หลังจากที่ผมอึดอัดและเก็บกดเพราะไม่ได้ไปเที่ยวอยู่นาน...ในที่สุด...ความฝันก็เป็นจริง!! วันที่ผมจะได้ไปปลดปล่อย ณ กาญจนบุรีนั่นเองงงงง!!! อันที่จริง จังหวัดนี้อยู่ในแพลนของผมมานานแล้ว ว่าจะมาเที่ยวตั้งแต่หน้าหนาวแต่ติดโน่นนี่นั่นมากมายก่ายกองเสียก่อน เลยเป็นอันต้องยกเลิกไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจซักเท่าไหร่ แต่เหมือนว่าฟ้ามีตา ส่งทริปครอบครัวหรรษามาให้กระผมโดยการนำของเสด็จแม่ที่เคารพ ดังนั้น ในทริปนี้เลยเป็นการเที่ยวแบบเที่ยวจริงๆ ไม่ต้องคำนวนเงินในกระเป๋า ไม่ต้องกลัวเราไม่มีที่พัก เพราะท่านแม่จัดแจงไว้ให้เสร็จสรรพชนิดที่เรียกว่าทัวร์อายเลยทีเดียว!

ออกเดินทาง

เราออกเดินทางวันที่ 14-3-2560 เวลา 7:00 น.

ถามว่าสายไหม...สาย! ไม่เป็นไร วันนี้ทดเวลาบาดเจ็บไปไม่นานล้อก็หมุนออกตัวจากบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ ก่อนออกมาผมเดินไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเพื่อเป็นเสบียงไว้สำหรับมื้อเช้า...จึงได้รู้ว่า...อากาศขณะเช้านี้ ขนาดแสงจากพระอาทิตย์ยังขึ้นไม่เต็มที่ดี อากาศก็ชิงร้อนจนเหงื่อไหลแล้ว ดังนั้น ที่กาญคงมีความร้อนที่รอเราแบบไม่ปราณีเราอย่างแน่นอน!


เปิดวาร์ป

ในเมื่อไม่ได้ขับรถเอง...เราก็ต้องเป็นผู้โดยสารที่ดี...หลับสิครับจะได้ไม่ส่งเสียงรบกวนคนขับรถ 55555+ รู้สึกตัวอีกที...เอ้า!!! อยู่กาญจนบุรีแล้วหร๊อออออ บ๊ะ ตื่นมาก็หิวเลยแหะ...พ่อผมเองก็หิวเช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่เราทำเมื่อถึงสะพานมอญ มิใช่การชื่นชมความงามในอุณหภูมิที่สูงจนละลายเราได้ แต่เป็นการหาที่กินก่อนจะหิวตายนั่นเอง!!!

'แพมิตรสัมพันธ์' ... ชื่อแพร้านอาหารที่เราเลือกลงไปกิน ที่นี่บริการเป็นกันเองมากครับ ราคาก็อยู่ในระดับที่ไม่แพงที่สำคัญมีบริการเรือพาเราไปชมวัดที่โผล่ขึ้นจากน้ำกันด้วย โดยราคาอยู่ที่

1 วัด 300

3 วัด 500

ทั้งสองราคารู้สึกว่าจะได้ไม่เกิน 6 คนนะครับ...แต่ก่อนจะเลยไปเรื่องขึ้นเรือ มาดูเมนูแนะนำที่นี่ก่อนเลยดีกว่า นั่นก็คืออออ... "น้ำพริกปลาย่าง"นั่นเองงงง....ไม่ใช่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนะ แต่ว่ามือสั่นจากการหิวจัด ภาพจึงเบลอแบบมองแล้วดูไม่ออกว่ามันน่ากินขนาดไหน เอาเป็นว่ามาเมื่อไหร่อยากให้ลองชิมดู ... ถามว่าเผ็ดไหม ... เผ็ด!! แต่อร่อยมากจนต้องทนนั่งกินให้เหงื่อแตกแบบยิ้มทั้งน้ำตา 555+

ร้านนี้อยู่ติดกับสะพานมอญเลยนะครับ กินไปชมวิวไป ฟินมากท่ามกลางความร้อนที่ล้อมรอบเรา 555+ ทางร้านก็พยายามลดความร้อนให้เราโดยสปริงเกอร์พ่นน้ำอยู่บนหลังคา ช่วยให้ความร้อนซาๆลงไปหน่อย

เมื่อกินเสร็จแล้วหากติดต่อเรือที่นี่ ไม่ต้องเดินไปหาเรือไกล เดี๋ยวเขาสั่งเรือมารับใกล้ๆโต๊ะเลย...OMG!...ดูแลดีแหะ 555+


ล่องเรือหาวัด

เราตัดสินใจไปมัน 3 วัดเลย เพราะไหนๆก็มาแล้ว แต่ความโชคร้ายคือวัดที่สามโผล่มาแค่ครึ่งเดียวลงไปดูไม่ได้!! เอาหนะๆไม่เป็นไร มีตั้งสองวัดรอเราอยู่ ลุย!!!

เริ่มกันที่วัดแรก ถ้าจำไม่ผิดคนขับเรือบอกว่าที่วัดนี้เป็นวัดของหลวงพ่ออุตตะมะครับ สวยงามได้มนต์ขลังเป็นที่สุด!

ที่นี่มีบริการดอกไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะพระโดยคิดอยู่ชุดละ 20 บาทครับ

นอกจากความสวยงามต่างๆแล้ว ผมขอประนามผู้ที่มาท่องเที่ยวและทำพฤติกรรมแบบนี้ไว้ด้วยครับ ... ใครพบเห็นฝากบอกมันทีว่า อยากเขียนก็ไปขูดกำแพงบ้านตัวเองโน่น ที่นี่เขารักษาไว้เพื่อให้เราได้มาชื่นชม ไม่ใช่เพื่อให้มาทำลาย เข้าใจบ่!

วัดที่สองที่เราจะไปนั่นก็คือ 'วัดสมเด็จเก่า' ซึ่งพอมาถึงที่นี่ สะภาพกลุ่มเราก็แทบจะไม่อยากเดินไปไหนเพราะกำลังจะตายด้วยไอแดด แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มาถึงนี่แล้ว ค่าเรือก็เหมามาแล้ว ลงไปดูซะหน่อยจะเป็นไรไป พวกเราเลยตัดสินใจหอบสังขาลเดินขึ้นบรรไดไปไหว้พระที่วัดนี้กันต่อครับ

ทางขึ้นไปวัดระยะทางประมาณ 80 เมตรตามเด็กเรือบอก ด้านหน้าทางขึ้นมีร้านอาหารและน้ำขายเป็นหย่อมๆ แต่ผมสะดุดตากับร้านนี้เป็นพิเศษ

"มะพร้าวเป็นๆ" !?!?!?!?!?! เห็นแล้วอดนึกถึงร้านปูเป็นๆตามทะเลไม่ได้ 55555+

เอาหละๆแวะนานไปละเดินขึ้นบรรไดไปไหว้พระดีกว่าครับ

ที่ฐานวางธูปเทียนมีร่องรอยของการไหม้น่าจะเกิดจากการจุดเทียนแล้วล้ม...ดังนั้น...จะจุดไฟก็ระวังกันด้วยนะคร้าบบบบ

ไหว้พระพักเหนื่อยสมใจก็ได้เวลาอำลาที่นี่กันเสียที...แหม่ เอาจริงๆยังไม่ชื่นใจเท่าไหร่เลย อยากอยู่นานๆกว่านี้แต่อากาศไม่เต็มใจให้อยู่เท่าไหร่ เลยต้องยอมจำนนต่อพระอาทิตย์และไอแดดที่แผดเผาเราอยู่อย่างไม่ลดละ...เดินลงมาหันไปทางเรือ...โอ้ว้าวววว...สวยจังไม่ถ่ายไม่ได้เลย!

ขึ้นเรือมาด้วยความเพลียอ่อนเปลี้ยแบบสุดติ่ง นั่งเรือต่อไปอีกที่ที่คนเรือบอกว่าหากจะลงไปดูต้องดำน้ำไปอย่างเดียวเพราะมันโผล่มาแค่ครึ่งเดียว...ที่เหลือจมอยู่ใต้น้ำ...โดยต้องรอช่วงเมษาให้น้ำลดลงไปอีก วัดถึงจะโผล่ขึ้นมา...งั้นเอาเป็นว่าชมแค่ครึ่งเดียวก็พอคงไม่ต้องเสี่ยงตายอะไรขนาดนั้น 555+

ชมวัดเสร็จคนเรือถามว่าจะไปประตูเมืองต่อไหมเป็นประตูที่หงษายกทัพมาตีไทยแต่ต้องเหมาเพิ่ม...เอาจริงๆในใจไม่ได้กลัวเรื่องเงินอะไรกันหรอก แต่ตอนนี้สะภาพเหมือนเป็ดป่วยกันหมดทุกคนแล้วจ้า ขออำลาไว้แปะโป้งก่อนค่อยมาเก็บใหม่วันหลังนะ

เราข้ามมาอีกฝั่งเพราะที่พักอยู่ฝั่งนี้ โดยคืนนี้เราได้พักที่ Cat and Oil ซึ่งผมบอกเลย ราคาพันกว่าแต่วิวนี่หลักล้านได้! ลองไปชมห้องกันก่อนครับ อ่อ...อันนี้สำคัญก่อนจะไปต่อ หากท่านต้องการจะกดตังค์กรุณากดมาตั้งแต่ปั้มนอกเมืองหรือในตลาดก่อนเข้าเมืองนี้เท่านั้นนะครับ เนื่องจากว่าที่นี่ทั้งสองฝั่งไร้ซึ่งตู้ ATM และ ปั้มน้ำมัน เพราะฉะนั้นบริหารให้ดี เดี๋ยวจะเหมือนผมและครอบครัว 555+ วิ่งหากันหัวปั่นเลยทีเดียว

ห้องที่ผมแนะนำเป็นชั้น 3 เท่านั้นนะครับ เพราะจะเห็นวิวสวยที่สุดสำหรับที่นี่ ปล.ไม่มีลิฟท์นะครับ เดินออกกำลังกายกันอย่างเดียวเพื่อสุขภาพที่ดีจ่ะ55+

ห้องน้ำและห้องพักของที่นี่ทำสไตล์ Loft แบบไม่ต้องพึ่งสีทาผนัง...ก็ได้ฟิลแบบ hipster ไปอีกนะ ... น้ำที่นี่ไหลแรงดีครับ มีฝักบัวไว้บริการถึง 2 อันด้วยกัน (อันนึงน้ำเย็นอันนึงน้ำอุ่น) แต่ปัญหาของห้องผมคือการที่น้ำระบายช้านิดหน่อยแต่พอหยวนๆกันได้ไม่ขนาดกลายเป็นอ่างน้ำครับ 555+

เฟอนิเจอร์ที่นี่ดูใหม่และสะอาดดีครับ เสียงอย่างเดียวม่านมันกันแสงไม่ค่อยได้...ที่นี่มีตู้เย็น แอร์ ทีวี ให้แบบครบครันพร้อมระเบียงภายนอกให้ได้ออกไปสูดอากาศพร้อมดูดดื่มกับธรรมชาติที่ฟินแบบโคตรๆ ไม่เชื่อไปดู

ระเบียงห้องที่นี่อยู่ฝั่งสะพานเลยจ้า มองออกไปฟินโคตรกับบรรยากาศทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน มีเก้าอี้นั่งสบายๆกับระเบียงกว้างๆให้นั่งชิลกันแบบเพลินๆจนลืมเวลาไปเลยครับ! ... หลังจากชื่นชมบรรยากาศสุดคลาสสิคไปแล้วร่างกายเริ่มส่งสัญญาณว่าแบตใกล้หมด ขออนุญาติชาร์ตแบตกันตายซักครู่

ตกเย็นนี้ที่สะพานมอญ

"ตื่นได้แล้วลูก" เสียงพ่อตะโกนข้ามห้องมาจากทางระเบียง ผมลุกแบบงัวเงียเพราะเพลียจัด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะลุกไม่ลุกดี ก็แอร์มันเย็นเสียเหลือเกิน ร่างก็อยากจะพักให้หายเหนื่อยแต่ก็นะ มาเที่ยวทั้งที จะมัวนอนตายแบบนี้ได้ไง ฮึบลุกขึ้นมามองหน้าแฟนแล้วจูงมือออกไปลุยจ้า

ผมลากแฟนเดินตามลงไปถ่ายรูปด้านล่างก่อนขึ้นไปชิลกันบนสะพาน ภาพที่ได้ก่อนพระอาทิตย์ลาจากก็ประมาณนี้ครับ

มุมมหาชลจุดนี้มีสะพานทอดผ่านน้ำไปให้ยืนถ่ายกันได้แบบชิลๆ ใครไปก็ลองกะเวลาลงไปถ่ายภาพเก็บเป็นประสบการณ์กันนะครับผ้มมม

จะเซลฟี่ก็ได้นะเอออออ....

ป่ะขึ้นสะพานกันนนน!!!!

เห็นภาพนี้นึกถึงตอนอยู่อินเดียเลยแหะ (แบกของบนหัว)

มนต์เสน่ห์ของที่นี่ไม่เคยเสื่อมหายไปตามกาลเวลาจริงๆ ยิ่งอยู่นานยิ่งทำให้เราหลงไหลแบบลืมเวลาไปเลย ทั้งบรรยากาศ ทั้งลมเย็นๆที่พัดมาปะทะหน้า เสียงของสายน้ำที่แว่วมากับลม มันช่างน่าหลงไหลเสียจริง

ต่อให้บรรยากาศนั้นดีแค่ไหน...ไม่มีเธอก็มันก็คงไม่ดี!! อั๊ยย๊ะ....แอบหยอด!555+

ชื่นชมความงามได้ไม่นานพระอาทิตย์ก็ลาเราไปเหลือไว้แต่ความมืด คงได้เวลาเราหาอะไรกินและกลับที่พักแล้วหละ ปล.ที่นี่ไม่มี 7-11 จะซื้ออะไรอย่ารอให้ดึกมาก รีบซื้อก่อนร้านค้าจะปิดหมดนะครับผ้ม


ตักบาตรยามเช้า ณ สังขละบุรี

ตื่นมายามเช้าแฟนผมปลุกแบบขืนใจโดยการเปิดไฟพร้อมใช้ไดร์เป่าผม!!! แหกตามาด้วยความเพลียแบบต่อเนื่องมาจากเมื่อวานออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ... อู๊วววว อากาศเย็นมากกกก เย็นกว่าเมื่อคืนเยอะเลย เหมือนคนละฤดูกับเมื่อวานตอนกลางวันเลยแหะ!

ที่นี่มีบริการข้าวสารอาหารแห้งไว้ให้แขกซื้อเพื่อตักบาตรด้วยนะครับ เหมาะสำหรับคนอยากทำบุญแต่ไม่มีเวลาจัดหาเอง ลงมาเลยจ้า 99 บาทเท่านั้น ^^

ขอขอบคุณพรีเซนเตอร์ด้วยครับ 555+

ทางที่พักบอกว่าพระจะเดินผ่านมาหน้าที่พักพอดี โดยจะมาเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งเราก็ลงมารอก่อนกำหนด ใจก็กลัวจะไม่ได้ตักบาตร ผมเลยเดินไปดูต้นซอยดูว่าพระมารึยัง...ที่นี่ยังคงมีความเป็นท้องถิ่น มีความเป็นชาวบ้านที่เขารักษาไว้อย่างดี มองกี่ทีๆก็เข้ากับบรรยากาศเย็นๆแบบนี้มากๆ


พระมาแล้ว...รีบเผ่นกลับสิครับรออะไร!!

ตักบาตรเสร็จก็กลับเข้ามายัง Lobby ของที่พัก ที่นี่มีบริการอาหารเช้าคือ ขนมปัง ฮอทดอก และไข่กระทะ ถามว่าผมกินเยอะไหม....ตอบได้เลยว่า "จุกมากกกก"

กินเสร็จโปรแกรมแรกสำหรับวันนี้คือตะลุยวัดบริเวณนี้ ซึ่งที่แรกนั่นก็คือ เจดีย์พุทธคยา นั่นเองงงงงง!! (ใส่เอฟเฟคทีวีแชมป์เปี้ยนไปด้วย)

สำหรับที่นี่ผมไม่ขอเขียนบรรยายอะไรมากแล้วกัน เอาว่ามันสวยขนาดไหนอยากให้ลองมาดูด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิตครับ

และนี่... ขอขอบคุณพี่ที่ร้านค้าผู้ใจดี ร้านพี่ผู้ชายอยู่ด้านข้างวัดมีบริการให้ใส่ผ้านุ่งฟรีสำหรับผู้ที่ลืมเตรียมกางเกงขายาวมา

มาต่อกันที่วัดของหลวงพ่ออุตตะมะ ซึ่งที่นี่เราได้แต่เยี่ยมชมด้านนอกเพราะมีน้องๆระดับแก๊งขวดนมมาทัศนะศึกษาพอดี ไอ้เราก็ไม่อยากไปแย่งเด็กๆชื่นชมความสวยงาม งั้นขอเดินดูรอบนอกพอละค้าบ


ด่านเจดีสามองค์

นอกจากประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีที่มีให้เราศึกษาแล้ว ที่นี่ยังมีตลาดขายของต่างๆด้วย จริงๆไอ้ของที่ขายตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นอะไรเพราะของแบบนี้ที่อื่นก็มี แต่สิ่งสำคัญคือได้มาสักการะเจดีย์ทั้งสามองค์ที่นี่ มาถึงกาญจนบุรีแล้ว พลาดตรงนี้เสียดายตาย....

สำหรับใครที่อยากจะเดินทางไปยังพม่าสามารถเดินทางผ่านทางนี้ได้เช่นกันครับ ซึ่งฝั่งเขตแดนเราก็มีรถของเอกชนไว้บริการผู้ที่อยากเดินทางไปแต่ราคานี่ก็อยู่ที่ต่อรองกันเอานะครับผม


เหนื่อยนักมาพักไทรโยควิวรีสอร์ท

ออกตัวล้อฟรีก่อนเลยว่าผมไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรกับที่นี่ ดังนั้นทุกการชื่นชมมาจากใจตัวเองล้วนๆ!

ผมนั่งหลับบนรถตามความเคยชินเหมือนเวลานักบินอวกาศต้องนอนแคปซูลในหนัง มันเป็นกิจกรรมที่ฆ่าเวลาในการเดินทางได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะเวลาต้องนั่งข้างหลังเนี่ยะ! ลืมตาตื่นมาอีกไม่กี่กิโลก็ถึงละ นั่งลุ้นอยู่ในใจเงียบๆคนเดียวว่ามันจะดีอย่างที่เราคิดไว้รึเปล่า....

พอถึงทางเข้า...โอ้...โคตรจะปลีกวิเวก! ทั้งสวนมัน ป่า อะไรไม่รู้เยอะแยะ ชักจะเริ่มจินตนาการไม่ออกแล้วสิ...ไม่นานนักเราก็มาถึงที่โรงแรม...บ๊ะเจ้า!!!โอ้วววว... พูดไม่ออกเลยทีเดียว

ที่นี่ตกหัวละ 1200 บาท/คืน ถามว่าแพงไหม ตอนแรกผมรู้สึกว่าแพงนะ แต่พอรู้ว่าเราจะได้อะไรบ้าง...เอ้อ ไม่แพงหวะ! โดยส่วนตัวแค่เห็นส่วน Lobby ก็ลืมเรื่องราคาไปแล้วอะ ถึงกับเพ้อเลยทีเดียว! ... รออะไรหละ Check in สิครับผ้มมมม

ตื่นตาตื่นใจกับ Lobby เสร็จแล้วก็ตรงต่อไปยังห้องพักเลยจ้าาา.....

ทางเดินเข้าห้องพักเป็นช่องเดินเล็กๆ ซึ่งห้องพักของเราอยู่บนแพที่ถูกผูกติดกันไว้...เปิดประตูห้องปุ๊บ ปากผมนี่อ้าค้างไว้เลยทีเดียวววว!!

ถามว่าผมโอเคไหม...ผมตอบเลยว่ามากกกก สำหรับสายชอบแนววินเทจๆ ธรรมชาติๆ ห้องนี้น่าจะตอบโจทย์ได้พอสมควรนะครับ โดยในห้องมีแอร์ น้ำอุ่น ไดร์เป่าผม และปลั๊กไฟไว้บริการแต่ปัญหาคือมันมีแค่2รูเสียบ ซึ่งมันออกจะดูน้อยไปนิด

ห้องน้ำดูสะอาดสะอ้านมากครับ แต่แคบไปนิดเพื่อประหยัดเนื้อที่ เวลานั่งถ่ายสามารถแขนวางที่อ่างล้างหน้าแล้วเอาคางเกยได้แบบชิลๆ เก๋ๆไปอีกแบบ ... น้ำอุ่นที่นี่ใช้ระบบแก๊ซ เวลาเปิดน้ำเครื่องทำน้ำอุ่นจะดัง 'พรึ๊บ' ! มีสะดุ้งบ้างตอนแรกๆ แต่พอใช้บ่อยๆก็เริ่มชิน 555+

ที่ผมชอบไม่ใช่แค่ภายในหรอกครับ แต่ภายนอกนี่สิ โคตรโดน!

บรรยากาศดีเวอร์ถ้าไม่นับแสงแดดที่พร้อมจะแผดเผาความชิลให้ระเหยไปตามเหงื่อของเรา แต่ข้อดีของหน้าร้อนคือน้ำใสไหลเย็นด้านล่างนั้นเย้ายวนให้สวมชุดชูชีพแล้วกระโดดลงไปแช่ความเย็นของน้ำให้สบายใจ!!! **ระวังเรื่องกระแสน้ำที่โคตรจะเชี่ยวไว้ด้วยนะครับ**

เราเล่นน้ำฆ่าเวลาไปประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงเวลาขึ้นแพเปียกที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ โดยแพจะพาเราไปต้นๆน้ำแล้วให้เรากระโดดลงน้ำดังตูม....ก่อนจะลอยคอมาตามกระแสน้ำเรื่อยๆจนถึงแพที่จอดรับประมาณ 2 กิโลกว่าๆจากจุดปล่อย ซึ่งบริเวณนั้นเป็นขตน้ำตื้นพอสมควร ไม่ต้องกลัวลอยหายไปครับ 55+...ส่วนรอบการพาไปนั้นต้องสอบถามทางโรงแรมเอาครับว่าเริ่มเดินทางกี่โมง

จุดที่เราโดนปล่อยลงอยู่เกือบๆถึงสะพานโน่น...

แฟนผมทีแรกเป็นคนกลัวน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็น...แต่ดูตอนนี้...ไม่น่าจะกลัวละ!

เขาให้เราเล่นรอบเดียวเองงงง...ไม่เป็นไร รอบเดียวก็รอบเดียว...เหนื่อยละ พักผ่อน...ก่อนจะข้ามไปจุดอื่นหากทางโรงแรมดูรีวิวนี้ ผมอยากจะบอกว่าพนักงานของท่านมีอาการเมาเวลาขับเรือลากแพ ตอนแรกกะให้ 5 ดาว...เอาไป4 ดาวก่อนก็แล้วกัน

เมื่อแพพามาถึงที่พักแล้วอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ก็เตรียมพร้อมรอการเขมือบของพวกเราแล้วครับ

อาหารที่นี่จัดว่ารสชาติดีทีเดียว ถึงเวลานี้บ้านเรากินกันแบบโหยสุดๆ 555+ เหมือนตายอดตายอยากที่ไหนมา...ก็นะ เล่นน้ำนานซะขนาดนั้น ไม่หิวก็บ้าแล้ววว!

กิ่นอิ่มนอนหลับ ฝันดีพรุ่งนี้เจอกันใหม่...


เดินทางสู่เมืองมัลลิกา

เช้านี้ตื่นมาด้วยเสียงน้ำที่ซัดด้านล่างแพที่เราพัก...สนั่นหวั่นไหวมาก...จริงๆมันไม่ได้อันตรายอะไรหรอก แต่ด้วยความไม่ชินกับเสียงน้ำรุนแรงแบบนี้ก็ทำเราเหวอเหมือนกัน555+ ด้วยความสงสัยว่าทำไมเสียงมันถึงได้ดังสนั่นขนาดนี้จึงเปิดประตูออกไปดู...อู้หูวววว!!! น้ำขึ้นสูงกว่าเมื่อคืน แถมยังเชี่ยวกว่าด้วย!!

หมอกและสายน้ำยามเช้าพาให้บริเวณที่ทานอาหารเย็นสบาย บรรยากาศแบบนี้ชวนพานอนต่อยิ่งนัก ดูหมอกกับน้ำช่างเข้ากันเหมือนขนมปังกับแยมยังไงยังงั้นเลย

หมอกอยู่กับเราให้ได้ชื่นชมไม่นานนัก แสงแดดจากพระอาทิตย์ก็เริ่มขับไล่หมอกจางๆๆของเราหายไปแล้วแทนที่ไว้ด้วยความร้อน...ณ เพลานี้ หนีเข้าห้องพักก่อนคงจะดีกว่า...

กลับไปอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย พวกเราก็เดินหาที่ถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระทึกก่อนจะจากที่นี่ไป

เราเดินทางออกมาจากโรงแรมเกือบๆ 11 โมง โดยมุ่งหน้าไปยังเมืองมัลลิกา รศ.124 ที่เลื่องชื่อว่าใครมาจะต้องแวะเวียนมาชมที่นี่ อะๆ ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วจะพลาดได้ไง ลุย!

เมื่อมาถึงเราก็ต้องชะงักกับความ(โคตร)อลังการงานสร้างที่ทางมัลลิกาจัดไว้ต้อนรับ ถ้าไม่นับแดดที่แผดเผาผมอยู่ตอนนี้ก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมฟินมากๆ แค่ภายนอกก็ทำให้ได้กลิ่นอายของความเป็นเมืองเก่าอย่างกับตกไปในมนต์เสน่ห์ของที่แห่งนี้เสียแล้ว

ค่าเข้าที่นี่

ผู้ใหญ่ 200 บาท

เด็ก 100 บาท

โดยทางเมืองมัลลิกามีบริการอาหารเย็นพร้อมการแสดงโขนให้ชมกันด้วย เสียดายที่วันนี้ไม่มีแพลนอยู่ต่อ ไว้วันหลังจะกลับมาสัมผัสบรรยากาศนี้ให้จงได้ชะเอิงเอยยยยย!

ได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้มาถือว่ามีสิทธิ์เข้าเมืองโดยชอบธรรม 555+ แต่ก่อนจะเข้าเมืองไป เราแนะนำให้แวะไปแลกเหรียญและเช่าชุดไทยเพื่อเพิ่มความอินกับบรรยากาศและดื่มด่ำความร้อนแบบคนไทยเดิมจ้า

เหรียญสตางค์ที่ท่านเห็นอยู่นี้ คือเหรียญที่ท่านจะสามารถใช้จ่ายได้ในเมือง โดยร้านค้าต่างๆจะรับเป็นเหรียญแบบนี้เท่านั้น ไม่รับเงินสมัยใหม่และไม่มีบริการรูดการ์ดบัตรเครดิตทุกสิ่งอย่าง! ดังนั้น ชีวิตท่านจะดำรงค์อยู่ได้ด้วยเหรียญพวกนี้แหละครับผ้มมม

อัตราการแลกเปลี่ยน 1 สตางค์ = 5 บาท

ที่แลกเหรียญมีด้านนอกตรงจุดซื้อตั๋ว 1 ที่ และด้านในบริเวณร้านค้าหลังสะพานหลังประตูเมือง 1 ที่

เมื่อแลกเงินเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบเข้าไปในเมือง ให้เดินไปลองเปลี่ยนชุดไทยตามกระทู้ที่หลายๆคนแนะนำมาเสียก่อน โดยค่าบริการชุดไทยของผู้หญิงตกอยู่ 200 บาท ส่วนผู้ชายผมลืมเพราะไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว (ร้อนมาก555+)

ภายในห้องเลือกชุดมีแอร์เย็นสบายไว้ต้อนรับอย่างดี สบายจนไม่อยากกลับออกไปเผชิญกับความจริงว่ามันร้อนแค่ไหน...เมื่อเลือกชุดครบแล้วให้เดินต่อไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ

ด้านในจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของชายและหญิงซึ่งแยกออกจากกัน มีพนักงานคอยช่วยใส่ชุดให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะใส่ไม่ได้นะครับ...นอกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่นี่ยังมีบริการตู้ล็อกเกอร์ไว้เก็บผ้าที่เปลี่ยนออกด้วย ส่วนความปลอดภัยไม่ต้องเป็นห่วงเลย เพราะมีพนักงานดูแลอยู่ครับ

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะมีโต๊ะจ่ายเงินพร้อมและร่มคันน้อยไว้คอยกางกันแดดกันร้อนให้กับนางหญิงทุกท่าน

มีมากมายหลากหลายสีด้วยกันซึ่งอยากได้สีอะไรก็บอกพนักงานไปเลยจ้า เขาจะให้บัตรคืนร่มมาด้วย 1 ใบ เก็บไว้ให้ดีเชียว!

เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ลุยกันเล้ยยยย!!!

เมืองในนี้ค่อนข้างใหญ่โตมโหฬารอย่างมาก ซึ่งพอบวกกับอากาศที่โคตรจะร้อนบรมยิ่งทำให้เหมือนกับกำลังเดินหนีตายในเมืองโบราณ แต่บรรยากาศหากได้ลองจินตนาการว่าไร้ซึ่งแสงอาทิตย์แล้ว เมืองนี้จะเป็นเมืองที่โคตรจะน่าเที่ยวอันดับต้นๆเลยครับผม ถ้าอยากรู้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน ลองดูรูปที่ผมถ่ายจากที่จุดชมวิวบนหอคอยได้เลยจ้าาาา...

ก่อนจะไป เห็นบรรไดแล้วมันคันมือ เลยจัดมาให้ชมซักหน่อย

ที่นี่รักษา Concept คนในเมืองไว้ได้ดีมาก ทุกๆคนจะพูดขอรับ/เจ้าค่ะกันทู๊กกกกคน!

การแต่งการเจ้าหน้าที่ก็ประมาณนี้ ถามว่าผมรู้ไหมว่าสมัยก่อนเจ้าหน้าที่แต่งตัวแบบนี้...ไม่รู้!...รู้แต่ว่าพอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน

ถ่ายกันได้ทุกมุม เลือกเลยตามแผนที่ อยากแวะตรงไหนเชิญเดินไปเลยจ้าาาา!

เอาหละๆ เดี๋ยวมันจะเกินคำว่า MINI Review เอาเป็นว่าหากใครสนใจ อยากไปเที่ยวมือแห่งขุนเขาและสายน้ำที่ชื่อว่ากาญจนบุรีแล้วหละก็ ลองไปหาข้อมูลกันใน Internet กันต่อแล้วกันนะจ๊ะ สำหรับทริปนี้ สวัสดีคร้าบบบ


อาแป๊ะมีหนวด

 วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.45 น.

ความคิดเห็น