สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ

เป็นการรีวิวครั้งแรก ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ

ทริปนี้เป็นทริปที่มีการวางแผนนานแรมปี

ตั้งใจอยากดูทะเลหมอก นอนดูดาว ส่องไฟขึ้นฟ้า

(นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ก่อนไป) ตอนแรกนัดกันไว้ 6 คน

ไปๆๆมาๆเหลือกันแค่ 4 คน เอาวะไงก้ต้องไปจองตั๋วแล้ว

ช่วงเวลาที่ไปวันที่ 14-16 มกราคม 2560

เอาล่ะ ขอเริ่มที่การจองตั๋วรถทัวร์นะ เราจองกับสมบัติทัวร์

รอบ 19.00 น. คืนวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.60 โดยจองรถ ม1ข (กรุงเทพ-ทุ่งช้าง)

เพราะพวกเราตั้งใจจะไปลงที่ตลาดสดปัว เนื่องจากที่พักเราอยู่ที่นั่น และแล้วเราก็กำลังจะได้ไปเที่ยววววว

พอรถเริ่มออกเท่านั้นล่ะ ก็เริ่มหลับสิคะ รออะไร นอนเอาแรงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด 55555

รถทัวร์พาเรามาถึงตลาดสดปัว เวลาประมาณตีห้ากว่าๆ (นัดรถไว้ 7 โมง 55555 รอไปสิ๊)

มืดมากกกก สว่างแค่ตลาดนั่นล่ะ เช้ามืดขนาดนี้จะสิงอยู่ที่ไหนล่ะ พวกเราเดินหาร้านที่พอจะมีนั่งในตลาดสด เยี่ยม!! สมชื่อตลาดสดจริงๆ มีแต่ผัก กับเขียงหมู ไม่มีที่ไหนนั่งได้เลย (ความคิดแรก เราไปนั่งหน้าเซเว่นฝั่งตรงข้ามกันดีมั้ย สว่างดี ได้แค่คิดล่ะคะ) เดินวนๆ รอบตลาด แล้วก็ผลัดกันเข้าห้องน้ำให้ช้าที่สุดเพื่อให้เวลาเดินผ่านไป สรุป ยืนรอมันหน้าห้องน้ำก็ได้ฟ่ะ!

พวกเรากินอาหารเช้ากันในตลาดปัว ซึ่งมีที่นั่งอยู่น้อยนิด พอถึงเวลานัดตอน 7 โมง รถสองแถวที่พวกเราเหมาไว้ก็มารับไปเที่ยว ขนทุกสิ่งอย่างขึ้นรถแล้วไปโลดดดดดดดดดดดด สนใจติดต่อได้ตามเบอร์ด้านล่างนี้นะคะ (คนขับชื่อ ดวงเดือน ค่ะ)

ที่แรกที่เราไปคือ กาแฟบ้านไทลื้อ เป็นร้านกาแฟที่มีบรรยากาศบ้านๆๆ อยู่ท่ามกลางทุ่งนา ตอนเช้ายังคงหนาว มีหมอกลอยอยู่บนทุ่งนาอยู่เลยอ่ะ ฟินน่ะแกกกกกก

ขึ้นเขาๆๆ กันดีกว่า ไปต่อกันที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา บรรยากาศข้างทางเมื่อได้นั่งสองแถวเที่ยว เป็นอะไรที่ฟินระดับสิบล้านนนนนนนนนน จากแดดร้อนๆในเมืองปัว พอขึ้นเขาเท่านั้นล่ะต้องหยิบเสื้อหนาวที่โยนทิ้งไปเมื่อกี้มาใส่ หนาวมากกกกกก อุทยานแห่งชาติดอยภูคา สูงจากระดับทะเล 1715 เมตร อยากบอกว่าไม่ได้เข้าอุทยาน 5555 ไปที่จุดชมวิวเลยและมีลานกางเต็นท์อยู่ใกล้ๆกัน ขอแอบบอกนิดนึง เป็นมุมที่แย่งกันถ่ายรูปเยอะมากเพราะตอนไปถึงเจอแก๊งค์ bigbike 30 กว่าคน

ไปกันต่อดีกว่า ต้นชมพูภูคา ยังไม่บานนะจ๊ะ แอบเสียใจ ต่อไปๆๆ เรากำลังมุ่งหน้าไปอ.บ่อเกลือ ไม่รู้มีอะไรดี คนพูดถึงกันจิง จิ๊ง ระหว่างทางที่ไปก็เช่นกัน ยิ่งสูงยิ่งหนาวววว เหมือนที่เพลงเขาร้องไว้ 55555 ก่อนจะไปดูเกลือ เราแวะกินข้าวกันที่ร้านหัวสะพานค่ะ บรรยากาศดี อาหารอร่อย มีลำธารอยู่ติดกับร้านเลยนะ ชอบบบบบบบบบบบ

พออิ่มละก็ไปกันต่อ อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงอ.บ่อเกลือ ที่ๆมีแต่เกลือ เดินไปทางไหนก็ขายเกลือ สิ่งที่เราจะมาดูก็คือ บ่อเกลือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเหลือที่นี่ที่เดียวเท่านั้นค่ะ กว่าจะได้เกลือมาแต่ละถุงเหนื่อยยากเหมือนกันนะต้องยกขึ้นมาจากบ่อแล้วตากไว้จนกว่าจะแห้งค่ะ

ดูเสร็จก็ซาบซึ้งวิธีการทำ จึงซื้อเกลือกลับไปคนละ 2-3 ถุง มีทั้งขัดผิว สปา แช่เท้า มีหลายสีให้เลือกด้วยนะ นั่งรถลงเขากันดีกว่า สนุกสนานที่สุดอ่ะนั่งสองแถวเที่ยวน่าน อากาศฟิน เห็นวิวข้างทางได้ชัดเจนมาก เราจะไปกันต่อที่วัดภูเก็ต นั่นไง งงล่ะสิมาน่าน ทำไมมีวัดชื่อภูเก็ต ภู แปลว่า ใหญ่ ในภาษาเหนือ วัดนี้มีวิวที่สวยงามมากกกกกกกกก ซึ่งข้างล่างเป็นทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงน่าจะเป็นที่มาของชื่อวัด (แอบบอกถ้าต้องการรูปสวยๆ ให้มาตอนบ่ายนะ ตอนเช้าย้อนแสงถ่ายรูปไม่สวยนะจ๊ะ)

เหนื่อยร่างแทบพัง ได้เวลาเข้าที่พักแล้วสินะ เดี๋ยวๆ ก่อนเข้าที่พักแวะตลาดก่อนนะ หาซื้อข้าวเย็นซะหน่อย ถึงแม้จะสั่งขันโตกไว้แล้วก็ตาม (จริงๆ กลัวกินขันโตกไม่ได้ 555) ของแนะนำในตลาดคือ แอ๊บหมู คล้ายๆ ห่อหมกที่เรารู้จักกันทั่วไป แต่อร่อยและรสชาดก็ไม่เหมือนห่อหมก รูปไม่มีเพราะแย่งกันกินหมดก่อน อิอิ..

โฮมสเตย์ตานงค์ ที่พักในคืนแรกของเรา เป็นโฮมสเตยชาวบ้าน บ้านจริงๆ แค่ทางเข้าก็ทุลักทุเลละคะ ยังเป็นลูกรังอยู่เลย แต่เมื่อเข้าไปถึง อยากบอกว่า สวรรค์บนดินเลยนะ ทุ่งเขียวขจี สบายตามากกกกกกกกก

พระอาทิตย์กำลังจะตกดินไปพร้อมๆกับความเงียบสงบของทุ่งนา ซึ่งชีวิตคนเมืองแทบไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้

นี่คือห้องพักของเราในคืนนี้ค่ะ ห้องนี้พักได้ 4 คน ราคา 1,400 บาทต่อคืน เสริมได้ไม่อั้นคนละ 200 บาท เราว่าคุ้มค่ากับราคานะ แถมยังเป็นเตียงสองชั้นด้วยนะ นานๆจะเจอสักครั้ง


หิวแล้วววววววววว ได้เวลาข้าวเย็น หน้าตาขันโตกเป็นแบบนี้นะ แต่เดี๋ยว ขอบอกว่ากว่าจะได้กินขันโตกต้องมีความอดทนสูงนิสสสสสนึง เนื่องจากคนทำเป็นคุณยาย ซึ่งก็จะค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เสิร์ฟ เพราะที่นี่เขาเป็นครอบครัวอ่ะ คล้ายธุรกิจครอบครัว มาเที่ยวก็ใจเย็นๆเนอะ ยังไงก็ได้กินแค่ช้าหน่อย อิอิ..

ได้เวลานอนเก็บแรงไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะนะ แค่วันแรกก็อยากอยู่นานๆ ซะแล้วสิ ^^

ตื่นเช้ามาพร้อมความสดชื่นและอากาศบริสุทธิ์ที่สูดได้เต็มปอด หมอกปกคลุมเต็มพื้นที่ ช่างฟินอะไรแบบ นี้ ต่อให้ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น หมอกมาลอยอยู่ตรงหน้าไม่ตื่นไปดูไหวหราาาา

รอแสงแรกของวันพร้อมๆกับท้องที่ร้องหิวข้าวๆๆ แต่มันก็คุ้มที่จะรอนะ ให้ภาพบรรยายละกัน ไปกินข้าวดีกว่า

อาหารเช้าวันนี้ คือ ข้าวต้ม เบาๆๆแต่เติมได้ไม่อั้น ชามเดียวก็อิ่มล้าววว แถมด้วยโอวัลตินร้อนๆ ช่างฟินอะไรแต่เช้านี่

อยากอยู่ที่นี่ละ ไม่อยากไปไหนแล้วววว บ๊ายบาย โฮมสเตย์ตานงค์ ออกเดินทางต่อไป

มุ่งหน้าขึ้นดอยเสมอดาวเลยยยยย พวกเรามีน้องขอติดรถออกมาลงในเมืองด้วยค่ะ น้องผู้หญิง2คน

สตรองมากกกก ตั้งใจมาแค่โฮมสเตย์ 1 คืนแล้วกลับเลย แถมยังปั่นจักรยานบนพื้นที่เป็นลูกรัง ทำได้ไงคะน้อง พวกเราแวะ

เที่ยวระหว่างทางรวมถึงบังคับให้น้องเที่ยวกับพวกเราด้วย 55555 เพราะก่อนจะถึง ดอยเสมอดาว มันไกลมากกกกกก

หอศิลป์ริมน่าน เป็นสถานที่ ที่เราประทับใจนะ ข้างนอกร้อนยังกะไฟเออร์ ข้างในเย็นโดยไม่มีแอร์อ่ะ อยู่ในนี้ก็มีอารมณ์ศิลปินกันนิดนึงนะ ไปต่อๆๆ ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันบ้าง

ภาพกระซิบรักของปู่ม่านย่าม่านค่ะ ที่วัดภูมินทร์ เป็นภาพที่ทุกคนที่มาน่านต้องมาดูนะคะ ของแท้อยู่ที่วัดภูมินทร์นะคะ ถึงแม้ภาพนี้จะมีอยู่เต็มเมืองแล้วก็ตามนะเออ


ขอลงรูปรวมๆแล้วกันนะ เป็นวัดที่อยู่ระหว่างทางเข้าเมืองแต่จะอยู่เส้นในนะ ไม่ใช่เส้นหลักที่รถทัวร์วิ่ง

(คิดว่างั้น) และก็เป็นวัดที่อยู่ในตัวเมืองน่าน ถ้ามีเวลาก็ลองเที่ยวในเมืองดูนะ แต่ทริปนี้ขอตามหาธรรมชาติก่อนละกัน

และแล้วพวกเราก็มาถึงดาวเสมอดอย ดอยเสมอดาวนั่นเอง (สูงจากระดับน้ำทะเล 888 เมตร) ป้ายๆๆ ถ่ายซะหน่อยเดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่ถึง ดอยที่ถูกพูดถึงเรื่องความโรแมนติก อยากรู้ว่าคืนนี้จะโรแมนติกขนาดไหนนะ (คงจะหวานหรอกนะมากับเพื่อนนี่ 555)

พวกเราจองเต้นท์ที่พักอุทยานกันค่ะ เพราะต้องการสัมผัสบรรยากาศที่แท้จิงในการนอนเต้นท์บนดอย ซึ่งเป็นแบบนอน3คนราคาจำไม่ได้ค่ะ ลองหาข้อมูลดูนะ อันนี้แนะนำนะคะถ้านอน 2 คนแนะนำให้จองเต้นท์3คนค่ะ เพราะจะได้มีที่ไว้วางสัมภาระของเรานะ

กิจกรรมในคืนนี้ คือการกินหมูกะทะบนดอย อากาศหนาวๆกับหมูกะทะร้อนๆ แค่คิดก็ฟินแว้ววววว

การกินหมูกะทะบนดอยไม่อยากเลย เพราะมีเดลิเวอรี่ส่งถึงดอยคร้า มีให้ทั้งกะทะ เตา ถ่าน เชื้อเพลิง ผัก หมู น้ำซุป แต่สิ่งที่พวกเราไม่มีคือ ไฟ สำหรับจุดเตา 555 กว่าจะได้กินสร้างความลำบากให้ผู้คนรอบข้างและเจ้าหน้าที่ไปหลายคนเลยค่ะ (ขอบอกว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่น่ารักทุกคนนะคะ)

อีกหนึ่งกิจกรรมในคืนนี้คือการส่องไฟขึ้นฟ้า อย่าพูดถึงเลยดีกว่า ดูภาพเอาเองละกันว่า มีไฟขึ้นฟ้าตรงไหน 555

เราว่าไปนอนดูดาวเพื่อความโรแมนติกกันดีกว่า ดาวเยอะดี สวยมาก เงียบและสงบ เป็นดอยที่โรแมนติกจริงๆกัน แนะนำให้มาเป็นคู่จะดีกว่า ฟินระดับล้านแปดเลยล่ะ

เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน เงียบๆคนเดียวและไม่อยากตื่นขึ้นพบใคร ตื่นเถอะ ถ้าไม่ตื่นก็นอนอยู่บ้านเถอะมาเที่ยวทำไม ทะเลหมอกๆๆ ลอยอยู่ตรงหน้า ตื่นไปดูเร็วๆๆ นั่งรอคอยพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เพราะกลัวคนเยอะ เดี๋ยวจะไม่มีรูปทะเลหมอก เลยต้องมานั่งหลับรอ

เราไม่เคยผิดหวังกับสิ่งที่เราเลือกเอง แม้มันอาจจะต้องใช้ความอดทนบ้าง แต่สิ่งที่ได้มามักคุ้มค่าเสมอ ใช้ใจสัมผัสนะคะถ้าได้เห็นจากรูป แต่จงใช้ตาไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองดีกว่า

วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่เมืองเล็กแห่งนี้แล้ว ไม่อยากกลับเลย อยู่ต่อเลยได้ไหมมมมม........

พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของเพื่อลงจากดอยแต่เช้า อาบน้ำเหรออย่าถาม ไม่ได้อาบสักคนเพราะเมื่อคืนอาบรอไว้ตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว สาเหตุที่รีบลงน่ะเหรอต้องการชาทแบตอย่างแรง เราลงมากินข้าวเช้ากันที่ตัวอ.นาน้อย โดยบอกพี่คนขับว่า พี่คะขอร้านที่มีที่ชาทแบตค่ะ จึงเป็นที่มาของอาหารเช้านี้ จัดหนักกันทีเดียว เพราะต้องการกินให้นานที่สุดเพื่อที่จะได้ชาทแบตให้มากที่สุด 5555

อาหารร้านนี้ใช้ได้เลยนะ ชาทแบตพร้อมทั้งอุปกรณ์และคน ลุยต่อค่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ทริปอะไรไม่ได้หยุดพักผ่อนเลย ที่ต่อไปที่เราไปแวะคือ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน ซึ่งมีวิวที่สวยมาก อากาศดีมาก รอบหน้าว่าจะพักที่นี่ล่ะ ขนาดพวกเราขึ้นไปถึงตอน 10 โมงกว่าๆ ได้นะ อากาศยังเย็นอยู่เลยค่ะ

สิ่งที่เสียใจที่สุดในทริปนี้คือ ต้นนางพญาเสือโคร่งที่อุทยานแห่งชาติขุนสถาน ยังไม่บาน อุตส่าห์เดินขึ้นมาเพื่อหวังจะเห็นดอกพญาเสือโคร่งสีชมพูๆๆ ทำไมต้นไม้ทำกับเราแบบนี้ (คร่ำครวญทำไมเยอะแยะ รำคาญ 555)

เราจะไปเก็บสตอเบอรี่กัน พี่คนขับแนะนำให้ไปดูไร่สตอเบอรี่กับองุ่น พวกเรามีหรือจะพลาด มีไรบอกมาค่ะไปหมดทุกที่ แต่เสียดายไม่มีแทบไม่เหลือสตอเบอรี่ให้เก็บแล้วค่ะ เพราะมาช้าไป คนอื่นเค้ามากันแต่เช้าแล้ว เก็บกันไปหมดแล้ว เสียใจนิดนึง

ลงจากเขาเข้าเมือง เตรียมตัวกลับบ้าน ไม่อยากกลับเลยอ่ะ ทุกคนคงเคยมีอารมณ์แบบนี้เมื่อเวลาแห่งความสนุกใกล้หมด แต่ยังค่ะ แวะไหว้พระก่อนกลับกันสักหน่อย ที่ วัดธรรมนาวา วัดนี้บรรยากาศดีค่ะ เงียบสงบมากกกกก (พี่คนขับพาแวะค่ะ) เราชอบวัดนี้เป็นส่วนตัวด้วยนะ เราว่าสวยดีน่ะ และวัดสุดท้ายคือวัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งจะได้เห็นวิวตัวเมืองน่านทั้งหมดกันที่วัดนี้ล่ะค่ะ

บ๊าย บาย จริงๆแล้วนะ ขากลับพวกกลับรถทัวร์ของ นครชัยแอร์ค่ะ รอบ 19.00 น. ถึงกทม.ประมาณ 05.00 น. ขึ้นรถที่ บขส.น่าน เป็นรถ gold class (กรุงเทพ - น่าน) ราคาประมาณ 544 บาท/คน

ชีวิตของเราใช้ซะ!!

เหนื่อยกับงานก็ออกไปเที่ยวชาทแบตให้ตัวเอง

เหนื่อยกับคนก็ออกไปเที่ยวเพื่อเจอคนใหม่ๆ

เหนื่อยกับรักก็ออกไปพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเริ่มใหม่

สรุปค่าใช้จ่าย (ต่อคน) โดยประมาณ

1.ค่ารถทัวร์ขาไป 592 บาท

2.ค่ารถทัวร์ขากลับ 544 บาท

3.ค่าที่พัก 455 บาท

4.ค่าเต้นท์ 187 บาท

5.ค่ากิน 3 วัน 675 บาท

6.ค่าเหมาสองแถว 6,000 บาท/3 วัน เฉลี่ยคนละ 1,500 บาท (ไม่รวมทริป 200 บาท)

7.ค่าใช้จ่ายส่วนตัว+ของฝาก แล้วแต่คนค่ะ


ตัวกลม

 วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.05 น.

ความคิดเห็น