ตอนที่แล้วหนูเล็กพาชมความงามของมหาวิหารดูโอโมกันไปแบบฉ่ำปอดกันบ้างแล้ว

https://th.readme.me/p/7454

เช้าวันนี้พวกเราเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าตามเคย ที่หมายของเราวันนี้เป็นเมืองริมทะเลสาบอย่าง Varenna ตั้งใจว่าจะหนีบรรยากาศแบบตึกรามบ้านช่อง สถาปัตยกรรมโกธิคอะไรทำนองนี้กันสักวันสองวัน ไปอยู่ภายใต้อ้อมกอดของธรรมชาติกันบ้าง เพราะชมสิ่งเหล่านี้มาติดๆ กันหลายๆ วันเกรงว่าจะกลายเป็นเอาใจหนูเล็กผู้ช่วยหัวหน้าทัวร์มากเกินไป เผื่อลูกทัวร์สาวอย่างคุณสุดหรือเชฟหนุ่มอย่างคุณปาอยากจะถ่ายเซลฟี่กับต้นไม้ใบหญ้าสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้หวานหวามในหัวใจกันบ้าง

การเดินทางไป Varenna ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียว เป็นการนั่งรถไฟชานเมือง พี่ใหญ่บอกว่าไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าเพราะมีรถไฟไปเกือบทั้งวัน เราจึงออกจากที่พักแบบสบายๆ ปิดล็อกห้องและเอากุญแจเก็บไว้ให้ Silvia ตามที่ได้ตกลงกัน จากนั้นก็พากันเดินชิลๆ ลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟเพราะใกล้มาก ไปถึงราวๆ เก้าโมงเช้า ตั้งใจว่าจะเดินเล่นดูข้าวของจากร้านค้าในสถานีเผื่อได้อะไรติดไม้ติดมือบ้าง เพราะนี่ก็ล่วงเลยมาหลายวันจนข้ามประเทศมาก็แล้ว ทุกคนแทบจะยังไม่ได้อะไรเป็นของที่ระลึกหรือของฝากกันเลย มากับทัวร์นี้ลำบากก็ตรงนี้ เพราะหัวหน้าทัวร์กับผู้ช่วยไม่เน้นช้อปปิ้งเลยไม่ค่อยจัดเวลาให้ลูกทัวร์ช้อปปิ้งกันตามอัธยาศัย เว้นแต่การไปพวก grocery จับจ่ายวัตถุดิบมาทำกับข้าวอันนี้พาเข้าเกือบทุกวัน ใครที่ริจะมาทัวร์นี้ต้องทำใจเพราะเราสองคนสายเที่ยวค่ะ ไม่ใช่สายช้อป

เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Milano Centrale พวกเราตื่นตาตื่นใจกันมาก ต้องยอมรับเลยว่าประเทศอิตาลีน่าจะมีสถาปัตยกรรม ประติมากรรมแทบจะทุกตารางนิ้วของประเทศเลยกระมัง เพราะไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางใด ก็จะมีรูปแกะสลักบ้าง ภาพวาดบ้าง อะไรต่อมิอะไรทำนองนี้ไม่ได้ว่างเว้น ผนัง ฝ้า เพดาน เสา ประตู พื้น ฯลฯ คือมีอะไรตรงไหนทุกองค์ประกอบก็ต้องมีงานศิลปะอยู่ในนั้นเกือบทั้งร้อย มันจะมีความเจริญทางวิทยาการอะไรกันได้ขนาดนี้ ไม่เข้าใจ จะให้หนูเล็กหลงรักอะไรนักหนา


และแล้วเพราะการไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้านี่เอง ทำให้เราพลาดไปถนัด เมื่อไปซื้อตั๋วรถไฟที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ และเลือกหาเวลาที่ต้องการ หนูเล็กพบว่ารถไฟขบวนที่เร็วที่สุดที่เราจะไปได้คือเวลา 12.10 น. นั่นหมายความว่าพวกเราต้องนั่งคอยอีกเกือบสองชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก OMG!!!



คนไฮเปอร์เรื่องเที่ยวอย่างหนูเล็กจะนั่งรอเวลาอยู่นิ่งๆ อย่างนี้ได้ถึงสองชั่วโมงเชียวรึนี่ คงต้องทำอะไรกับสถานการณ์นี้สักอย่างแล้วละพี่ใหญ่ หนูเล็กไม่อาจทนนั่งอยู่ในสถานีรถไฟนิ่งๆ ได้นานขนาดนั้น อย่างน้อยต้องหาที่เดินเล่นที่ไหนสักแห่ง ชวนให้พี่ใหญ่ไปด้วยกันก็บอกว่าขอตัวเพราะอยากเดินดูร้านรวงในสถานีมากกว่า ส่วนจะชวนลูกทัวร์อีกสามคนก็ดูท่าจะไม่มีใครสนใจไปออนทัวร์กับหนูเล็กเป็นแน่ เพราะเมื่อเข้ามาภายในสถานี Milano Centrale เจอกับสัญญาณ Free Wifi กันเท่านั้นละก็ไม่เป็นอันทำอะไร ตั้งอกตั้งใจเล็งหน้าจอกันอย่างเดียวเลย เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้การผจญภัยแบบโดดเดี่ยวผู้น่ารักในมิลานก็เริ่มต้นขึ้น

พี่ใหญ่เอาตั๋วรถไฟให้หนูเล็กเก็บรักษาไว้เลยหนึ่งใบ หากมีอันจะต้องแคล้วคลาดกันตอนขึ้นรถไฟก็ให้ไปเจอกันที่ปลายทางก็แล้วกัน เพราะตั๋วรถไฟเป็นรถไฟชั้นสอง ไม่มีการสำรองที่นั่ง ส่วนสัมภาระไม่ต้องเป็นห่วงจะดำเนินการดูแลเอาไปให้ จะว่าไปแล้ว ณ เวลานั้นเมื่อได้ยินอย่างนี้ก็ให้ใจหายนิดๆ เพราะที่ผ่านมาเราสองคนเที่ยวด้วยกันตลอด แทบไม่เคยแยกจากกัน ไม่มีใครไปกับเรา เราก็ไปกันสองคน หากครั้งนี้มีอันต้องแคล้วคลาดให้ต้องแยกกันเดินทางก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้โหวงๆ อยู่เหมือนกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย เป็นการผจญภัยอยู่ในแผ่นดินที่เราทั้งสองไม่คุ้นเคย นอกจากเราจะต้องรับผิดชอบตัวเรากันเองแล้ว เรายังต้องรับผิดชอบลูกทัวร์ที่เราพาเขามาอีก 3 คน และหากว่าหนูเล็กกลับมาคลาดกับสมาชิก นั่นก็หมายความว่าพี่ใหญ่จะต้องรับภาระดูแลบุคคลทั้ง 3 คนแต่ลำพังผู้เดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรเลย เอาน่ะ สายเที่ยวอย่างหนูเล็กเอาตัวรอดกับทุกสถานการณ์เช่นนี้ได้เสมอ ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ว่าแล้วก็รับตั๋วรถไฟมาเพื่อความสบายใจของพี่ใหญ่และออกเดินทางผจญภัยในมิลานภายในเวลา 2 ชั่วโมงนี้ให้สำเร็จตามความตั้งใจแค่นั้นเป็นพอ

เพื่อให้ Mission นี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หนูเล็กเลือกใช้บริการรถไฟใต้ดินจากสถานี Milano Centrale มุ่งสู่สถานี Duomo เส้นทางที่คุ้นเคย เพื่อที่ว่าขากลับก็จะสามารถกลับได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน และก็ถือโอกาสนี้ในการแวะอำลาสิ่งก่อสร้างในดวงใจอีกครั้งก่อนจากกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง หรืออาจไม่มีโอกาสอีกตลอดชีวิตก็เป็นได้



เมื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดินโผล่ขึ้นมาด้านบน มหาวิหาร Duomo ก็โดดเด่นท่ามกลางฟ้าใส แดดจัด หนูเล็กเลือกเปลี่ยนเส้นทางเดินไปทางอื่นที่ยังไม่ได้ไปดูบ้าง ถ้าจะนับเป็นข้อดีของการเที่ยวคนเดียวก็คือตรงนี้ คืออยากเดินไปทางไหนก็ไป ตามแต่ใจเรา เพราะถ้าให้คนอื่นๆ เดินเที่ยวตามเราตลอดบางทีเขาอาจจะเบื่อ


หนูเล็กแวะเวียนเข้าไปบริเวณ Piazza dei Mercanti บริเวณนี้จะมีอาคารเก่าๆ อยู่สองหลัง หลังแรกคือ Palazzo della Ragione หรือถ้าเป็นคำภาษาอังกฤษก็คือ Palace of Reason เป็นอาคารที่ทำการด้านบริหารราชการงานเมืองของมิลานในยุคเก่า มีภาพแกะสลัก ประติมากรรมต่างๆ ที่งดงามเก่าแก่ ส่วนอีกอาคารใกล้ๆ กัน เดี๋ยวเราค่อยมาเดินผ่านตอนขากลับ

เป้าหมายของหนูเล็กคือเดินไปยังถนนคนเดินที่ชื่อว่า Via Dante จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรคึกคักมากมายในเวลานี้ แค่อยากไปเห็นบรรยากาศเท่านั้นเอง ถนนเส้นนี้จะมีร้านค้าต่างๆ ตลอดสองข้างทาง ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเพื่อจับจ่ายซื้อข้าวของ คงเป็นเพราะยังค่อนข้างเช้า ทำให้ถนนเส้นนี้ยังไม่ค่อยคึกคักเท่าใดนัก ร้านอาหารก็เพิ่งมีลูกค้ามานั่งเพียงไม่กี่โต๊ะ หนูเล็กเดินไปจนสุดทางแล้วก็ย้อนกลับ ระหว่างเดินถ่ายรูปสถานที่สวยๆ วิถีชีวิตผู้คน หนูเล็กไม่ลืมที่จะคอยยกนาฬิกาดูเวลา เพื่อไม่ให้พลาดเวลาการเดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ


เมื่อคำนวณเวลาเดินทางสู่ Milano Centrale แล้วจะเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง หนูเล็กก็เดินกลับมายังบริเวณ Piazza dei Mercandi เหลืออีกหนึ่งอาคารที่ยังไม่ได้ชม นั่นคือ Palazzo dei Giureconsulti อาคารนี้เป็นสิ่งก่อสร้างตั้งแต่สมัยยุคกลางหรือศตวรรษที่ 16 เช่นกัน อาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยมีการปรับปรุงให้มีรูปลักษณ์สมัยใหม่ขึ้นคือ หอระฆัง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Zavataria แต่ภายหลังระฆังก็ถูกทดแทนด้วยนาฬิกาดังภาพที่หนูเล็กเก็บมาฝาก ที่นี่เคยถูกทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยค่ะ แต่ได้รับการบูรณะกลับมาจนเหมือนใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มความทันสมัยต่างๆ ลงไปด้วย ซึ่งหลังการบูรณะใหม่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Palazzo Affari แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังติดกับชื่อเดิมกว่า


หลังจากชมความสวยงามตรงนี้เสร็จ หนูเล็กก็มาทะลุออกยัง Piazza del Duomo พอดี หนูเล็กจึงเก็บภาพมหาวิหารในดวงใจแห่งนี้ไว้อีกครั้งก่อนจากลา ภาพความงดงาม อลังการนี้คงติดตาตรึงใจไปอีกนานเท่านาน เมื่อส่งสายตาอำลาเป็นที่เรียบร้อย หนูเล็กก็มุดลงสู่ใต้ดินจับรถไฟใต้ดินมุ่งหน้ากลับไปยังสถานีรถไฟ และไปถึงที่หมายในเวลา 11.45 น. ได้เจอกับพี่ใหญ่ที่เดินมาเข้าห้องน้ำพอดิบพอดี


เมื่อแหงนหน้าดูที่บอร์ดประกาศชานชาลา ขบวนรถไฟที่เราจะใช้ในการเดินทางสู่ Varenna ยังไม่ปรากฏเลขชานชาลาเลย จึงมีเวลาให้หนูเล็กนั่งพักเหนื่อยได้สักครู่


รีวิวตอนนี้ ดูจะไม่ได้ข้อมูลครบทุกด้าน เพราะระหว่างที่หนูเล็กมาผจญภัยอยู่กลางกรุงมิลาน พี่ใหญ่และเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน ทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง หนูเล็กไม่รู้เลย และก็เช่นกันวันนี้ที่รีวิวเรื่องนี้ลงเผยแพร่ ทั้งพี่ใหญ่และเหล่าสมาชิกก็เพิ่งจะได้รู้ในเวลานี้เหมือนกันว่า ในวันนั้นหนูเล็กไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมาบ้าง ความลับของหนูเล็กมาเปิดเผยในวันนี้แล้วค่ะ

สักพักคงได้เวลาออกเดินทางไป Varenna ให้สมกับชื่อตอนแล้ว แค่รอรถไฟเข้าเทียบชานชาลาเท่านั้น เตรียมออกเดินทางด้วยกันค่ะ

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

ความคิดเห็น