จากตอนที่แล้ว พวกเราเดินทางมาถึง Varenna กันแล้ว แค่หยุดพักเอาแรง
เพื่อจะได้ออกไปทำความรู้จักกันแบบพอหอมปากหอมคอ
เมื่อแดดร่มลมตก พวกเราพากันออกไปเดินแนะนำตัวกับ Varenna กันสักหน่อย จะว่าไปมาเที่ยวหน้านี้ดีตรงมืดช้า แต่ข้อเสียคือกว่าแดดจะหมดนี่สิ หกโมงบางทียังไม่ค่อยอยากจะหมดเอาเลย ร้อนนนนนน
Varenna เป็นหนึ่งในเมืองริมฝั่งทะเลสาบ Lake Como ในแคว้น Lombardy ของอิตาลี อยู่ไปทางเหนือของ เมืองมิลาน เพียง 60 กม. และเดินทางสะดวกโดยรถไฟท้องถิ่น สาย Milan - Tirano ถูกก่อตั้งโดยชาวประมงท้องถิ่นในปี 769 หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ สร้างลดหลั่นตามเนินเขาเลาะเลียบ Lake Como โดยมีอีกสองเมืองคือ Bellagio และ Menaggio ตั้งอยู่อีก 2 ฟากฝั่งทะเลสาบและสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ด้วยเรือ ปัจจุบัน Varenna เป็นเหมือนอีกหลายๆ เมืองริมฝั่งทะเลสาบที่กลายเป็นที่พักผ่อนหรือคฤหาสถ์ริมน้ำของเหล่าเศรษฐีและดาราชื่อดัง ตามแนวเนินเขาแน่นขนัดไปด้วยบ้านสีเหลืองสดหลายหลังที่ถูกขนาบด้วยซอกเล็กซอยน้อย เป็นเมืองที่ผู้คนนิยมเดินทางมามากที่สุด อาจเพราะเดินทางสะดวกและใช้เป็นศูนย์กลางในการเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ รอบๆ Lake Como ได้สะดวก
เราเดินมายังจุดแรกเมื่อตอนมาถึงนั่นคือ Piazza San Giorgio ที่ชื่อดังนี้ก็เพราะมีโบสถ์ San Giorgio เป็นโบสถ์ประจำเมืองตั้งอยู่ ก็ที่มีหอระฆังดังเหง่งหง่างนั่นล่ะ แต่โบสถ์ปิดแล้ว พวกเราจึงไม่อาจเข้าไปชมด้านในได้
Piazza San Giorgio
โบสถ์ San Giorgio โบสถ์ประจำเมือง
ทำความรู้จักกับโบสถ์ประจำเมืองกันแล้วทีนี้ก็เดินเลาะเลียบลงไปชมวิวพันล้านริมทะเลสาบกัน พวกเราต้องไต่ลงไปยังทางเดินด้านล่างตามซอกตึกแคบๆ สักพักก็จะลงไปถึง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าต้องบอกว่าเป็นวิวพันล้านจริงๆ ค่ะ สวยหยุดโลกไปเลย แค่ยืนมองนิ่งๆ ก็มีความสุขแล้ว วิวแบบนี้หากใครได้เคยไปออสเตรีย เขาบอกว่า สวยงามไม่แพ้เมืองริมทะเลสาบแบบ Hallstatt ที่ใครๆ ก็พากันเดินทางไปชมความงามอยู่เหมือนกัน
ทางเดินลงสู่ริมน้ำค่ะ
หลังยืนเก็บภาพด้วยกล้องและบันทึกความงามนั้นด้วยหัวใจ พวกเราก็เดินเลาะเลียบริมน้ำไปตามทางเดินผ่านร้านอาหารที่ผู้คนนิยมมานั่งกินดื่ม ได้อิ่มทั้งอาหารและบรรยากาศ ผ่านร้านของที่ระลึกเก๋ๆ มากมาย และแล้วก็มาหยุดกันตรงร้าน Gelato ที่ได้รับการโหวตจากเว็บไซต์อย่าง Tripadvisor ให้ร้านไอศกรีมเจลาโต้แห่งนี้เป็นร้านที่อร่อยและรสชาติดีที่สุดใน Varenna แล้วมีหรือที่พวกเราจะพลาด ก็จัดไปคนละหนึ่งโคนตามระเบียบ จากนั้นต่างคนก็ต่างหามุมฟินกันไป ปากก็อร่อยกับไอศกรีม ส่วนตาก็ชมวิวงามๆ อะไรมันจะสุขได้ขนาดนี้ อ่านแล้วกรุณาอย่าอิจฉา เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ
ยืนยันความอร่อยด้วยตู้ที่เริ่มว่างเปล่า
หลังจากอร่อยลิ้นกับเจลาโตกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราพาตัวเองไปนั่งทอดอารมณ์ชมวิวริมทะเลสาบกัน การได้มานั่งปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปแบบนี้บ้างนับเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหลายวันมานี้เราใช้ชีวิตกันในเมืองใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คน ตึกรามบ้านช่องและความเจริญ สิ่งเหล่านั้นมาพร้อมๆ กับความวุ่นวาย เร่งร้อน รังแต่จะนำมาเรื่องน่าปวดหัวมาเยือน
Lake Como หรือภาษาอิตาลีเค้าเรียกที่นี่ว่า Lago di Como อยู่ในแคว้นลอมบาร์เดีย เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งและทิ้งน้ำไว้จำนวนมากเมื่ออุณหภูมิของโลกเริ่มอบอุ่นขึ้น จนกลายเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอิตาลี มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 146 ตารางกิโลเมตร ความลึกของพื้นน้ำนั้นลึกถึง 400 เมตร จึงทำให้มันเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปเลยทีเดียว แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือที่ก้นทะเลสาบนั้น มีระดับต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 200 เมตร มีลักษณะคล้าย wishbone กระดูกสองง่ามของนกส่วนหน้าอก ที่เอาไว้ใช้สำหรับอธิษฐาน
ทะเลสาบโคโมเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับเศรษฐี และชนชั้นสูงมาตั้งแต่ยุคโรมัน จวบจนถึงปัจจุบันและยังเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญเพราะมีทัศนียภาพที่สวยงามจากเทือกเขาสลับซับซ้อนที่รายล้อมโอบกอดทะเลสาบเอาไว้
พวกเรานั่งทอดอารมณ์ ทอดอาลัย จนพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงไฟที่เริ่มทยอยเปิดขึ้นตามบ้านทำให้เกิดแสงวิบวับเพิ่มเสน่ห์ให้ทะเสสาบแห่งนี้มีบรรยากาศชวนฝันยิ่งขึ้นไปอีก
นี่เองคือเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนหลงไหลราวต้องมนต์สะกด ทะเลสาบโคโม่จึงเป็นปลายทางที่ทำให้ใครต่อใครอยากมานั่งอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้สักครั้ง และพวกเราก็เช่นกัน
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.18 น.