เหนื่อยกันหรือยังคะ จากตอนที่แล้ว หนูเล็กพาเดินเที่ยวที่ Doge's Apartment จนคอตั้งบ่ากันไปแล้ว

https://th.readme.me/p/8050

วังของโดจใหญ่ขนาดนี้ ต้องตัดมาเขียนถึงสามตอนถึงจะพาเดินทั่วค่ะ อีกห้องหนึ่งที่เป็นห้องสำคัญและอลังการไม่แพ้กันก็ต้องห้องนี้ค่ะ The Sala del Maggior Consiglio หรือ Hall of the Great Council เป็นห้องประชุมที่ใหญ่เบ้อเร่อแถมมีงานศิลปะที่อลังการงานสร้างมากมาย ห้องนี้ของเดิมถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี ค.ศ.1577 ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ระหว่างปี ค.ศ.1578 - 1594 ความอลังการงานสร้างมาจากงานศิลปะ ที่หนูเล็กชมแล้วรู้สึกขนลุกก็คือภาพ Paradise ของ Tintoretto ที่ผนังด้านหลังที่แสดงให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือของศิลปิน เขาทำได้อย่างไรกันนี่อยากรู้จริงๆ เวลาเรียกประชุมคงสร้างความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ได้น่าดูเลย ได้เห็นของจริงแล้วมันตะลึงพรึงเพริศบอกไม่ถูก ถ้าพูดถึงความงดงามมันก็งดงามมาก แต่เมื่อตั้งใจมองจริงๆ มันก็แสดงความยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูกอย่างที่ว่า

ภาพนี้เป็นภาพวาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาด 570 ตารางฟุต ในภาพมีพระเยซูและพระแม่มารีอยู่ตรงกลาง มีคนกำลังขึ้นสรวงสวรรค์ถึง 500 คนรายรอบอยู่ ภาพนี้ต้องการสร้างความรู้สึกของชาวเวนิสว่า การได้ขึ้นสวรรค์ไม่ใช่เป็นเพราะเป็นคริสเตียนที่ดี แต่เป็นเพราะว่าเป็นชาวเวนิสที่ดีมากกว่า นั่นคืออยากให้เชื่อ Doge มากกว่าเชื่อ Pope มีเรื่องเล่าว่าวันที่ Tintoretto วาดรูปนี้เสร็จลูกสาวของเขาเสียชีวิตพอดี เขาจึงวาดภาพลูกสาวเพิ่มลงไปเป็นคนที่ 501 ลองนับดูก็ได้นะคะว่าจริงอย่างที่ว่าไหมที่มีคนในภาพถึง 501 คน ส่วนคนไหนเป็นลูกสาวของ Tintoretto ก็ต้องเดาเอาเองค่ะ หนูเล็กก็ไม่รู้จักเหมือนกัน (555)

เดินชมห้องหับต่างๆ ภายในวังของโดจแล้วทำให้เห็นได้เลยว่าเวนิสตั้งใจที่จะสร้างวังไว้โชว์สายตาชาวบ้านถึงความมั่งมี ร่ำรวย อย่างแท้จริง ทุกห้องทุกสิ่งถึงได้แสดงถึงความเป็นที่สุดได้เสียขนาดนี้ แม้ว่าในสายตาหนูเล็กแล้วอาจจะดูเยอะ ดูมากมายไปสักนิดกับศิลปะและการตกแต่งที่อัดแน่นเต็มปรี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองทางศิลปะของเวนิสอย่างแท้จริง ก็นับเป็นโอกาสที่ดีที่ครั้งหนึ่งได้เดินทางมาเห็นกับตาของตนเองเช่นนี้ แม้จะมีโมเมนท์สะพรึงนิดๆ กับศิลปะที่เยอะๆ แบบนี้ไปบ้างก็ตาม

เมื่อชมความงามของห้องหับต่างๆ ของโดจเรียบร้อย จะมีทางเดินหนึ่งที่พาเราไปสู่สะพานชื่อดังของเวนิสอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ Bridge of Sighs หรือ Ponte dei Sospiri ที่มักแปลเป็นไทยกันว่า สะพานทอดถอนใจ เดิมมีชื่อว่า Bridge of Prison ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602 สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้า และทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต สาเหตุที่ได้ชื่อเช่นนี้เป็นเพราะเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างวังของโดจที่เมื่อพิพากษาคดีนักโทษเรียบร้อยก็จะลำเลียงนักโทษไปยังคุกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน

ชื่อ Bridge of Sighs นี้มาตั้งขึ้นในภายหลัง โดยนักเขียนชื่อ Lord Byron โดยสร้างจินตนาการว่าเมื่อนักโทษได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันครั้งสุดท้ายเมื่อเดินผ่านสะพานนี้จะรู้สึกทอดถอนใจ วิวที่เห็นจากสะพานนี้สามารถมองได้สองฝั่งคือฝั่งด้านตัวเมืองและฝั่งด้านทะเล จุดนี้จะเป็นจุดสุดท้ายที่นักโทษจะได้เห็นแสงสว่างก่อนเดินเข้าคุก และจะต้องถอนหายใจออกมาเพราะรู้ตัวว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้เห็นแสงสว่างอีกแล้ว ว่ากันว่ามีเพียงคนเดียวที่ได้ออกมาจากคุกแห่งนี้ นั่นคือ คาสโนว่า นักรักผู้ยิ่งใหญ่

หนูเล็กลองเดินบนสะพานนี้และส่องกล้องออกมาเพื่อให้ได้อารมณ์เดียวกันกับนักโทษเหล่านั้น และเพื่อให้ได้ความรู้สึกเดียวกันก็ต้องถอนหายใจขณะเดินผ่านด้วยค่ะ

ภาพที่มองออกไปด้านนอกทั้งฝั่งเมืองและฝั่งทะเลจะเห็นว่ามีเรือกอนโดลาลอดผ่านเป็นระยะๆ นั่นเป็นเพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ว่า ถ้าคู่รักคู่ใดได้นั่งเรือกอนโดลามาจูบกันที่ใต้สะพานนี้ ความรักของทั้งคู่จะเป็นอมตะ ก็ว่ากันไปค่ะ จริงเท็จอันนี้ต้องไปพิสูจน์กันเอาเอง

จะว่าไป บริเวณสะพานแห่งนี้เป็นทั้งบริเวณที่มีทั้งความหวังและความสิ้นหวังระคนกันอยู่ หนึ่งคือจากหนุ่มสาวคู่รักที่มีความรัก ความหวังว่าเขาจะครองคู่กันเป็นอมตะ อยู่กันไปจนแก่เฒ่า หรือความตายมาพรากจาก ในขณะที่อีกทางหนึ่งนั้น เป็นจุดสุดท้ายของผู้ที่กำลังจะสิ้นหวัง หมดความหวังทั้งมวลในชีวิต สถานที่แห่งนี้นับเป็นแสงสุดท้ายที่จะได้เห็น เป็นสัญญาณบอกให้เขารู้ว่า วันเวลาแห่งความหวังได้หมดลงที่ปลายสะพานข้างหน้านี้แล้ว

และเพื่อความสมจริง หนูเล็กได้เข้าไปเก็บภาพบรรยากาศในคุกขังนักโทษมาให้ชมด้วย เห็นแล้วบรรยากาศชวนหดหู่จริงๆ ก็ไม่แปลกค่ะที่นักโทษจะอยากมองความงามของเวนิสผ่านช่องแสงของสะพานนี้สักครั้งก่อนที่จะไม่มีโอกาสนั้นอีกเลยตลอดชีวิต เดินตอนแรกๆ ก็ไม่เท่าใดนะคะ แต่พอเดินๆ ไป เหลือตัวเราเดินอยู่คนเดียว อดหวาดๆ ไม่ได้ค่ะ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า คุกแห่งนี้มีคนรอดออกไปได้แค่เพียงคนเดียว นั่นแปลว่า...ที่นี่มี.....บรื๋อออออ คิดขึ้นมาก็รีบก้าวเท้าเลยค่ะ

ชมวังของโดจกันหมดไส้หมดพุงกันแล้วค่ะ ก่อนอำลาจากวังของผู้ปกครองเวนิส หนูเล็กขอพาทิ้งทวนเดินสำรวจและเก็บภาพบริเวณลานด้านล่างอีกครั้งระหว่างรอสมาชิกที่กำลังจะตามลงมา

และเมื่อทุกคนมาพร้อมกันก็พากันเดินออกมาทางประตูทางเข้าวังที่ติดกับวิหารเซนต์มาร์ค จริงๆ แล้วทางนี้ถือเป็นทางเข้าหลักของวัง แต่เขาไม่ได้ให้นักท่องเที่ยวเข้าด้านนี้ ให้ไปเข้าด้านข้างและมาออกด้านนี้แทน ทางเข้านี้เรียกว่า Porta della Carta สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1438 โดย Bartolomeo และ Giovanni Bon แต่คนทั่วไปมักเรียกประตูนี้ว่า Paper Gate สาเหตุที่เรียกแบบนี้เป็นเพราะเขาใช้เป็นที่ติดประกาศข่าวสารหรือกฎหมายของทางราชการ เมื่อเดินออกมาอย่าลืมที่จะแหงนหน้าชมซุ้มประตูอายุกว่า 500 ปีนี้ เป็นซุ้มประตูแบบ Byzantine ดั้งเดิมที่ตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ มีหินอ่อนแกะสลักเป็นรูปสิงโตมีปีกสัญลักษณ์ของเวนิสกับโดจที่ชื่อว่า Francesco Foscari แต่รูปแกะสลักทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ เนื่องจากของเดิมถูกทำลายโดยกองทัพนโปเลียนเมื่อคราวบุกยึดกรุงเวนิสเมื่อปี ค.ศ.1797

และตรงประตูนี้เช่นกัน ก็จะเป็นบริเวณที่ชาวเมืองจะใช้ในการมาติดต่อร้องเรียน นำเอกสารร้องเรียนมายื่นเพื่อส่งให้โดจและสภาร่วมกันพิจารณาต่อไป นั่นเป็นเพราะสมัยก่อนชาวเมืองเวนิสก็ไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปด้านในเช่นกัน ผู้ที่จะเข้าไปในวังของโดจได้ จะมีเฉพาะแขกผู้ทรงเกียรติของโดจเท่านั้น ซึ่งจะมีสิทธิ์เดินผ่านประตูนี้และเดินไปขึ้นบันไดอลังการ (Scala dei giganti) ที่มีเทพ Mars และ Neptune ยืนเฝ้าอยู่เพื่อขึ้นไปเฝ้าโดจที่ห้องด้านบนนั่นเอง

ไม่ไกลกันจะมีเสาหินสองต้นแกะสลักด้วยศิลปะ Byzantine ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5-6 มาจากประเทศซีเรีย ลวดลายงดงามมากมาย จนหนูเล็กอดเก็บภาพมาเป็นที่ระลึกไม่ได้

หนูเล็กพาเที่ยววังของโดจมาจนเต็มอิ่มแล้ว ถ้าจะให้พูดตามจริงการมาเยี่ยมชมวังของโดจแห่งนี้อาจไม่เหมาะนักกับผู้ที่ไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ถ้าจะให้หนูเล็กแนะนำก็คงต้องบอกว่าดูแค่น้ำจิ้มที่เอามาฝากก็พอหากไม่นิยมแนวนี้แบบหนูเล็กก็อย่าเสียเงินซื้อตั๋วเข้ามาดูเลย เสียดายเงินเปล่าๆ เพราะค่าตั๋วก็ไม่ได้ถูก แต่ถ้าอยากมาดูมาเห็นถึงความอลังการของศิลปะ งานฝีมือคือมาเห็นด้วยตาตัวเอง ได้ใช้เวลาละเมียดละไมในการชม การเสียเงินค่าเข้าเพื่อมาชมเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ดีเหมือนกันค่ะ

เราสำรวจวังของโดจกันมาต่อเนื่องสามตอนแล้ว แต่ตั๋วยังสามารถไปชมพิพิธภัณฑ์ได้อีก ไว้มาตามกันต่อค่ะ หนูเล็กจะพาไป

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/


Piyai&Noolek

 วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 19.46 น.

ความคิดเห็น