายรูป มือถือดีๆ ด้วยค่ะ บางทีอาจมีผู้หวังดีมาช่วยถ่ายรูปให้แล้วเอากล้องไปเลยก็ได้ใครจะรู้

และยิ่งตอนนี้ที่มีการอพยพของผู้ลี้ภัยชาติต่างๆ และยังมีพวกคนดำต้มตุ๋นอีก พวกนี้มักเดินเพ่นพ่าน ชอบวิ่งเอาข้าวโพด อาหารเลี้ยงนกพิราบมาขาย แล้วก็เรียกเงินเราแพงๆ พยายามปฏิเสธค่ะ พวกนี้มักดูคนเอเชียเป็นหลัก เพราะชัดเจนว่าเป็นนักท่องเที่ยวแน่นอน เที่ยวอย่างมีสติดีที่สุดค่ะ

และแล้วเราก็หมดเวลากับมหาวิหารกันจริงๆ แล้ว พี่ใหญ่พาไปเติมพลังกับ Gelato ร้านยอดนิยมอย่าง Amorino สัญลักษณ์ ที่โดดเด่นของร้านนี้คือการป้ายเจลาโต้ไปมาจนกลายเป็นดอกกุหลาบทั้งสวยทั้งน่ากิน ราคาดอกนึงก็ไม่เท่าไรค่ะ โคนละ 2.7 ยูโรแค่นั้น (คูณด้วย 40 ก็คิดง่ายๆ ดี)

จากนั้นก็เดินทางกลับที่พักกันได้เสียที สมาชิกเราเริ่มคุ้นเคยกับการใช้บริการขนส่งมวลชนแล้ว พอเข้าสถานีได้ก็รู้หน้าที่จัดการเรื่องตั๋วเดินทางโดยไม่ต้องให้บอกกล่าว ปลายทางก็คือที่ Milano Centrale ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักเรามากที่สุด

เวลาสำหรับมิลานและมหาวิหารสุดยอดในดวงใจของหนูเล็กหมดลงแล้วค่ะ วันพรุ่งนี้มีกำหนดออกเดินทางสู่ที่หมายใหม่ เป็นกำหนดออกเดินทางที่ยังไม่แน่นอนในเรื่องของเวลาเพราะเรายังไม่มีตั๋วเดินทางกันเลย พรุ่งนี้ค่ะ ไปหากันเอาที่สถานี จะได้เดินทางหรือไม่ หรือจะได้เดินทางเวลาใด ไปลุ้นค่ะ ทัวร์นี้มีลุ้น

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

ความคิดเห็น