ถ้าเอ่ยถึงเมืองน่าน ใครๆก็คงรู้ว่าที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและหลากหลาย ใครไปก็ต้องติดใจความสวยงามในแบบต่างๆของจังหวัดนี้

แต่สำหรับเราล่ะ…กลุ่มคนที่กำลังจะเดินทางไป จ.น่าน ครั้งแรก โดยมีจุดหมายที่ได้เห็นจากรีวิวต่างๆ อย่างดอยเสมอดาว หรือ วัดภูมินทร์

ซึ่งเราก็คาดหวังว่าจะได้เจอ ได้ภาพสวยๆเหมือนในรีวิวของพวกเขานั่นแหละ แต่!!! ใช่ว่าทุกสิ่งมันจะเป็นอย่างที่เราคาดไว้จริงป่ะ

และนี่คือประสบการณ์ ณ ขณะ น่าน การเที่ยว จ.น่าน ในแบบที่พวกเราได้เห็นและได้เจอ


ในวันที่เราเริ่มเดินทาง

ก่อนอื่น บอกวันเดินทางเราก่อนแล้วกัน เราเดินทางกันตรงกับวันหยุดยาว (วันมาฆบูชา) กว่าจะจองตั๋วได้นี่ก็ลำบากยากเย็น

ซึ่งแน่นอนว่าวันที่เดินทางปริมาณคนและรถที่มุ่งหน้าไปหมอชิตนี่ล้นหลาม เส้นทางเข้านี่แม้แต่วินมอเตอร์ไซต์ยังแทบจะแทรกไม่ได้

เราเองก็ลุ้นว่าเราจะไปถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตได้ทันเวลาที่ระบุไว้ในตั๋วรึเปล่า โดยในตั๋วรถโดยสาร บริษัทเชิดชัยทัวร์

ที่เราจองไว้ในราคา 464 บาท บอกว่าเวลาเดินทาง คือ 20.45น. เราเองเกือบมาไม่ทันเวลา แต่อนิจจา ที่มาสายกว่าคือรถนั่นเอง

กว่ารถจะออกจากท่าได้ก็ประมาณ 4ทุ่ม กว่าจะออกจากกรุงเทพฯได้ คนท่เคยเดินทางวันหยุดลองจินตนาการดูแล้วกันครับ

มันเป็นการนั่งแช่ตูดอยู่บนเบาะรถบัสที่นานมาก จากกรุงเทพฯถึง บขส. น่าน .ใช้เวลาเดินทางไปเกือบ 11 ชั่วโมง

นี่คือโฉมหน้า ผู้ร้าย…ไม่ใช่สิ ผู้ร่วมเดินทางในทริปนี้ตะหาก หลังจากที่บิดขี้เกียจทิ้งไว้ที่ บขส. ก็กระโดดขึ้นรถสองแถวต่อไปในตัวเมือง

เพื่อหาเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ชั่วโมงนี้อินเตอร์เน็ตมีปะโยชน์น้อยกว่าการเดินถามนะ เดินถามไปถามมา ก็มาเจอร้าน เที่ยงธรรมมอเตอร์ นี่แหละครับ

ร้านเที่ยงธรรมมอเตอร์ อยู่ตรงข้ามกับธนาคารออมสิน ที่นี่มีรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่า ในราคา 200 บาท สำหรับรถมอเตอร์ไซค์มีเกียร์

และ ราคา 300 บาท สำหรับเกียร์ออโต้ มีค่ามัดจำคันละ 500 บาท ร้านหยุดทุกวันอาทิตย์นะ เจ้าของร้านใจดีมากกกก


วันแรกอย่างเป็นทางการ จาก น่าน สู่ ดอยเสมอดาว

หลังจากจัดการเรื่องยานพาหนะหลักสำหรับทริปนี้เสร็จ ก็เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เมืองน่าน ตามเส้นทางที่ GPS นำมา

มุ่งหน้าสู่ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ขับมาราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่านแล้วครับ

และเมื่อถึงทางเข้าดอยเสมอดาว จะมีด่านเก็บเงินค่าเข้าอุทยาน 40 บาท ผ่านด่านนี้เข้าไปด้านในจะมีร้านอาหาร คอยบริการในราคาที่ไม่แพงมาก

และใครที่อยากอิ่มอร่อยกับหมูกระทะบนดอยเสมอดาว ก็สามารถสั่งได้ที่ร้านแถวนี้เลยครับ ราคาชุดละ 200 บาท

อยู่บนดอยเสมอดาวนี้มีร้านค้าสวัสดิการของอุทยาน มีห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยวอย่างดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ก็สะดวกสบายซะขนาดนี้นิ

การขึ้นมาบนดอยเสมอดาวนี้ ถ้าไม่ได้กางเต้นท์นอนรอดูดาวสักคืน จะไปบอกคนอื่นว่ามาดอยเสมอดาวได้ไง

เพราะฉนั้นก็ต้องค้างที่นี่สักคืน สำหรับใครที่ไม่ได้นำเต๊นท์หรือเครื่องนอนมา ก็สามารถมาติดต่อเจ้าหน้าที่ที่นี่ได้เลยครับ

มีเต๊นท์ให้เช่า พร้อมหาพื้นที่แล้วยังกางให้ด้วย

ที่ดอยเสมอดาวนี้ จัดพื้นที่โซนกางเต๊นท์ไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ดูเกะกะรกหูรกตา แม้ว่าจะเป็นวันที่นักท่องเที่ยวเยอะกว่าจำนวนต้นไม้บนนี้ก็เถอะ

เราก็ยังสามารถเห็นทิวทัศน์ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นวิวภูเขา แม่น้ำน่าน และผาหัวสิงห์ ได้อย่างสบายตาไม่มีเต๊นท์บัง

ตอนกลางวันบนนี้ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากนัก เราเลยแค่เดินสำรวจพื้นที่ ชมวิวต่างๆแล้วก็มานั่งพักใต้ร่มไม้

รอเวลาเย็นที่คนชอบถ่ายรูปอย่างเราจะได้เก็บแสงสุดท้ายของวัน ก่อนที่คืนนี้จะปาร์ตี้หมูกระทะใต้แสงดาวเต็มฟ้า…เราคาดหวังไว้แบบนั้นนะ


ยามเย็นที่งดงาม และยามค่ำที่ผิดแผน

ช่วงเวลา 5โมงเย็น ของฝั่งจุดชมวิวดอยเสมอดาว ยังดูธรรมดาๆอยู่ แต่ช่วงเวลานี้อีกฝั่งกำลังรอที่จะโชว์ความงามให้เราได้เห็นอยู่

ระหว่างเดินชมวิวรอพระอาทิย์ตก เราได้เจอกับคุณลุงและคุณป้าคู่หนึ่ง ที่ใจดีมากๆ ท่านได้ชี้เป้าจุดชมพระอาทิยต์ตกสวยๆให้เราไปถ่ายรูปกัน แถมยังอาสาพาไปด้วย เราเลยได้ภาพแสงเย็นสวยๆกลับมาบ้าง แม้ว่าท้องฟ้าเมฆหมอกจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ก็เถอะ

หลังจากที่เรากดชัตเตอร์เก็บภาพแสงเย็นกันจนพอใจแล้ว ก็เก็บกล้องเดินกลับเต๊นท์กัน ระหว่างทางก็ยังเห็นวิวภูเขาเคล้าแสงเย็นสวยๆอยู่

และแล้วก็ถึงเวลาที่เรารอคอย นั่นคือปาร์ตี้หมูกระทะบนดอยเสมอดาว ทั้งอร่อย ทั้งบรรยากาศดี หมูกระทะอุ่นๆท่ามกลางสายลมเย็นๆ ที่ดูแล้วออกจะเย็นจะเกินไปสักหน่อย เคยมีใครคนนึงบอกไว้ว่า อะไรที่มีน้อยแล้วต้องแย่งกันกิน ถ้าได้กินมันจะอร่อยเสมอ ฮ่าๆๆๆ

ดูเหมือนเรื่องราวจะเป็นไปอย่างที่เราคิดไว้ แต่!!!!

นั่นละครับ ดวงดาวหายไปไหนหมด เหลือแต่พระจันทร์ที่สว่างราวกับดวงตะวันที่ดันมาขึ้นตอนกลางคืน

คิดๆดูแล้วจะโทษใครได้ล่ะ ก็แกเล่นมารอดูดาววันจันทร์เต็มดวงเนี่ยะนะ!!


จุดชมวิวและลานดูดาวที่คิดว่าคงจะมีคนมาจองเต็มพื้นที่ก็มีแค่พอๆกับดาวที่เรามองเห็นนั่นแหละครับ

เรายืนกันอยู่บนนี้จนเริ่มจะทนลมแรงๆและอากาศหนาวๆบนนี้ไม่ไหว พร้อมกับตัดใจว่าเราคงไม่ได้ภาพดวงดาวที่เราหวังไว้แล้ว

เพราะฉนั้น สิ่งที่เราควรจะทำคือ แยกย้ายกันนอน


พรุ่งนี้ที่สดใสรอเราอยู่

คืนที่ผ่านมา แม้จะผิดหวังนิดๆที่ไม่ได้เสมอดาวแบบที่หวังไว้ แต่เช้านี้เรายังมีหวังกับแสงเช้าอยู่ เลยแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตี 5 เพื่อๆๆๆ???!!!

การรอแสงเช้าในวันที่นักท่องเที่ยวมากเท่ากับ ปริมาณเต๊นท์ x 3 เราจะแค่เดินไปเดินมาไม่ได้ครับ

แนะนำให้เล็งจุดยุทธศาสตร์ดีๆ แล้วปักหลักเลย เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ด้านหลังจะไม่มีที่เหมาะให้ได้ถ่ายภาพแล้ว

ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ก่อนความอบอุ่นของไอแดด ก่อนเวลานั้นมันหนาวจนไม่รู้จะหนาวยังไงแล้วครับ

กับการเดินทางที่ไม่ได้เตรียมตัวมารับลมหนาวแบบนี้ ผมนี่สั่นเหมือนเจ้าเข้าเลย

สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยอมยืนสั่นอยู่ตรงนั้นคืออยากได้ภาพสวยๆสักใบก่อนกลับ

ความมืดโดนไล่ไปทันทีที่พระอาทิตย์ของวันใหม่ลอยตัวขึ้นมา ช่วงเวลาที่เรายืนทนหนาวรอคอยมาถึงแล้ว

มันเป็นเช้าที่ผมพึงพอใจมาก เพราะก่อนมาเราคาดหวังแค่ดวงดาว โดยไม่ได้นึกถึงยามเช้าที่สวยงามแบบนี้

ผมยังมีความสุขกับการได้เห็นทัศนียภาพยามเช้าบนดอยเสมอดาวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะกลับเต๊นท์ เก็บของ แล้วพากันลงจากดอย

ณ ขณะที่เราคาดหวังกับสิ่งนึงแล้วไม่ได้ แต่เรากับมีความสุขมากกับสิ่บที่ไม่ได้คาดหวังไว้

ณ ดอยเสมอดาวแห่งนี้แม้ว่าผมจะไม่ได้ภาพดวงดาวแบบคนอื่นๆเขา แต่ผมก็ประทับใจกับสิ่งที่ผมได้เจอ

ก่อนที่จะกลับเข้าเมือง พวกเราแวะกันอีกที่นึง คือ เสาดินนาน้อย ซึ่งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติศรีน่านเช่นเดียวกัน

ซึ่งเสาดินลักษณะนี้ เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการทับถมกันของดินตะกอนซึ่งดันตัวสูงขึ้น รวมทั้งการถูกกัดเซาะจากน้ำ ผ่านกาลเวลาหลายพันปี เกิดเป็นเนินดินรูปร่างแปลกตาที่ดูน่าสนใจ จนบริเวณนี้ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

รอบๆบริเวณเสาดินนาน้อยแห่งนี้ แต่ละจุดก็จะมีป้ายอธิบายข้อมูลของจุดนั้นๆด้วย

สิ่งสำคัญที่เราจะลืมไม่ได้เลยเมื่อมาเที่ยวที่นี่ หรือที่ไหนๆก็แล้วแต่ คือ…คือ…คือ ถ่ายรูปหมู่ครับ ฮ่าๆๆๆ

ถัดมาจากเสาดินนาน้อย เราขับรถตามป้ายบอกทางและสัญญาน GPS ต่อไปอีกไม่ไกล ก็ถึงจุดที่เรียกว่า คอกเสือ ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินดินสูงขึ้นมาเหมือเสาดินนาน้อย แต่ที่นี่จะเป็นเหมือนกำแพงโอบล้อมพื้นที่โล่งซะมากกว่า\

แวะลงมาเดินเล่นกันที่นี่แป๊บเดียว อากาศช่วงสายๆของที่นี่ก็เริ่มเปลี่ยนจากความอบอุ่นเป็นความร้อนแล้วล่ะครับ

ถ่ายรูปหมู่เสร็จก็กลับเข้าเมืองกันดีกว่า มีอะไรให้เราได้เจอกันอีกเยอะ


เข้าเมือง เข้าวัด เรื่องถนัดของเรา

ออกจากดอยเสมอดาวและเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ผ่านทางอำเภอเวียงสา เส้นทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองน่าน

เราขับยาวๆแบบพักเติมน้ำมันครั้งเดียว ทำให้เรามาถึงที่พักที่เราจองไว้เร็วว่าที่คิดครับ ทริปนี้ที่พักที่เราจองไว้

คือ โรงแรมน่านสบายดี ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองน่าน ราคาเริ่มต้นที่คืนละ 790 บาท/ห้อง

และเนื่องจากว่าเราใช้เวลาเพื่อมาถึงที่พักกันเร็วมาก เราเลยเหลือเวลาค่อนข้างเยอะ ในการเก็บของ อาบน้ำ และนอนพักผ่อน

แต่ขึ้นหัวเรื่องว่ามาเที่ยว จะให้นอนอยู่เฉยๆได้ไงล่ะ ในเมืองน่านมีที่ให้เที่ยวตั้งมากมาย ออกเดินทางกันต่อดีกว่า

เริ่มสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกในเมืองน่าน กันที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดน่านซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุพื้นเมืองของจังหวัดน่าน แต่น่าเสียดาย ณ ขณะที่เราไป ดันมีการปิดปรับปรุงส่วนจัดแสดงด้านบนซะงั้น แต่ไม่เป็นไรครับ ยังไงซุ้มทางเดินที่มีต้นลีลาวดีขนาบข้างก็ยังเปิดอยู่ ตรงนี้กลายเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองน่านไปเรียบร้อยแล้ว มีรึที่เราจะพลาด

จากที่หาข้อมูลก่อนเดินทางมา แหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองน่านส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัด ซึ่งวัดแต่ละแห่งก็จะมีความเก่าแก่และความงดงามแตกต่างกันไป จะว่าไป เรื่องการเข้าวัดไหว้พระนี่ก็เป็นเรื่องถนัดของพวกเราอยู่แล้ว (จริงดิ!!??) เอาเป็นว่าเราไปทัวร์ตามวัดต่างๆเลยเถอะครับ

สถาปัตยกรรมโดดเด่นของวัดนี้ คือเจดีย์ช้างค้ำ มีรูปปั้นช้างปูนปั้นเพียงครึ่งตัวประดับอยู่โดยรอบ ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีลิกธาตุไว้ภายใน นับเป็นอีกหนึ่งปูชนียสถาน สำคัญของจังหวัดน่าน

มาต่อกันอีกวัด ที่ วัดศรีพันต้น วัดนี้โดดเด่นด้วยโบสถ์สีทองอร่าม สวยงามเห็นแต่ไกลตั้งแต่สองแยกไฟแดงก่อนมาถึง และยังมีงานจิตรกรรมปูนปั้นรูปพญานาคเจ็ดเศียรอยู่ทั้งสองฝั่งบันไดทางขึ้น ภายในยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม นอกจากนี้ ในวัดยังมีเรือโบราณ ที่เคยใช้ในการแข่งขันเรือยาวเก็ยไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันด้วย

วัดต่อมาที่เรามาเที่ยวกัน เป็นอีกวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆของจังหวัดน่าน นั่นก็คือ วัดภูมินทร์ นั่นเอง

วัดภูมินทร์นี้จะมีความแปลกตาที่พระอุโบสถ ซึ่งกรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่าเป็นอุโบสถทรงจตุรมุกหลังแรกของประเทศไทยโดยภายนอกนั้น เหมือนกับว่าพระอุโบสถตั้งอยู่กลางลำตัวของพญานาค

ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 องค์ ซึ่งหันพระพักต์ออกไปทั้ง 4 ทิศ

และนอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่โดดเด่นสวยงาม รอบพระอุโบสถ แต่ภาพที่ดูจะได้รับความน่าสนใจที่สุด คือ ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ

ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน หรือที่ถูกเรียกกันจนติดปากว่า ภาพกระซิบรักบันลือโลก ผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิง แต่งกายไตลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของ หนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก ภาพนี้ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์และของจังหวัดน่าน ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม

อีกหนึ่งวัดที่เราไปกัน คือ วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีพื้นที่กว้างมาก

สิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้ คือ พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นสถูปประดิษฐานพระบรมสาริกธาตุ เป็นปูชนียสถานเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่าน ที่คนท้องถิ่นให้ความเคารพบูชาอย่างมาก

กำลังจะออกจากวัดพระธาตแช่แห้งแล้ว เวลาของวันที่สองนี้ยังเหลืออีกเพียบ เราเลยไปอีกจุดหมายที่ตอนแรกเรากะว่าจะไปตอนเช้าอีกวัน นั่นคือที่ วัดพระธาตุเขาน้อย รอบนี้ถือว่าไปสำรวจพื้นที่ก่อนแล้วกัน

วัดพระธาตุเขาน้อย ตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อยที่อยู่สูงขึ้นไปทางทิศตะวันตกของตัวเมืองน่าน ที่วัดพระธาตุเขาน้อยแห่งนี้ จะโดดเด่นด้วยพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ และเมื่อขึ้นไปบนยอดเขาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองน่านในมุมสูงได้อย่างชัดเจน เราอยู่กันที่นี่ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกก็กลับลงสู่ตัวเมือง หาอะไรกินแล้วก็กลับไปพักผ่อน วันต่อไปยังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนกลับ กทม. กันครับ

วันสุดท้ายที่แสนจะว่าง

ตัดภาพมาที่เช้าของอีกวัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางทริปนี้แล้ว จริงๆแล้ววันสุดท้ายนี้ไม่มีโปรแกรมอะไรเลยครับนอกจากการพักผ่อน เดินชิลๆหาของกินในตัวเมือง แต่ตอนเช้านี้เรามีนัดกันที่มัดพระธาตุเขาน้อยที่เดิม ที่เขาบอกต่อๆกันมาว่า ยามเช้าของที่นี่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก นี่ก็กลัวจะไม่ทันไง ขึ้นไปถึงตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ

ใกล้ถึงเวลาที่เรารอคอย แสงแรกของวันมาแล้ว ที่เหลือคือรอให้พระอาทิยต์ขึ้นอยู่ในมุมดีๆแล้วกดชัตเตอร์ซะ แต่!!! ณ ขณะนั้น

บอกก่อนเลยว่า ก่อนที่เราจะไปที่วัดพระธาตุเขาน้อยนี้ เราไปหาดูภาพตัวอย่างอื่นๆมา นั่นคือยามเช้าของที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นตรงองค์พระเป๊ะ จะได้แฉกสวยงาม แต่ ณ ขณะ ที่เราไป…มันไม่ตรงกับที่คิดไว้นี่สิ

ในเมื่อไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ต้องหามุมเองแล้วหละ ถ่ายรูปกันไม่กี่ใบเราก็กลับที่พัก เก็บของ เตรียมตัวเช็คเอ้าท์กลับ กทม.

เวลาที่เหลือก็เดินเล่น กินนู่น กินนี่

ทริปนี้แม้จะมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็มีความประทับใจหลายๆอย่างที่เราไม่ได้คาดไว้เหมือนกัน

เสน่ห์ของเมืองน่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่หวือหวา ตระการตาเหมือนการขึ้นยอดเขาไปเก็บภาพสวยๆ แต่ความประทับใจกับที่นี่คือเสน่ห์ที่ลงตัว ความสงบของบ้านเมือง

และสิ่งที่ผมไม่ได้บรรยายในบันทึกการเดินทางนี้ เพราะถึงบรรยายไปคุณคงสัมผัสไม่ได้เหมือนพวกเรา นั่นคือ มิตรภาพและความสนุกสนานของเพื่อนร่วมทางของผมเอง ที่ทำให้สุดท้ายแล้วการเดินทางนี้ก็เป็นอีกทริปที่จบลงอย่างประทับใจ

นี่คือประสบการณ์การเดินทางอีกครั้งที่อยากแชร์ให้คนที่ได้อ่าน ได้ร่วมเดินทางไปกับเรา หากใครอยากพูดคุย หรืออยากสอบถามขอมูลการเดินทางจากทริปของเราผมขอถือโอกาสฝากเพจ www.facebook.com/journeygallery ไว้ด้วยเลยก็แล้วกันครับ


ไว้ถ้าครั้งต่อไป มีทริปไหนที่น่าสนใจ จะเอามาเขียนให้ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันใหม่นะครับ บายยยย

Journey Gallery

 วันพฤหัสที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.58 น.

ความคิดเห็น