ซัมแวร์ เกาะสีชัง

เราใช้ที่นี่ เป็นที่พักปักหลักเที่ยวเกาะสีชังในครั้งนี้

รีวิวฉบับนี้จะพาคุณไปรู้จักหนึ่งในที่พักน่าพักบนเกาะสีชัง และ … จุดน่าถ่ายภาพรอบเกาะ

สีชังเคยมานานมากแล้ว นานจนกลับมาอีกทีทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด

จำอะไรแทบไม่ได้ ข้อดีที่หลงลืมซะขนาดนี้คือทุกอย่างที่เห็นเหมือนที่เที่ยวใหม่หมด อิอิ

สิ่งที่จำได้มีอยู่น้อยนิดในครั้งนั้นคือนั่งเรือมา ขึ้นเกาะ แล้วก็แบกเป้ แบกเต็นท์ เดินฝ่าแดดอันร้อนระอุ ข้ามเกาะไปหาดถ้ำฟัง

ปักหลักกางเต็นท์อยู่ที่นั่น ครั้งนั้นยังจำได้ สวรรค์ชัดๆ ทะเลสีชังสวยเหมือนทะเลแดนใต้ ทะเลอันดามัน หน้าผาหินที่หาดถ้ำพังสวยแปลกตามากๆ

อ้อ จำได้อีกอย่างคือเกาะนี้มีรถสกายแล็บ แล้วก็มีศาลเจ้าจีนใหญ่ๆ อยู่แถวท่าเรือ

นั่นมันเรื่องราวเมื่อสามสิบปีมาละ โฮ่ะโฮ่ะ นานพอจะลืมเลือนมั้ยล่ะนั่น การกลับมาครั้งนี้ก็ว่าจะมาถ่ายภาพสวยๆ มุมไหนของเกาะสีชังที่ว่าสวยจะไปให้หมด

ดังนั้นแผนเราจึงเป็นนอนค้างบนเกาะ 1 คืน เพื่อให้มีเวลาเพียงพอ มีเวลายามเช้าออกถ่ายรูป ก็แสงเช้ามันสวยใครก็รู้

การเดินทาง

จากฝั่งอำเภอศรีราชา ปกติจุดลงเรือข้ามมาเกาะสีชังแต่ไหนแต่ไรมาก็จะอยู่ที่เกาะลอยนะครับ แต่เนื่องจากตอนนี้เกาะลอยอยู่ระหว่างปิดปรับปรุงหลายปี 2 ปีประมาณนี้

และเพิ่งเริ่มปิดไปไม่กี่เดือนมานี้เอง ดังนั้น จุดลงเรือจะย้ายไปอยู่ที่ท่าเรือจรินทร์ อยู่ใกล้กับเกาะลอยนั่นล่ะครับ ดูจากแผนที่ได้เลย

เกาะสีชังอยู่ห่างฝั่งเพียง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากฝั่งถึงเกาะ ประมาณ 50 นาที

ค่าเรือข้ามเกาะ คนละ 50 บาท

ตารางเรือ

ศรีราชา – เกาะสีชัง 6.00 น. – 20.00 น.

เกาะสีชัง – ศรีราชา 6.00 น. – 19.00 น.

**เวลาอาจคลาดเคลื่อนจากนี้นะครับ สรุปง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่าว่า ไปเกาะสีชังไม่ต้องห่วงเรื่องเรือ มีออกทั้งวันทั้งไปทั้งกลับ และมีเรือออกมีเรือออกทุกต้นชั่วโมง ตั้งแต่เช้ายันค่ำ หายห่วง

เรือเทียบท่า ขึ้นเกาะแล้วไปไงต่อ

ไม่ว่าคุณจะเลือกพักที่ Somewhere Koh Sichang หรือที่อื่นๆ นะครับ การเดินทางออกจากท่าเรือที่สะดวกที่สุดก็คือนั่งรถสกายแล็บให้ไปส่งที่พัก หรืออีกวิธีที่สะดวกเช่นกันคือ

เช่ามอเตอร์ไซค์เลยครับ เอาไว้ขับเที่ยวตลอดทริปบนเกาะด้วย จะมีสกายแล็บและมอเตอร์ไซค์ให้เช่าจอดเรียงรายอยู่เต็มท่าเรือ

สนนราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซค์อยู่ที่ 250 บาททั้งวัน พร้อมน้ำมันเต็มถัง คืนรถช่วงเย็นๆ แต่ถ้าเพิ่มอีก 50 บาทสามารถเอารถไว้ใช้ทั้งคืน คืนรถช่วงเวลาประมาณบ่ายๆ ได้

นี่คือแผนจุดแวะถ่ายภาพรอบเกาะทั้งหมดที่ผมขี่มอไซค์ชิลชิล ถ่ายได้มาด้วยทริป 2 วัน 1 คืน รวมสิบกว่าจุด มีอะไรบ้าง ไล่ตามตัวเลขดู ( แต่ของจริงผมไม่ได้แวะเรียงเลขนะครับ )

  1. ประภาคารจีน
  2. ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
  3. มณฑปรอยพระพุทธบาท
  4. ช่องเขาขาด
  5. แหลมจักรพงษ์
  6. หาดถ้ำพัง
  7. สะพานอัษฎางค์
  8. เรือนไม้สีเขียว
  9. เรือนวัฒนา
  10. เรือนผ่องศรี
  11. เจดีย์เหลี่ยม
  12. เจดีย์วัดอัษฎางคนิมิตร
  13. จุดชมวิวเนินเขาน้อย

แต่ก่อนอื่นเราแวะไปโยนกระเป๋าที่ซัมแวร์กันก่อนนะครับ

ถึงแล้ว ซัมแวร์ ห่างท่าเรือมาเพียง 750 เมตร ผมเช่ามอไซค์ซ้อนสอง เทรินเป๋าลากไว้บนตักคนซ้อนใบนึง แล้วก็เสียบไว้กางหว่างขาผมใบนึง เส้นทางไม่ยาก ขับออกจากท่าเรือ

พอผ่านเซเว่นยังไม่ต้องเลี้ยว ขับตรงไปอีกหน่อยก็เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถนนหลัก ไปอีกนิดก็ถึงแล้ว ดูตามแผนที่ด้านบนได้เลย

ซัมแวร์ เกาะสีชัง

หาที่พัก ปักหลักเที่ยว

ที่นี่ ห้องพักมีเพียง 20 ห้องนะ จองมาล่วงหน้าเพื่อความชัวร์ แต่ถ้ามาวันธรรมดาก็ลุ้น walk in ได้

เว็บไซต์โรงแรม : www.somewherehotel.com

ระหว่างรอผมเช็คอิน เรามาเริ่มจุดแวะแช๊ะแรกของเกาะสีชังกันก่อน

ถ่ายประภาคารจีน

จุดนี้เด่นชัดมาตั้งแต่เรือกำลังจะเทียบท่าแล้วครับ พอก้าวขึ้นเกาะก็ถ่ายได้เลยอยู่ซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าเกาะ นอกจากนี้ประภาคารทรงจีนเก๋ๆ นี้ยังมองเห็นได้จากมุมอื่นๆ ของเกาะ

ทั้งมุมใกล้มุมใกล้ เป็นจุดถ่ายแรกที่เชื่อว่าทุกคนที่มาเที่ยวสีชังวันนี้ต้องไม่พลาดครับ ถือเป็นสัญลักษณ์แลนด์มาร์คของเกาะสีชังแล้ว

ย้อนกลับมาที่โรงแรม เช็คอินเสร็จละ กระเป๋าก็ขึ้นห้องชั้นสอง Somewhere มีสองชั้น ห้องที่ได้ระเบียงใหญ่มาก มองลงมาเห็นวิวสระ

นี่ครับระเบียงห้อง

ภายในก็มีทั้งห้องแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่

สไตล์วินเทจ ให้สีโทนฟ้าขาว สว่างเบาสบายใสใส

ตอนเช็คอินนี่คือช่วงเที่ยงๆ แดดแรงๆ ก็เลยแพลนว่าบ่ายคล้อยแดดเบาแล้วค่อยขี่มอไซค์ออกเที่ยว ตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือนอนตากแอร์เย็นฉ่ำพักผ่อนหลับสักตื่นในห้อง

วิวสระมองจากระเบียงห้อง

แต่ก่อนจะนอนเกือบลืมเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ก็เลยจัดการมื้อเที่ยงกันในห้องอาหารของโรงแรมนั่นแหละ ขี้เกียจขี่มอไซค์ลุยแดดไปหาข้าว

ห้องอาหารหนึ่งเดียวของซัมแวร์ บริการเมนูอาหารทั้งไทย เทศ

THE VERANDAH RESTAURANT

เปิดบริการ 6 โมงครึ่งถึง 5 ทุ่ม ถึงไม่ได้มาเข้าพักก็เลี้ยวมาใช้บริการได้

ก็กินง่ายๆ ครับ สำหรับมื้อเที่ยง อาหารจานเดียว กะเพราไก่ไข่ดาวของโปรด

แล้วก็สั่งต้มยำกุ้งมาซดแซ่บๆ สักชาม กะยำวุ้นเส้นทะเล แซ่บหลายก่อนไปพักงีบ

เอาล่ะครับ บ่ายแก่ๆ แดดร่มลมตก ตื่นแล้ว พร้อมออกเที่ยว เราขี่มอไซค์ออกจาก Somewhere เลี้ยวซ้ายล่องทิศใต้ของเกาะ ขี่ไปตามถนนหลักของเกาะนั่นแหละ แต่ไปทิศตรงข้ามกับทางกลับท่าเรือ

ขี่ออกไปเพียง 850 เมตร ถึงแล้ว เขตวัง เขตพระราชฐานเก่า ซึ่งปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง โซนนี้มีจุดถ่ายภาพมากมาย

ที่มองเห็นในภาพคือหาดทราย แมกไม้ โขดหิน แล้วก็มีสะพานวินเทจสีขาวคลาสสิคเป็นฉากหลัง จอดรถบริเวณนี้แล้วเราจะเดินไปที่สะพานกันเป็นที่แรก เดินไปนิดเดียว ร้อยกว่าเมตร

ระหว่างทางเดินไปทางซ้ายเป็นทะเลมองย้อนกลับไปทาง Somewhere ก็จะเห็นประภาคารจีนเด่นตระหง่านจากตรงนี้ ทางขวาก็เป็นเก้าอี้นั่งพักผ่อนเรียงไป หลังเก้าอี้เป็นทุ่งหญ้า

ซึ่งพลิ้วเล่นลมและรับแดดเฉียงยามบ่ายแก่แบบสวยมาก

ถึงแล้วครับ จุดถ่ายหมายเลขเจ็ด อันเป็นจุดแนะนำจุดที่สองของรีวิว

สะพานอัษฎางค์

เหมาะถ่าย portrait มากจุดนี้ ตัวสะพานเป็นไม้ มีศาลากลางสะพานสองหลัง บนฝั่งต้นสะพานหลังนึง มีเกาะขามใหญ่อันเป็นเกาะบริวาร 1 ใน 8 ของหมู่เกาะสีชังเป็นฉากหลัง

ใช้เวลาอยู่ตรงสะพานจนพอใจก็เดินต่อไป ห่างสะพานมาเพียงร้อยเมตร ก็เจอกับจุดน่าถ่ายมากจุดถัดไป

เรือนไม้สีเขียวริมทะเล

สีเขียวและสถาปัตยกรรมการออกแบบโดดเด่น แต่ถ้าเย็นๆ มุมถ่ายจะย้อนแสง ภาพสองภาพนี้ภาพบนคือมุมด้านหน้าอาคารซึ่งกลับมาถ่ายใหม่ตอนเช้าวันถัดไปแดดเข้าสวยแบบที่เห็น

ส่วนอีกภาพนึงคือภาพนี้ นี่คือตอนเย็น แสงแยงมาแบบที่เห็น ส่องหลังอาคาร มุมด้านหน้าจะอยู่ในเงาแบบที่เห็นอีกเช่นกัน ลองวางแผนถ่ายดู

จากหน้าเรือนไม้เขียวหากมองไปทางเขา ทิศตต.เฉียงใต้ จะเห็นเจดีย์องค์หนึ่ง สีขาวโดดเด่น อยากเดินขึ้นไปถ่ายบนนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าเดินไกลหรือเปล่าและอีกอย่างเราแพลนไว้ว่า

จะไปตั้งกล้องถ่ายดวงอาทิตย์ตกทางฝั่งตะวันตกของเกาะแถวๆช่องเขาขาดกลัวจะไปไม่ทันก็เลยปล่อยเจดีย์ไว้ก่อนไว้ค่อยกลับมาใหม่วันถัดไป

ดวงจันทร์ใหญ่กว่าปกติถึง 14% มีความสว่างมากขึ้น 30%

พระจันทร์ในวันนั้นขึ้นก่อนพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย พอใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกผมรีบมองไปทางทิศตะวันออก ส่ายตาค้นหาทันที แล้วก็เจอจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นแข่งแสงตะวันรอน

อยู่เหนือขอบฟ้า ตรงทิศเดียวกับที่เห็นแหลมฉบังทางฝั่งศรีราชา สวยมาก ดวงใหญ่มาก

จากนั้นมีเวลาอีกไม่กี่นาทีตะวันจะตกน้ำ เราก็รีบบึ่งมอไซค์ไปจุดที่แพลนไว้ว่าจะไปรอส่งตะวันกัน นั่นคือ

ช่องเขาขาด

หรืออีกชื่อหนึ่งคือสะพานอิศริยาภรณ์

ระยะทางจากวังไปช่องเขาขาดก็ 2.2 กิโล ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสิบนาที

มาถึงแล้ว มีศาลาชมวิวมุมสูง เราขึ้นมาปักหลักบนนี้ ได้ภาพมาสมใจมาก ถ่ายเสร็จก็นั่งชมวิวเพลินๆ พักใหญ่ๆ ก็ขี่มอไซค์กลับที่พัก

ขี่มอไซค์กลับมา Somewhere ระยะทางแค่ 1.4 กิโล จัดว่าบนเกาะนี้ขี่มอไซค์ไปไหนมาไหนก็สะดวกมาก ใกล้มาก น้ำมันที่ให้มาเต็มถังเหลือเฟือ ขี่วนรอบเกาะสักยี่สิบรอบก็ไม่หมด

กลับมาถึงที่พักฟ้ายังไม่มืดสนิท ยังเป็นแสงทไวไลค์

ขึ้นมาโซนร้านอาหาร ที่เดิมกับที่กินข้าวเที่ยง Verandah คือขี้เกียจขี่ไปหากินที่อื่นละ นั่งกินชิลชิลที่นี่ดีกว่า กินเสร็จก็เดินกลับห้องนิดเดียวสบายๆ ไป

สั่งมากินสองสามอย่างพอ

สเต็กหมู 140++



แล้วก็ พิซซ่าหน้าปลาแซลม่อน 300++


เครื่องดื่มก็ Fruit punch กับ Blue Curacao Italian Soda อิ่มแล้วก็ได้เวลาพักผ่อนครับ และต้องนอนเร็วเพราะพรุ่งนี้ก่อนฟ้าจะสว่างผมมีภารกิจพิเศษคือตั้งใจไปตั้งกล้องถ่ายพระจันทร์ตกน้ำ Super Moon ซึ่งจะตกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง

งานนี้ผมไม่อยากพลาด

โถงทางเดินเข้าห้องพัก ใครชอบสไตล์นี้ก็ใช่เลย โทนสว่างๆ แนวย้อนยุคสบายตา

ห้องพักหันหน้าเข้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชั้นสองมองเห็นทะเล ตอนเช้าเปิดหน้าต่างมาออกไปยืนระเบียงก็รับแสงเช้าพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้

ข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำครับ

กระจกเงาสี่เหลี่ยมคางหมู ทรงไทยชัดๆ

แท่นแท้น และแล้วก็ได้เวลาอันตื่นเต้น ผมขี่มอไซค์ออกจากที่พักมาตั้งแต่ตีสี่กว่าๆ หลับเต็มอิ่มมาประมาณ 7 ชม. คืนเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม ขี่มอไซค์กลับมาที่เดิม

มายังที่ที่เมื่อตอนเย็นมาส่งตะวัน ช่องเขาขาด

ดวงจันทร์ Super Moon ของเราที่ขึ้นมาตอนตะวันตกน้ำ ตอนนี้ก็กำลังจะตกตอนที่ตะวันเตรียมจะขึ้น สลับกัน

แสงจันทร์สว่างมว้าก ราวกับใครเอาสปอร์ตไลท์ยักษ์ไปแขวนค้างไว้บนท้องฟ้า ท้องทะเลสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับงามมากๆ

แล้วก็ผิดคาดอย่างมากนะครับ คือผมก็เพิ่งรู้ว่าพระจันทร์เวลาอยู่กลางฟ้าน่ะจะสว่างมาก แต่พอค่อยๆ เลื่อนลงมาใกล้ขอบฟ้ามากเท่าไหร่จะยิ่งริบหรี่ๆ และพอจะแตะขอบฟ้าเนี่ยสีจะ

แดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ที่หวังจะได้ภาพพระจันทร์โอเมก้าละลายลงขอบน้ำทะเลเป็นอันกลับตาลปัตรไปเลย แต่ก็เป็นประสบการณ์ชมซูปเปอร์มูนที่เต็มอ่ิ่มมาก จากตีสี่ครึ่งยันตีห้าครึ่ง

สองชั่วโมงที่มีแต่ความตื่นตาตื่นใจ และเป็นการชมท่ามกลางความเงียบ อยู่กับตัวเองคนเดียว ไร้ผู้คน มีแต่ผืนน้ำทะเลแผ่นเรียบ ดวงจันทร์สว่างโร่ วิวผาหิน และหมู่ดาวที่ระยิบระยับขึ้นเรื่อยๆ

สว่างสวนทางกับจันทร์ที่อ่อนแสงลงๆ โคตรโรแมนติก

ขณะขี่มอไซค์กลับที่พัก ท้องฟ้าก็สุกสว่างขึ้นเรื่อยๆ เฮ้ย! ลืมนึกไปเลย นี่มันนอกแผนชัดๆ คือผมลืมคิดถึงพระอาทิตย์ขึ้นไปได้ยังไง ตะวันในวันนั้นจะขึ้นหลังพระจันทร์ตกน้ำเพียงครึ่งชั่วโมง

พอความสว่างของท้องฟ้าสะกิดเตือนผมก็รีบกลับรถทันทีแทนจะมุ่งหน้ากลับที่พัก รีบหาทางบึ่งขึ้นเขา ว่าจะไปตั้งกล้องบนจุดสูงๆ ตอนนั้นในใจนึกได้เพียงมณฑปรอยพระพุทธบาท

เพราะรู้ว่าอยู่สูงแน่ แต่ฟ้ายังไม่สว่างมากขับเลยทางขึ้นเฉยเลย กลายเป็นขี่มาจนเจอที่นี่แทน

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่

รีบจอดมอไซค์อย่างด่วนจี๋แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้้นบันได มากางขาตั้งเอาตรงนี้ แสงทองจับขอบฟ้ามาโน่นแล้ว โอ้ว สวยๆ

แสงไฟประดิษฐ์จากบ้านเรือนบนเกาะแข่งแรงแสงกับแสงทองขอบฟ้า เป็นทไวไลค์สมบูรณ์แบบมาก


ผมถ่ายไปหลายสิบภาพ คือเยอะมาก เปลี่ยนเลนส์ไปเรื่อยๆ เป็นช่วงพีคของอารมณ์อีกช่วงนึง ถัดจากตอนถ่ายจันทร์เลย สวยย ชอบบบ วิวแหลมฉบังมองจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่บนเกาะสีชัง


ประภาคารจีนสวยมากเมื่อมองจากมุมนี้ ณ เพลานี้

แล้วพลันผมก็นึกขึ้นได้อีกว่าผมควรจะรีบขี่มอไซค์กลับไปแถวสะพานอัษฎางค์ที่เมื่อวานเราเดินเล่นถ่ายแสงกัน คิดเล่นๆ ว่าถ้าตะวันขึ้นมากลางช่องสะพานล่ะ! อูย จะวิเศษงามงดขนาดไหน

ระยะทาง 3 กิโลจากบนศาลนี่ ผมรีบเก็บขาตั้ง วิ่งลงบันไดด่วนจี๋บึ่งมอไซค์ไปวังทันที ไปถึงก็หกโมงพอดี ประตูวังเปิดแล้ว พอจ้ำมาถึงสะพานอัษฎางค์ก็ผิดคาดครับ ตะวันไม่ขึ้นตรงมุมนี้

ก็รีบจ้ำต่อ ไปอีกฝากนึง ที่ที่เห็นพระจันทร์ขึ้นเมื่อวานเย็นนั่นแหละ จ๊ะเอ๋เลย ขึ้นมาดวงกลมโตเป็นไข่ห่านนั่นแล้ว ผมนี้รีบเปลี่ยนเลนส์ถ่ายเจาะทะลุพุ่มไม้ไปเลยเพราะกะว่าวิ่งไม่ทันแล้ว

แสงมันแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ถ่ายไปจ้ำไป ตอนนี้ไม่ต้องกางขาแล้วครับ ความสว่างเหลือเฟือแล้ว ในที่สุดก็ทะลุมายืนจุดเดียวกับที่ถ่ายพระจันทร์ขึ้นเมื่อวาน ท่าเรือแหลมฉบังกลับมาอยู่ในสายตาอีกครั้ง แต่คราวนี้

มีดวงตะวันกลมตูประดับ ใจนี้อยากจะจัดมุมให้ตะวันไปแขวนห้อยอยู่กับรอกยักษ์ที่ใช้ยกตู้คอนเทนเนอร์พวกนั้นสักอันนะครับ แต่ตะวันเค้าขึ้นสูงเกินไปแล้ว

เอาอีกแล้ว ตื่นเต้นกับดวงตะวันขึ้น ว่าจะขี่มอไซค์กลับที่พัก ก็มาถึงจุดพีคของอารมณ์อีก คือลืมไปได้ไงอีกเนี่ยว่าหลังตะวันพ้นขอบฟ้าขึ้นมาจะเข้าสู่ช่วง Golden hour แสงทองแห่งการถ่ายภาพ

ทุกอย่างรอบตัวต้องแสงทองสวยไปหมด ผมนี้เดินถ่ายภาพต่อเลยครับ ไปถ่ายเรือนไม้สีเขียวอย่างที่โพสไว้ข้างบนนั่น แล้วก็เดินเลยมาเรื่อย เก็บจุดอื่นๆ ในบริเวณวังที่ตกค้างจากเมื่อวานเย็นที่เก็บไม่หมด

เรือนวัฒนา

อยู่ถัดจากเรือนไม้เขียวมานิดเดียว ไม่ถึงร้อยเมตร

เรือนวัฒนาเป็นอาคารปูน สองชั้น ให้สีขาวและประตูหน้าต่างเขียวๆ ด้านหน้าเป็นทะเล ส่วนด้านข้างเป็นบ่อน้ำแบบที่เห็น มีสะพานเล็กๆ ทอดข้าม เลยมาหามุมถ่ายเงาสะท้อนน้ำ

ถัดจากเรือนวัฒนา ตรงบ่อน้ำนี่กลับหลังหันก็จะเจอบันได ตอนนี้ผมถ่ายภาพอย่างได้ใจมาก คือหันไปทางไหนก็น่าถ่ายไปหมด คราวนี้เลยนึกถึงเจดีย์องค์ขาวๆ บนยอดเขาที่เห็นเมื่อวาน

เลยตัดสินใจเดินขึ้นบันไดเลยครับ ป้ายบอกว่าขึ้นไปทางนี้ ประมาณเกือบสี่ร้อยเมตร

เดินถึงมาได้ร้อยกว่าเมตรก็มาเจออาคารกลมๆ

เรือนผ่องศรี

ตัวอาคารออกแบบเป็นฐานทรงกลมขึ้นไปยันหลังคา แล้วมีซ้อนเล็กๆ อีกชั้น แต่แสงยังส่องมาโดนแค่หลังคา ผมเลยถ่ายมานิดหน่อยแล้วไปต่อ

ก่อนถึงเจดีย์องค์ขาว ทางขวามีอเรามาเจอกับเจดีย์องค์เก่า มีป้ายเขียนไว้ว่า

เจดีย์เหลี่ยม

ก็เลยแวะถ่ายอีกหน่อย แต่เป็นการถ่ายตอนขาลงเขาครับ ใกล้ๆ เจดีย์เหลี่ยมมีป้ายบอกว่าใกล้ๆ กันจะมีระฆังหิน ผมก็หาตั้งนาน พยายามมองหาหินที่เป็นรูประฆังแต่หายังไงก็หาไม่เจอ

มารู้ภายหลังว่าเป็นก้อนหินที่ต้องเคาะ แล้วจะเกิดเสียงกังวานเหมือนเสียงระฆัง

ในที่สุดก็เดินมาถึง เจดีย์องค์ขาว

เจดีย์อัษฎางคนิมิตร

กำลังจับแสงสีทองอยู่เลย ถ่ายออกมาก็เลยไม่ค่อยขาวนะครับ

พอถ่ายเจดีย์ขาวเสร็จก็เห็นทางยังไปต่อได้เรื่อยๆ มีป้ายบอกว่าไปจุดชมวิว ป้ายบอกว่าไปอีกแค่สองร้อยกว่าเมตร ก็เลยลองเดินไปต่อ ขี้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ทางเดินสบายๆ ไม่ชัน เหมือนเดินในสวน

ถึงอีกแล้ว อีกหนึ่งจุดถ่าย

จุดชมวิวเนินเขาน้อย

มีหอชมวิว เดินขึ้นบันไดนิดหน่อย จุดนี้สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณห้าสิบกว่าเมตร เห็นวิวกว้างไกล เป็นวิวฝั่งทิศตะวันออก น่าจะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ ถ้าเค้าเปิดให้เข้ามานะครับ อันนี้ผมไม่แน่ใจ

ส่วนวิวด้านตะวันตกมองไม่เห็นอะไร

บนจุดชมวิวเนินเขาน้อยนี้มองลงไปจะเห็นยอดเจดีย์องค์ขาว หรือเจดีย์อัษฎางคนิมิตรที่ตะกี้แวะถ่ายภาพด้วย

ทางยังไปต่อได้เรื่อยๆ แต่พอแล้วครับ คือเดินขึ้นมาไกลมากแล้วเมื่อยแล้ว และก็ท้องเริ่มร้อง เริ่มหิวข้าวแล้ว ก็เลยตัดสินใจกลับที่พัก

มาหม่ำโจ๊กหมูตอกไข่ อาหารมื้อเช้าเมนูโปรดที่กินประจำ โรยพริกไทยนิดๆ เหยาะซอสหน่อยๆ อร่อยเหาะ ได้จากคูปองอาหารเช้าที่มาพร้อมที่พัก

อิ่มแล้วก็กลับเข้าที่พัก มานอนเล่นพักเหนื่อยนิดหน่อยกับห้องพักอีกห้อง คือเราเช็คอินมาสองห้อง เพราะมากันสองคน ห้องนี้เป็นห้องเตียงคู่ อยู่ติดๆ กับห้องที่พักเมื่อคืน หัวเตียงดีไซน์ไปอีกแบบ

เป็นรูปสมอเรือน่ารัก มุมวิวตรงระเบียงก็เป็นวิวเดียวกัน คือมองเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมและเห็นทะเล

พักงีบสักชั่วโมง สิบโมงกว่าก็ออกขี่มอไซค์ต่อ ยังมีจุดอื่นๆ ที่ยังอยากไปถ่ายก่อนกลับ

แหลมจักรพงษ์

อยู่ฝั่งทิศตะวันตกของเกาะ ซึ่งเป็นฝั่งทะเลเปิด ไม่มีอะไรพลุกพล่านจอแจเหมือนฝั่งตะวันออก ตรงนี้เป็นวิวแหลมมองไกลมาจากศาลาชมวิวที่อยู่ตรงหัวโค้งก่อนเลี้ยวลงไปหาดถ้ำพัง

จากโรงแรมขี่มอไซค์มาถึงตรงนี้ระยะทาง 1.9 กิโล

จากจุดเดียวกันมองลงไปทางซ้ายก็จะเห็นอ่าวเล็กๆ มีหาดทรายขาวๆ ตรงนี้เรียกว่าอ่าวอัษฎางค์ หาดที่เห็นก็มีชื่อว่า

หาดถ้ำพัง

บ้างเรียกว่า หาดถ้ำเขาพัง ก็ไม่รู้ว่าทำไมชื่อนี้นะครับ เดาจากชื่อก็ต้องมีถ้ำล่ะ และต้องเป็นถ้ำที่เคยเป็นถ้ำแล้วก็พังลงมา แดดแรงและมุมแสงตอนนี้ค่อนข้างแยงตาแล้ว หาดนี้ท่าจะถ่ายจากจุดนี้ให้สวยๆ

คงต้องถ่ายช่วงบ่ายๆ จะได้มุมตามแสงหน่อย แต่ถ้าขี่มอไซค์ลงไปที่ตัวหาดก็จะได้มุมตามแสงได้ทะเลสวย แต่ ณ ตอนนี้คือแดดร้อนมว้าก ไม่ไหวแล้ว เริ่มเพลียแดด ก็เลยตัดสินใจไม่ขี่ลงไป

ส่องพลิ้วน้ำทะเลจากมุมสูงตรงศาลาชมวิวนี้แทนแล้วก็ไปต่อ

อีกหนึ่งจุดหมายที่ตั้งใจว่าต้องมาให้ได้ เมื่อเช้ามืดขี่มอไซค์หลงมาทีก็คือตั้งใจจะมาตรงนี้แหละ

มณฑปรอยพระพุทธบาท

ซึ่งอยู่เขาลูกเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่นั่นล่ะ คือจะเดินขึ้นมาจากศาลก็ได้ แต่ไม่เอา เมื่อย เราเลือกขี่มอไซค์ขึ้นมาแทน ทางขึ้นค่อนข้างลาดชันนิดหน่อย ต้องขี่ระมัดระวัง สุดทางเป็นลานจอด

แล้วก็เดินขึ้นบันไดต่อไปอีกหน่อย

มีระฆังใบใหญ่ มณฑปทาสีขาวสะอาดตา สถาปัตยกรรมศิลปะทรงไทยสมัยใหม่


มาแวะกราบสักการะรอยพระพุทธบาทกันครับ เป็นสิริมงคล บนมณฑปนี้เป็นจุดชมวิวมุมสูงของเกาะด้วย แต่ยังไม่ใช่จุดสูงที่สุดนะครับ สูงกว่านี้ต้องเดินขึ้นไปอีก มีทางเดิน แต่ต้องหาหน่อย และน่าจะเดินค่อนข้างไกล และอย่างที่บอกแดดร้อนมากครับ

ก็เลยไม่เดินสิครับ ตอนนี้ได้แต่หาที่ยืนที่เป็นร่มเงา ตรงจุดนี้นอกจากตัวมณฑปแล้วยังมีเจดีย์เก่าๆ องค์น้อยๆ เห็นบันไดเล็กๆ ข้างเจดีย์ นั่นเป็นทางเดินที่เดินเท้าขึ้นมาจากตรงศาลเจ้าพ่อ

วิวมุมสูงตรงนี้เห็นทุกอย่างกว้างไกลมาก

และเมื่อมองย้อนลงทิศใต้จะมองเห็นเกาะสีชังทั้งสองฟากทะเล แต่ดูทรงแล้วก็ดีใจที่เมื่อเช้าขี่มอไซค์หลง เพราะว่าเหลี่ยมถ่ายภาพตรงนี้สู้กางขาตรงศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ไม่ได้


ครบที่ตั้งใจไว้หมดแล้วครับ ตั้งใจเอาไว้สิบจุดแวะถ่ายภาพ แต่ทำไปทำมาได้มาสิบกว่าจุด และจริงๆ ถ้าจะซอกแซกกันก็ยังมีมากกว่านั้น น่าจะเลยยี่สิบจุดด้วย ถือว่าเป็นทริปพักผ่อนและถ่ายภาพ

ที่มีความสุขมากๆ ได้ภาพสวยเยอะแยะ และไม่เหนื่อยเลย กับทริปหาที่พักปักหลักเที่ยว เกาะสีชัง 2 วัน 1 คืน

กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมอีกสักพัก ออกเลทๆ หน่อยเพราะเป็นวันธรรมดา ลูกค้าไม่เต็ม ในภาพกำลังนั่งวางแผนว่าขากลับเข้ากรุงเทพฯ จะหาจุดตั้งกล้องถ่ายซูเปอร์มูนตรงไหนได้บ้างระหว่างทาง

เพราะวันนั้นเป็นวันฟูลมูนพอดี นั่นคือวันลอยกระทงด้วยนั่นเอง

แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะครับ กับภาพสวยๆ ที่ตั้งใจกดชัตเตอร์มาฝากกัน พร้อมข้อมูลต่างๆ

ความคิดเห็น