ผมมาเที่ยวกระบี่เกือบจะครบ 10 ครั้งแล้ว แต่การมาทริปกระบี่ในครั้งนี้ของผมมีเหตุให้ต้องมาเนื่องจากผมได้ร่วมสนุกทาง FB กับเพจ Thailand Circle of Love แล้วได้รับรางวัลเป็น Voucher ห้องพักแบบ Superior Room ที่ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT จำนวน 3 วัน 2 คืน พร้อมอาหารเช้า ซึ่งที่หาดทับแขกนี้ ผมยังไม่เคยได้มีโอกาสมาสัมผัสเลย สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ผมเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน โปรแกรมทัวร์ต่างๆ อาหารกลางวันและอาหารเย็น จะฟรีก็แต่ที่พักเพียงอย่างเดียวครับ
ทริปนี้ผมเลือกใช้บริการของ Bangkok Airwaysจริงๆ ผม Check in และเลือกที่นั่งผ่านเวปของ Bangkok Airwaysเรียบร้อยแล้ว แต่ผมต้องมาโหลดกระเป๋านิดหน่อย เลยต้องมาต่อคิวอีกครั้ง
มีเวปให้ Check in ก็สะดวกไปได้เยอะเลยครับ
เมื่อได้รับบัตรโดยสารพร้อมโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ภารกิจสำคัญของผมก็เริ่มขึ้น กับการออกตามล่าหาพระเอกของ Bangkok Airways นั่นก็คือ ข้าวต้มมัด ครับ
ช่วงนี้ loungeBangkok Airways อยู่ในช่วงปรับปรุง เลยมาเปิดให้บริการที่ Gate 7 แทน ผมมาถึงก็เก้อๆ กังๆ ว่าต้องไปแสดงบัตรโดยสารเพื่อจะใช้สิทธิ Lounge ตรงไหน เพราะก่อนที่จะปรับปรุง Lounge เวลาจะไปใช้บริการต้องแสดงบัตรโดยสารก่อน เลยเข้าไปสอบถามพนักงานพร้อมโชว์บัตรโดยสารว่า “ต้องตรวจบัตรโดยสารหรือเปล่าครับ" พนักงานส่ายหน้า เท่านั้นแหล่ะ ปฏิบัติการต่างๆ ของผมก็เริ่มขึ้น
ของว่างต่างๆ ยังคงมีเหมือนเดิม แต่ที่ขาดหายไปคือตู้ Popcorn ครับ
ครั้งนี้มีขนมไทยเพิ่มขึ้นมา 2 อย่าง ผมไม่รู้ว่าเพิ่มมานานแล้วหรือยัง แต่ครั้งก่อนที่ผมมาใช้บริการ ยังไม่มี นั่นคือ “ขนมสอดไส้" และ “ขนมเทียน" แต่ผมว่าความนิยมยังสู้ “ข้าวต้มมัด" ไม่ได้จริงๆผมลองชิมทุกเมนูที่มีให้บริการก็ว่าได้ แต่ที่ติดใจเห็นจะเป็นข้าวต้มมัด สมกับราคาคุยของใครหลายๆ คนจริงๆ ข้าวต้มมัดที่หวาน มัน นิ่ม กล้วยงอมๆ ถูกลิ้นผมมากๆ ครับ มื้อเช้านี้ผมเลยมาฝากท้องไว้ที่ Lounge นี่แหล่ะครับ
ผมเลือกไฟล์ทเช้าสุด (09.25 น.) แต่ก็ถือว่าสายกว่าที่ผมตั้งใจจะออกเดินทาง เดิมอยากจะออกเดินทางสัก 7 โมง เพื่อไปถึงกระบี่ให้ไว จะได้มีเวลาเที่ยวได้หลายๆ ที่ แต่เนื่องจากเพราะข้าวต้มมัดนี่แหล่ะครับ ถึงต้องเลือกที่จะบินกับ Bangkok Airways ไฟล์ทนี้ลวดลายบนเครื่องบินน่ารักมากๆ เป็นรูปกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสาร ติดอยู่เต็มลำเลยครับ
เมื่อสัญญาณปลอดภัยหลังเครื่อง Take off ดังขึ้น สายการบินก็เริ่มบริการอาหารว่างบนเครื่องบินครับ
มื้อนี้ผมลำบากที่จะทานจริงๆ เพราะว่าตอนอยู่ที่ Lounge ซัดไปเต็มกระเพาะ แต่เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมต้องมารับอาหารว่างอีก แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจของสายการบิน เลยฝืนทนกล้ำกลืนอาหารว่างที่อยู่ตรงหน้าจนหมดครับ อิอิ
ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินกระบี่อย่างปลอดภัย ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างโปร่ง แต่ไม่ใสดังที่ใจผมต้องการ แต่ขอให้ไม่มีฝน ผมก็พอใจแล้วครับ
เมื่อมาถึงสนามบิน พี่เพ็ญศรี ไกด์เจ้าถิ่นมารอรับผมที่สนามบิน เรียกได้ว่าเมื่อก้าวออกจากอาคารผู้โดยสาร ก็ก้าวเท้าขึ้นรถต่อกันเลยทีเดียว จุดหมายแรกพี่เพ็ญศรีพาไปเติมพลังก่อน เพื่อที่จะได้มีแรงเที่ยวตามโปรแกรมที่ตั้งใจไว้
มื้อเที่ยงเรามาฝากท้องกันที่ร้าน โกจ้อย ร้านขนมจีนชื่อดังของเมืองกระบี่ ร้านนี้เด่นในเรื่องขนมจีนและไก่ทอด น้ำยาราดขนมจีนมี 3 อย่าง คือ น้ำยากะทิ , แกงไตปลา และ น้ำพริก ทานกับไข่ต้ม เข้ากันอย่าบอกใคร ปกติผมชอบทานขนมจีน แต่มื้อนี้ผมทานได้น้อย เลยต้องออกตัวกับเจ้าบ้านว่า ไม่ใช่ขนมจีนของเขาไม่อร่อย แต่เนื้อที่ว่างในกระเพาะผมเหลือน้อยจริงๆ เลยทานไปได้แค่ขนมจีน 1 ถ้วย และไก่ทอดอีก 1 ชิ้นครับ
หลังจากเต็มอิ่มกับขนมจีนแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ อ.คลองท่อม ผมมาเปิดทริปกระบี่กันที่ สระมรกตครับ จากจุดจอดรถเราจะต้องชำระค่าเข้าชมกันก่อน สำหรับเด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาทครับ เส้นทางเดินเท้าเข้าสู่สระมรกต จะมี 2 เส้นทาง คือเส้นทางที่ใกล้ที่สุด จากด่านไปยังสระมรกต 800 เมตร จะเดินไปตามถนนลูกรัง ผ่านผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ และอีกเส้นทางคือเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กับระยะทาง 1,400 เมตร สองข้างทางจะพบกับป่าและสายลำธารที่ไหลมาจากตาน้ำด้านบนครับ สำหรับจุดที่น่าสนใจของที่นี่ จะเป็นสระน้ำร้อน 3 สระ ด้วยกันคือ สระแก้ว สระมรกต และ สระน้ำผุด น้ำแต่ละสระจะใสเป็นสีเขียวมรกต อุณหภูมิประมาณ 30-50 องศาเซลเซียสครับ
ทุกครั้งที่ผมมาเที่ยวที่นี่ ผมจะเลือกใช้เส้นทางแรก คือ 800 เมตร แต่ครั้งนี้ผมเลือกใช้เส้นทางศึกษาธรรมชาติดูบ้าง เพื่อจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่ขึ้นกว่าเดิม
สองข้างทางตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะพบธารน้ำใสๆ และบึงกว้าง ๆ อยู่หลายจุดเลยทีเดียว และถ้าใครใช้เส้นทางนี้ จะพบกับสระแก้ว ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สระที่ผมกล่าวถึงในตอนต้นครับ
เดินจากสระแก้วมาอีกนิด ก็จะพบกับสระมรกตครับ สระน้ำสีเขียว แทรกตัวอยู่กลางผืนป่า น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเล่นน้ำในสระแห่งนี้ ผมอยากจะให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดนะครับ เพราะสระมรกตจะได้อยู่กับพวกเราไปนานๆ ไว้ให้คนที่มาเที่ยวทีหลังได้เห็นความอลังการของธรรมชาติที่มอบไว้ให้กับพวกเราครับ
ระหว่างเดินชมความงามของสระมรกต ผมแนะนำว่าให้เดินด้วยความระมัดระวังนะครับ เพราะหินรอบๆ ขอบสระ ตรงจุดที่น้ำผ่านจะลื่นมากๆ เดินไม่ระวังมีหวังก้นจ้ำเบ้าอย่างแน่นอนครับ
ถ้าใครยังพอมีแรงอยู่ ผมแนะนำให้เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 2 กม. เพื่อไปชมจุดกำเนิดของสายน้ำที่ไหลมาเติมที่สระมรกตกันครับ ระหว่างทางจะผ่านดงเฟิร์น ผืนป่าที่เขียวขจี รวมถึงสายน้ำที่ไหลมา เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
สีฟ้าอร่ามที่อยู่เบื้องหน้าของผมตอนนี้ คือ บ่อผุด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสระมรกต มีลักษณะเป็นตาน้ำสีฟ้าอมน้ำเงิน จะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาตลอดเวลา และจะผุดเยอะขึ้นถ้ามีเสียงดัง เช่น เสียงปรบมือ สระแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำนะครับ ผมเคยมาที่นี่แล้วเห็นมีนักท่องเที่ยวเดินออกจากเส้นทางที่เขาทำขึ้น ปรากฏว่าไปเหยียบบริเวณขี้เลน ทำให้ขาของนักท่องเที่ยวคนนั้นจมหายไปทั้งขาเลยทีเดียว
จากสระมรกต ผมมุ่งหน้าสู่หาดทับแขก ระหว่างทางแวะไหว้พระที่วัดถ้ำเสือ วัดชื่อดังเมืองกระบี่ ชื่อของวัดถ้ำเสือ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดแต่สันนิษฐานกันว่าในอดีตเคยมีเสือมาอาศัยอยู่ ภายในถ้ำยังพบหินธรรมชาติเป็นรูปแบบของอุ้งเท้าเสือด้วยครับ
วัดถ้ำเสือยังมีจุดชมวิวเพื่อชมเมืองกระบี่มุมสูงด้วย แต่การจะขึ้นไปชมต้องแลกมาด้วยกำลังขาของนักท่องเที่ยว เพราะจะต้องเดินขึ้นบันไดนับพันขั้นเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว แต่เนื่องจากผมมีเวลาค่อนข้างน้อย และอยากจะถนอมหัวเข่าด้วย เลยขอไปไหว้พระ ชมที่มาของชื่อวัดถ้ำเสือเพียงอย่างเดียวครับ
ด้านในของวัดยังทำเป็นอาคารทรงจีน ภายในประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ
ผมมุ่งหน้าสู่หาดทับแขก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORTหาดทับแขกอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กม. ถือว่าอยู่ไกลจากแหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกระบี่อยู่เหมือนกัน ผมได้ข้อมูลมาว่า ที่หาดทับแขกจะเป็นชายหาดที่ค่อนข้างไฮโซ สงบ เป็นส่วนตัว ซึ่งจะผิดกับที่อ่าวนางอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะถึงหาดทับแขก จะผ่านเหมืองแร่ ซึ่งเหมืองแร่จะทำเป็นสะพานสายพานสำหรับขนถ่ายแร่ทอดยาวไปในทะเล ผมเห็นภาพแบบนี้แล้วแอบนึกในใจว่า ที่ชายหาดทับแขกจะสวยจริงๆ หรือ
ประมาณ 3.5 กม.จากเหมืองแร่ สู่เส้นทางเล็กๆ ที่แยกออกจากหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นชาวประมง เส้นทางลัดเลาะขึ้นไปตามเขา เพียงไม่นานนักก็จะถึง THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ใหญ่
ก้าวแรกที่ผมลงจากรถ ผมรู้สึกสะดุดตากับสถาปัตยกรรมการออกแบบของที่นี่เป็นอย่างมาก เพราะที่นี่ใช้ Concept “Timeless Architecture" โดยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน
น้ำมะตูมเย็นๆ พร้อมผ้าเย็น เรียกความสดชื่นกลับมาให้ผมได้เยอะเลยครับ ด้านหน้า Lobby จัดเตรียมเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อน ตัวอาคาร Lobby สูงโปร่ง ทำให้มีลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ทางรีสอร์ทยังได้เตรียมพัดลมไอน้ำไว้ช่วยผ่อนคลายความร้อนไว้ด้วยครับ
THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT เปิดบริการมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2546 ที่นี่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ประเภท “สถาปัตยกรรมที่สมควรเผยแพร่ ประจำปี พ.ศ. 2547" ต้องยอมรับแนวคิดของสถาปนิกจริงๆ ที่ได้นำเอาเอกลักษณ์ของภาคใต้มาใช้ในการออกแบบ โดยนำรูปแบบของเรือกอและมาใช้เป็นรูปทรงของหลังคา และที่หน้าจั่วของหลังคาจะเห็นเหมือนมีแผ่นไม้ยื่นออกมา ซึ่งไม้ดังกล่าวเปรียบเสมือนหัวพญานาค ทรงหลังคาแบบนี้มันดูเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว เพราะทางรีสอร์ทได้นำรูปแบบของหลังคามาเป็น LOGO ของรีสอร์ทไปแล้วครับ
นอกจากจะได้รับรางวัลในเรื่องการออกแบบแล้ว ที่นี่ยังได้รับการกล่าวถึงในหนังสือขายดีอันดับ 1 ของนิวยอร์ก ไทม์ ชื่อ “1,000 Places To See Before You Die" (สถานที่พันแห่งที่คุณควรไปเห็นก่อนตาย) และยังได้อีกหลายรางวัลเลย เช่น ได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่โรแมนติกที่สุดในเอเชีย (2009 and 2011 Traveler's Choice Award, Best of Romance, Asia และ 2013 Best of Service, Thailand) จากผล Vote และ Review ของลูกค้าใน Trip Advisor, ชนะการประกวดสุดยอดโรงแรมบูติกขนาดกลางและขนาดเล็ก Thailand Boutique Awards 2010 ได้รับรางวัลดีเด่นสาขาอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประจำภาคใต้ และล่าสุดได้รับรางวัล Gold Award สาขาอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Green, Nature and Environment) และ Silver Awardสาขาสถาปัตยกรรมและการออกแบบ (Architecture and Design) จาก Thailand Boutique Award 2011 ครับ
คำว่า “ทับแขก" เป็นชื่อหาด มาจากคำว่า “ทับ" หมายถึง “บ้าน" และคำว่า “แขก" หมายถึง “ผู้มาเยี่ยมเยือน" หาดแห่งนี้ด้านหน้าเป็นทะเล มองเห็นหมู่เกาะห้อง 13 เกาะ ชาวบ้านเรียกว่า “ป่าเกาะ" ด้านหลังเป็นเขาหางนากที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดกระบี่ ที่ตั้งของรีสอร์ทตั้งอยู่บริเวณท้องของพญานาค ดังนั้นจึงพบเห็นสิ่งที่บ่งบอกถึงพญานาคอยู่ภายในรีสอร์ทด้วยครับ
หลังจาก Check in เสร็จแล้ว ผมได้คุณซันนี่ Resident Manager พาเที่ยวชมในรีสอร์ทครับ
ห้องพักทุกห้อง ทุก Type กลอนประตูจะเป็นแบบสลักล็อก บานประตูทำจากไม้สักขนาดใหญ่เพื่อเน้นความเป็นไทย มีร่มเตรียมไว้ให้กับแขกที่ประตูทางเข้าครับ โดยห้องแรกที่คุณซันนีพาชมคือห้องพักแบบ Seaview Room ครับ
ห้องพักแบบ Seaview Room จะมีลักษณะเหมือนบ้านชั้นเดียว โดยใน 1 หลังใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ห้อง Seaview ภายในตกแต่งและออกแบบได้น่าพักผ่อนมากๆ อาจจะเพราะโทนสีของห้อง รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการตกแต่งห้องก็เป็นได้ มีการจัดพื้นที่เล็กๆ ไว้สำหรับให้นั่งเขียนหนังสือด้วยครับ
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็มีให้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ พัดลมเพดาน ไดร์เป่าผม จอ LED ขนาดใหญ่พร้อมสัญญาณดาวเทียม เครื่องเล่น DVD โทรศัพท์ ตู้นิรภัยครับ
สำหรับห้อง Sea view เพียงแค่รูดม่านก็จะมองเห็นป่าเกาะอยู่เบื้องหน้าเลยครับ
ประเมินจากสายตาคร่าวๆ ประมาณ 60% จะเป็นส่วนของพื้นที่ห้องนอน อีก 40% จะเป็นส่วนของพื้นที่ห้องน้ำ ภายในห้องน้ำแบ่งส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน พื้นที่ส่วนแห้งประกอบด้วยโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้า ซึ่งอ่างล้างหน้าน่าจะสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ใช่เป็นการซื้ออ่างล้างหน้าสำเร็จรูปมาติดตั้ง เพราะอ่างล้างหน้าของที่นี่จะเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับที่วางของเลย ส่วนพื้นที่ส่วนเปียกจะมีทั้ง Rain shower และอ่างอาบน้ำครับ
ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ ของทางรีสอร์ท ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน เมื่อนำมาพับแล้วมาวางติดกัน จะเห็นเป็นรูป Logo ของรีสอร์ทครับ
Beach Pool Villa ลักษณะจะเป็น Villa หลังใหญ่ 1 หลัง พื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเลยครับ เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบพื้นที่ในส่วนของห้องนอน ด้านหลังของหัวเตียงจะเป็นพื้นที่สำหรับใช้เขียนหนังสือหรือนั่งทำงานก็ได้
ที่ปลายเตียง มีเตียงสำหรับนั่งเล่นหรือนอนเอกเขนกเพื่อชมทีวีหรือชมทิวทัศน์นอกห้องก็ได้ครับ
ที่ปลายเตียงนอน จะมีประตูที่สามารถเปิดออกสู่พื้นที่ด้านนอกได้ เมื่อเปิดประตูนี้ออกไปจะเป็นพื้นที่ในส่วนของสระน้ำ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างของสระไม่เท่าไร แต่จะเน้นไปตามแนวยาวซะมากกว่าครับ
ด้านหลังของพื้นที่ทำงาน จะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ แบ่งเป็นส่วนเปียกและส่วนแห้งอย่างชัดเจนเช่นกัน แต่ห้องพักแบบ Villa จะมีอ่างล้างหน้าให้ 2 อ่างครับ
พื้นที่ส่วนแห้งและส่วนเปียก จะถูกกั้นโดยกระจกบานเลื่อน เมื่อเปิดประตูบานเลื่อนก็จะพบกับพื้นที่ส่วนเปียกที่ตั้งอยู่นอกตัว Villa เหมือนเป็นการบังคับให้ต้องมาอาบน้ำแบบ outdoor เลยครับ แต่รับรองได้ว่าปลอดภัยจากสายตาผู้คนรอบข้างอย่างแน่นอน
Premier Pool Villa ลักษณะจะเป็น Villa หลังใหญ่ 1 หลัง พื้นที่การใช้ประโยชน์จะคล้ายๆ Beach Pool Villa แต่พื้นที่ในส่วนของห้องนอนนั้น เตียงนอนจะชิดกับผนังห้องเลย สำหรับโต๊ะเขียนหนังสือจะอยู่ที่มุมของห้องนอนครับ
ส่วนของห้องน้ำจะอยู่ด้านหลังของเตียงนอน จะมีอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง 2 อ่าง ด้านซ้ายมือจะเป็นพื้นที่ส่วนแห้ง ส่วนด้านขวามือจะเป็นส่วนของ Rain Shower ครับ
ด้านข้างของห้องนอนจะมีประตูที่สามารถเปิดออกมาสู่พื้นที่ที่ทางรีสอร์ทได้ออกแบบให้เป็นอ่างอาบน้ำ รวมถึงสระว่ายน้ำได้ครับ รูปแบบของสระว่ายน้ำจะคล้ายๆ กับห้อง Beach Pool Villa คือจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างของสระไม่เท่าไร แต่จะเน้นไปตามแนวยาวครับ ส่วนตัวผมชอบพื้นที่ในส่วนนี้มาก
รูปแบบของห้องพักแบบ Superior Room และ Deluxe Room มองดูจะเป็นเหมือนบ้านสองชั้น อธิบายง่ายๆ คือใน 1 หลังใหญ่ จะแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา ในส่วนของชั้นบน จะเป็นห้องพักแบบDeluxe Room ส่วนชั้นล่างจะเป็นห้องพักแบบ Superior Room ดังนั้นใน 1 หลังใหญ่ จะประกอบไปด้วย 2 Deluxe Room และ 2 Superior Room ครับ
เปิดประตูห้องพักเข้าไปจะพบทางเดินที่นำไปสู่พื้นที่ห้องนอน และห้องน้ำ ในส่วนของพื้นที่ห้องนอน ก็จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเหมือนกับห้องที่กล่าวมาด้านต้นทั้งหมดครับ
เนื่องจาก Superior Room เป็นห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง ลักษณะของห้องพักจึงคล้าย ๆ กล่องสี่เหลี่ยม เพดานของห้องจะไม่ยกสูงตามทรงหลังคาเหมือน Deluxe Room ครับ
มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้างครับ ผนังห้องน้ำระหว่างห้องนอนและห้องน้ำจะเป็นกระจก ในห้องน้ำจะแบ่งเป็นส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจนครับ ในส่วนของส่วนแห้ง ประกอบด้วยโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้า ซึ่งอ่างล้างหน้าจะเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับที่วางของเป็นแนวยาวเลยครับ
สำหรับส่วนเปียก จะมี Rain shower และ อ่างอาบน้ำที่เพดานสามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกได้
มาถึง Deluxe Room กันบ้าง ซึ่งเป็นห้องที่ผมพักตลอด 2 คืนครับ Deluxe Room จะอยู่บนชั้น 2 เหนือ Superior Room การที่อยู่ชั้นสองทำให้เพดานห้องจะสูงโปร่งไปตามโครงของหลังคา ดูแล้วไม่ค่อยอึดอัดเหมือน Superior Room ครับ
จะว่ากันไปแล้ว Superior Room ก็ไม่ได้ดูอึดอัดอะไรมากมายหรอกครับ เพราะปกติบ้านของเราๆ ท่านๆ ก็มีเพดานเหมือนกับ Superior Room กันอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมี Deluxe Room มาเปรียบเทียบเท่านั้น ทำให้เรารู้สึกว่า Deluxe Room จะดูปลอดโปร่งกว่า
มีพื้นที่ให้สำหรับนั่งเขียนหนังสือด้วยครับ คล้าย ๆ โต๊ะญี่ปุ่น และมีเบาะให้รองนั่งกับพื้นห้องแทนการนั่งเก้าอี้ ด้านบนของที่เขียนหนังสือเป็นโคมไฟ 2 โคม ออกแบบมาน่ารักดีครับ
สำหรับด้านข้างของเตียง ถ้ารูดม่านออกจะเป็นผนังกระจกที่สามารถเลื่อนเปิดแล้วเดินออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงได้ครับ
ทางด้านซ้ายมือเมื่อเดินผ่านประตูห้องเข้ามา จะเป็นตู้เสื้อผ้า ซึ่งฝาของตู้เสื้อผ้า จะทำเป็นโครงประตูไม้สำหรับเปิด-เปิด ส่วนบานประตูเสื้อผ้าแทนที่จะใช้ไม้ตีปิดโครงประตู แต่ที่นี่ใช้ผ้ามาทำหน้าที่แทนไม้ ผมก็เพิ่งจะเคยเห็นการออกแบบตู้เสื้อผ้าแบบนี้ ที่นี่เป็นที่แรกจริงๆ ครับ ถัดจากตู้เสื้อผ้า จะเป็นประตูบานเลื่อนทำจากกระจกซึ่งจะมีผ้ามากั้นปิดตรงกระจกอีกที ด้านหลังประตูบานเลื่อนจะเป็นส่วนของห้องน้ำครับ
มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้าง เมื่อเลื่อนประตูบานเลื่อนออก ก็จะพบกับพื้นที่ส่วนแห้ง ซึ่งจะเป็นพื้นที่ส่วนสุขภัณฑ์และอ่างล้างหน้าครับ
ก๊อกน้ำเหมือนทำจากทองเหลือง ดูคลาสสิคดีครับ สำหรับอุปกรณ์อาบน้ำก็ถูกบรรจุใส่ถุงตาข่ายอย่างเรียบร้อย เหมือนของชำร่วยงานแต่งงานเลยครับ
สำหรับพื้นที่ส่วนเปียกจะแยกจากพื้นที่ส่วนแห้งโดยผนังกระจก เรียกได้ว่าแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะอาบน้ำก็ต้องเปิดประตูกระจกเข้าไปในส่วนเปียก ซึ่งจะเป็นกึ่งๆ outdoorจะมีพื้นที่สำหรับ Rain Shower ให้ยืนอาบน้ำใต้ชายคา และอ่างอาบน้ำซึ่งแช่น้ำไปสามารถชมบรรยากาศด้านบนไปในตัว
มาดูอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ในห้องกันบ้างดีกว่าครับ เริ่มจากเครื่องเล่นเพลงที่สามารถโหลดเพลงจาก iphone ได้ด้วยครับ
เครื่องชงกาแฟ ตู้เย็น มีไว้ให้พร้อม รวมถึงชา และ minibar ที่ดื่มได้ฟรีในชุดแรกครับ minibar ประกอบด้วยน้ำอัดลม 2 กระป๋อง และโซดาอีก 2 ขวด สำหรับน้ำดื่มมีให้ 4 ขวดครับ น้ำดื่มรู้สึกว่าจะขอเพิ่มใหม่ได้ เพราะช่วงที่แม่บ้านมาทำความสะอาดห้องให้ผม เขาเอาน้ำดื่มมาเติมให้จนครบทั้ง 4 ขวด ทั้งๆ ที่ผมดื่มไปแล้ว 2 ขวดครับ
มีตะกร้าผ้าเช็ดตัวให้ 2 ผืน สำหรับหิ้วไปเปลี่ยนตอนเล่นน้ำที่สระหรือน้ำทะเลครับ
ในตู้เสื้อผ้าจะมีตู้นิรภัย ยาทากันยุง ยาไล่ยุงแบบเสียบปลั๊ก ไฟฉาย เสื้อคลุมอาบน้ำ รวมถึงไม้แขวนเสื้อที่มีไว้ให้เยอะแยะเลยครับ ถึงที่นี่จะเตรียมอุปกรณ์กันยุงไว้ให้ แต่น่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง ผมพักที่นี่ 2 คืน รู้สึกจะไม่เจอยุงเลยสักตัว ผิดกับที่หัวหิน ที่ต้องนั่งตบยุงกันทั้งคืน
ที่แขวนแม่กุญแจ พร้อมป้าย ห้ามรบกวน/ทำความสะอาด
เอกสารแนะนำรีสอร์ท
ปิดท้ายด้วย Welcome Fruit ครับ
มาดูกิจกรรมต่างๆ ที่ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพักกันบ้างดีกว่า เริ่มที่ THE SPA ครับ
อาคารด้านหน้าของ THE SPA เป็นอาคารชั้นเดียว ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของทรงหลังคาเหมือนห้องพักทุกๆ หลังครับ
เข้าไปด้านใน จะเป็นพื้นที่ของ Reception Spa
ด้านข้างๆ ของ Reception Spa จะเป็นห้องซาวน่าและอ่างแช่น้ำครับ
ที่โดดเด่นและไม่เหมือนใครคือห้องนวดนี่แหล่ะครับ ที่ออกแบบเป็นห้องทรงสูง ผู้ออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากรังไหม มีทั้งหมด 3 ห้องครับ
ผนังของห้องนวดแต่ละห้องจะเป็นแผ่นไม้นำมาแปะ ๆ จนเต็มพื้นที่ ด้านหลังของแผ่นไม้มีการนำดวงไฟไปประดับอยู่ด้วย ส่วนด้านบนสุดของห้องรังไหมจะเป็นอะคริลิค ที่สามารถรับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้ในช่วงเช้าถึงเย็น ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นการออกแบบแบบนี้เป็นครั้งแรกครับ
The Gym เป็นอีกสิ่งที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพักได้มาใช้บริการฟรี แต่ดูเหมือนห้องนี้จะไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร เพราะอุปกรณ์แต่ละชิ้นยังใหม่กิ๊กอยู่เลยครับ นอกจากอุปกรณ์ Fitness แล้ว ถ้าหากสนใจปั่นจักรยานเสือภูเขา ก็สามารถติดต่อกับทางรีสอร์ทได้ฟรีครับ
The Library จะอยู่ชั้นล่างของอาคาร Lobby แบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ให้นั่งอ่านหนังสือ และส่วนที่หาข้อมูลทาง internet ครับ
ฝั่งตรงข้ามของ The Library จะเป็น I'artisan ซึ่งจะเป็นห้องจำหน่ายสินค้าที่ระลึกครับ
สระว่ายน้ำ แบ่งเป็นสระเด็ก และสระผู้ใหญ่ครับ ตั้งอยู่ใจกลางรีสอร์ท ติดกับ The Spa ครับ
มาดูในส่วนของห้องอาหารกันบ้างครับ ห้องอาหาร Di Mare ห้องอาหารอิตาเลี่ยนน้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อไม่นานนี่เอง Di Mare ให้บริการอาหารอิตาเลี่ยนแบบ Trattoria (Homemade) ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะโรแมนติค ริมทะเล มองเห็นป่าเกาะอยู่ตรงหน้า อาหารทั้งหมดได้รับการครีเอทและดีไซน์ขึ้นเป็นพิเศษ โดยเชฟที่มีประสบการณ์การทำอาหารอิตาเลี่ยนให้กับโรงแรมที่มีชื่อเสียงและร้านอาหารชั้นนำในประเทศอิตาลี่ อังกฤษและออสเตรเลีย มากว่า 30 ปีเลยครับ
ก่อนที่ผมจะแนะนำห้องอาหารอีก 1 ห้องที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ผมขอพามาชมบรรยากาศริมทะเลก่อนดีกว่าครับ
ด้านหน้าหาดมีป้ายของรีสอร์ท มีพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเล สังเกตได้ว่าที่นี่จะไม่มีเตียงผ้าใบรวมถึงร่มชายหาดตั้งอยู่ริมหาดให้เสียบรรยากาศครับ แต่ทางรีสอร์ทจะมีเบาะนอนขนาดใหญ่ให้แขกไว้ได้นั่งชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้ทางรีสอร์ทยังเตรียมเรือคายัคให้แขกได้พายกันฟรี อีกด้วยครับ
เสน่ห์ของหาดทับแขกคือ หมู่เกาะห้อง 13 เกาะ ที่ชาวบ้านเรียกว่าป่าเกาะ ซึ่งหมายถึงเกาะจำนวนมากมาย ทอดตัววางเรียงอยู่ด้านหน้าหาด อยู่ทางทิศตะวันตก มีเกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ ขวางบังคลื่นลมราวกับกำแพงที่ธรรมชาติสร้างไว้ ทำให้หาดทับแขกเป็นเสมือนหาดไร้คลื่นทะเล เรียบ ไม่มีไอน้ำเค็มเหมือนเช่นหาดอื่นๆ เล่ากันว่าสมัยโบราณใช้เป็นที่พักเรือหลบลมช่วงฤดูมรสุมครับ
ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตก ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดมานั่งชมบรรยากาศของหมู่เกาะห้องนะครับ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า แสงของดวงอาทิตย์จะเริ่มอ่อนกำลังลง และสาดส่องมายังหมู่เกาะทั้ง 13 ทำให้หมู่เกาะทั้ง 13 เหมือนจะเปล่งแสงสีทองออกจากเกาะกันเลยทีเดียว ตำแหน่งของเกาะแต่ละเกาะที่อยู่ใกล้ ไกลกัน ทำให้มองเห็นเป็น Layer อย่างสวยงาม เกาะไหนที่อยู่ใกล้เรา จะเป็นสีเข้ม ส่วนเกาะไหนที่อยู่ไกลเรา จะเป็นสีจางๆ สวยงามอย่าบอกใครเชียว ความสวยงามจะเริ่มตั้งแต่แสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนกำลังลง จนทำให้มองเห็นดวงอาทิตย์ที่กลมโต ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป และหลังจากนั้นก็จะได้เห็นแสงสีที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นอีกครั้ง สวยงามจนสะกดให้ผมตกอยู่ในภวังค์เลยครับ
The Arundina เป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่ผมคิดว่าบรรยากาศสุดยอดมากๆ ครับ ชื่อของ Arundina มาจากชื่อภาษาอังกฤษของกล้วยไม้ยี่โถปีนังThe Arundina เป็นห้องอาหารแบบ All Day Dinning ที่มีเมนูหลากหลาย เต็มไปด้วยอาหารอร่อยสูตรเฉพาะของที่นี่ ให้บริการทั้งอาหารไทยและเทศ ที่พร้อมเสริฟตลอดทั้งวัน
ช่วงเย็นๆ แขกที่เข้าพักมักจะมานั่งชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกกันที่ห้องอาหารนี้ครับ
The Arundinaเป็นห้องอาหารโมเดิร์นไทย ที่เพิ่งได้รับการออกแบบปรับปรุงและต่อเติมขึ้นใหม่จากห้องอาหารเดิมแบบเรียบง่ายชั้นเดียวมาเป็นสองชั้น โดยการออกแบบนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเรือใบ จะเห็นได้ชัดจากชั้นที่ 2 หรือ Upper Deck ที่มีหลังคาทำจากผ้าใบสีดำขนาดใหญ่ ดึงแขวนขึ้นด้วยลวดสลิง ให้ความรู้สึกราวกับอยู่บนดาดฟ้าของเรือใบ อีกทั้งรอบๆ ห้องอาหารถูกสร้างขึ้นบนบ่อน้ำธรรมชาติที่มีปลาคาร์พตัวใหญ่หลายร้อยตัวแหวกว่ายไปมาเพิ่มความเพลิดเพลินตา เมื่อมองดูแล้วThe Arundinaเปรียบเสมือนเรือใบลำหรู ที่พร้อมจะพาเราไปท่องท้องทะเลอันดามันอันกว้างใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าเราครับ
นอกจากบรรยากาศจะชนะเลิศแล้ว ช่วงค่ำยังมีดนตรีสดมาขับกล่อมอีกด้วย การันตีความไพเราะเลยครับ
หลังจากเก็บภาพห้องพัก พร้อมบรรยากาศริมหาดเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารมื้อเย็นที่ทานตอนดึกแล้วครับ ยอมรับว่าเปิดเมนูของห้องอาหาร The Arundina แล้ว ถึงกับออกอาการไม่กล้าสั่งอาหารเลยก็ว่าได้ เพราะแต่ละเมนูค่อนข้างแพงเอาเรื่องเลยทีเดียวสำหรับคนไทย (อย่างผม) เท่าที่ดูเมนูที่ถูกสุด ราคาอยู่ที่ 220 บาทครับ เปิดไปเปิดมาจนถึงหน้าสุดท้าย พบเมนูอาหารจานเดียว เป็นพวกเมนูข้าวผัด ราคาอยู่ที่ 290 บาท ผมกับเพื่อนปรึกษากันว่าจะทานเป็นอาหารจานเดียวหรือสั่งเป็นกับข้าวดี แต่ก็มาสะดุดตากับแผ่นกระดาษสีขาว ซึ่งเป็นอีกตัวเลือกในการสั่งอาหารของผม กระดาษสีขาวนั่นคือเมนูอาหารเป็นชุด สำหรับทาน 2 ท่านครับ มีให้เลือก 2 ชุด คือ THAI VEGETARIAN SET มีอาหารอยู่ 5 เมนู พร้อมข้าวและผลไม้ ราคาอยู่ที่ชุดละ 990 บาท อีกหนึ่งชุดคือ THAI SET มีอาหารอยู่ 5 เมนู พร้อมข้าวและผลไม้ ราคาอยู่ที่ชุดละ 1,400 บาทครับ
เพื่อนๆ เดาไม่ผิดหรอกครับว่าผมเลือก THAI VEGETARIAN SET เพราะดูจากราคาแล้ว Set นี้เป็นตัวเลือกที่ผมพอจะรับได้
มาดูกันดีกว่าว่า THAI VEGETARIAN SET ประกอบด้วยเมนูอะไรบ้าง
เริ่มที่ Salad กันก่อน เมนูนี้คือ ยำเม็ดมะม่วงครับ วัตถุดิบจะประกอบไปด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นหลัก เสริมด้วยต้นหอม หัวหอม และมะเขือเทศ จานนี้เสริฟให้คนละ 1 จานครับ
Soup จะเป็น ต้มยำเห็ด มีเห็ดฟางและเห็ดเข็มทอง รสชาติไม่จัดจ้านสักเท่าไร คิดว่าน่าจะถูกใจชาวต่างชาติ จานนี้เสริฟให้คนละ 1 ถ้วยครับ
Main-course เริ่มที่เต้าหู้ผัดเม็ดมะม่วง วัตถุดิบหลักคือ เต้าหู้ พริกหยวก เห็ดฟาง และเม็ดมะม่วง ผัดกับน้ำพริกเผา เมนูนี้ได้หวานนำจากน้ำพริกเผาครับ
ตามมาด้วย ผัดกะเพรามะเขือยาวครับ เมนูนี้ผมไม่ได้ชิมเลยเพราะผมทานมะเขือยาวไม่เป็น
ตามมาด้วย ผัดผักรวม วัตถุดิบคือ ดอกกะหล่ำ เห็ดฟาง หน่อไม้ฝรั่ง และแครอทครับ
Main-course จะเสริฟให้เมนูละ 1 ชุดครับ
สำหรับอีก 2 เมนูที่เหลือ ผมสั่งมาเสริมกำลังทัพครับ เริ่มที่ปอเปี๊ยะ และ แกงเผ็ดเป็ดย่างครับ
ปิดท้าย THAI VEGETARIAN SET ด้วยผลไม้ มีแตงโม มะละกอ และสับปะรด
สำหรับ THAI SET ประกอบด้วยเมนู ยำปลากรอบ ต้มยำกุ้ง แกงเผ็ดเนื้อ ปูนิ่มผัดผงกระหรี่ ผัดผักรวม และผลไม้ครับ
สำหรับมื้อนี้ ทางรีสอร์ทดูแลค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารให้ผม ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมคงต้องกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้วครับ เพราะต้องเก็บแรงออกทัวร์ในวันพรุ่งนี้ต่อ
เช้าวันใหม่ ยอมรับว่าไม่อยากจะลุกจากที่นอนเลย ที่นอนที่นี่นุ่ม สบายเอามากๆ เมื่อหลังถึงหมอน ตัวซุกอยู่ในผ้าห่ม มันช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ครับ แต่วันนี้ผมมีโปรแกรมที่จะออกทัวร์เกาะห้อง ซึ่งผมนัดเรือไว้ตอน 08.30 น. เลยต้องกัดฟันลุกจากเตียง เพื่อไปตุนอาหารเช้าก่อนออกเดินทางครับ
อาหารเช้าจะอยู่ที่ห้องอาหาร The Arundina ครับ
The Arundina เปิดให้บริการครบทั้งสามมื้อเลย โดยในแต่ละมื้อก็จะเน้นที่ความสดใหม่และคุณภาพของวัตถุดิบเป็นหลัก อย่างมื้อเช้า นอกจาก ขนมปังโฮมเมดนานาชนิดแล้ว เมนูอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีพ่อครัวปรุงขึ้นสดๆ เป็นจานๆ ตามแต่ละออร์เดอร์ครับ
สำหรับไลน์อาหารเช้าที่รีสอร์ททำเตรียมไว้ให้แล้ว ผมว่ายังไม่ค่อยหลากหลายเท่าที่ควร อย่างอาหารไทยจะมีข้าวผัด เส้นผัด และอาหารให้ 1 เมนู ซึ่งมื้อนี้เป็นผัดปลาหมึกครับ นอกจากนี้ยังมีไส้กรอก เบคอน แฮม สลัด มาเสริมทัพอีกนิดหน่อย แต่ผมเองก็ทานไม่ครบทุกเมนูหรอกครับ จะเน้นอาหารที่ปรุงใหม่ๆ จากพ่อครัวมากกว่า
มุมนี้เป็นมุมผลไม้ ถือว่าหลากหลายเลยครับ มีทั้งแก้วมังกร แตงโม มะละกอ สับปะรด เงาะ มังคุด ลองกอง กล้วย
สำหรับแขกที่มารับประทานอาหารที่ The Arundinaผมว่านอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังอิ่มอกอิ่มใจกับบรรยากาศที่อยู่เบื้องหน้าด้วยเช่นกัน
ทุกๆ เช้า น้องๆ พนักงานจะร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเก็บขยะที่หน้าชายหาดของโรงแรมครับ ขยะที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาเศษไม้ ที่ลอยมากับเกลียวคลื่น เมื่อน้ำลง เศษไม้ต่างๆ ก็จะติดอยู่บนชายหาด ทำให้ดูไม่สวยงาม แต่เมื่อเหล่าพนักงานเก็บกวาดหมดแล้ว ทำให้ชายหาดดูสะอาดตามากๆ ครับ
ทุกครั้งที่ผมมาเที่ยวกระบี่ เหมือนผมจะโดนไฟล์ทบังคับให้ต้องไปเที่ยวหมูเกาะพีพี อาจเนื่องมาจากผมมาเที่ยวเป็นหมู่คณะ และต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกโปรแกรมทัวร์ แต่ครั้งนี้ผมมาเป็นการส่วนตัว หัวเด็ดตีนขาดยังไงผมคงต้องเลือกไปเที่ยวในที่ที่ผมยังไม่เคยไป นั่นก็คือหมู่เกาะห้อง ถ้ามาที่หาดทับแขกแล้ว ไม่ไปเที่ยวเกาะห้อง มันก็จะดูแปลก ๆ ก่อนออกทัวร์เกาะห้องผมได้ศึกษาข้อมูลของราคา Package ไว้เรียบร้อยแล้ว หากไปซื้อแพคเกจ Speed Boat ที่อ่าวนาง จะมีค่าใช้จ่าย 1,200 บาทต่อหัว ซึ่งราคาแพคเกจจะรวมรถรับ-ส่ง รีสอร์ท-ท่าเรือ, ทัวร์เกาะห้องครึ่งวัน, อาหารมื้อกลางวัน แต่ถ้าหากว่าเหมาเรือหางยาวไปจากหาดทับแขกเลย จะมีค่าใช้จ่ายลำละ 1,700 บาท สามารถไปได้ 2 คน โดยเราจะไปอยู่ที่เกาะห้องถึงเมื่อไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะกลับถึงหาดทับแขกก่อนบ่ายสองครับ
เมื่อบวกลบคูณหารค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นกับสมาชิก 3 คนแล้ว ตัวเลือกหลังคือเหมาเรือหางยาวจากหาดทับแขก จะประหยัดที่สุด หากต้องการจะเหมาเรือหางยาว สามารถติดต่อกับทางโรงแรมได้เลยนะครับ ปกติเรือ 1 ลำ ต่อนักท่องเที่ยว 2 คน แต่ถ้านักท่องเที่ยว 3 คน จะเสียค่าใช้จ่าย 2,000 บาทต่อลำ ซึ่งก็ยังถูกกว่าการใช้บริการ Speed Boat จากอ่าวนางครับ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปปิกนิกนั่งทานอาหารกลางวันที่หมู่เกาะห้อง สามารถติดต่อให้ทางรีสอร์ทแพคอาหารกล่องเตรียมไว้ให้ก็ได้นะครับ โดยคิดค่าบริการชุดละ 400 บาท แต่อาหารกลางวันผมไม่กังวลสักเท่าไร เพราะพี่เพ็ญศรี ไกด์เจ้าถิ่นอาสาว่าจะเตรียมอาหารกลางวันให้กับผม
ก่อนเวลานัดหมายนิดหน่อย เรือหางยาวก็มาจอดรออยู่ที่ริมหาดเรียบร้อยครับ ผมเองกระเตงอาหารกลางวัน น้ำดื่ม และตะกร้าผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในห้องไปด้วย เผื่อสำหรับไว้เล่นน้ำครับ เช้านี้คลื่นค่อนข้างสงบ ฟ้าใสเชียวครับ
ในบรรดาหมู่เกาะทั้ง 13 ที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อมองจากหาดทับแขก เกาะที่ใหญ่สุดทางซ้ายมือคือเกาะห้อง เราใช้เวลานั่งเรือหางยาวประมาณ 20 นาที เรือหางยาวก็มาจอดที่เกาะห้องแล้ว เมื่อมาถึงเกาะห้อง นักท่องเที่ยวจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขึ้นเกาะ 20 บาทครับ
ผมเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าเกาะห้องอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ในปีนี้เกาะห้องถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 Dream Destination กาลครั้งหนึ่งต้องไป ซึ่ง ททท. เป็นเจ้าของโครงการครับ หาดทรายที่นี่ขาวนวลมากๆ เวลาเดินแล้วนิ่มเท้ามากๆ ครับ บริเวณหน้าหาดจะเห็นเศษซากปะการังพัดมาติดอยู่ที่ชายหาดอยู่เยอะพอสมควร ยามน้ำลงจะเห็นชายหาดเป็น 2 อ่าวเลยครับ ต้องยอมรับว่าที่นี่เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก
ผมใช้เวลาอยู่ที่ชายหาดของเกาะห้องอยู่นานพอสมควร เพื่อรอเวลาให้น้ำทะเลขึ้นกว่านี้สักเล็กน้อย เพราะช่วงเวลาที่ผมไปถึง น้ำทะเลลง จึงทำให้ไม่สามารถนั่งเรือหางยาวเข้าไปชมความสวยงามของหมู่เกาะห้องได้
ระหว่างรอน้ำทะเลขึ้น ก็เลยหากิจกรรมทำเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ผมเลยเช่าเรือคายัคมาพายเล่นบริเวณหน้าหาด ที่นี่มีเรือคายัคไว้ให้เช่าพายเล่นด้วย โดยคิดค่าบริการชั่วโมงละ 400 บาท สามารถพายได้ 2 คน ติดต่อได้บริเวณที่ทำการอุทยานเลยครับ
เมื่อน้ำทะเลเริ่มขึ้น ผมจึงออกนั่งเรือหางยาวอีกครั้งเพื่อเข้าชมความสวยงามของอ่าวห้อง ด้านในของอ่าวห้องจะมีทางเข้าออกเพียงทางเดียว ด้านในมีลักษณะคล้ายๆ ทะเลในหรือ Lagoon น้ำทะเลใส ทรายขาวมากๆ ผมสามารถลงจากเรือแล้วไปยืนกลาง Lagoon ท่ามกลางขุนเขาที่ล้อมรอบตัวของผมได้อย่างสบายครับ
หลังจากซึมซับกับบรรยากาศภายใน Lagoon อยู่พักใหญ่ ก็ออกเรือเพื่อชมเกาะต่างๆ กันต่อครับ แต่ละเกาะมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป บางเกาะมีการสัมปทานรังนกนางแอ่น บางเกาะก็เป็นเกาะเล็กๆ อยู่กลางทะเล อย่างเกาะผักเบี้ยที่ผมลงมาสัมผัสนี่ก็เช่นกันครับ มีชายหาดเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลงมาเล่นน้ำด้วย
สรุปสุดท้าย อาหารกลางวันที่ผมเตรียมมาเลยไม่ได้ไปใช้ปิกนิกริมหาดกันแล้วครับ เพราะผมหมดโปรแกรมทัวร์ภายในเวลาก่อนเที่ยง จึงตัดสินใจไปปิกนิกกันที่ริมระเบียงหลังห้องพักแทนครับ อิอิ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการปิกนิกที่ระเบียงหลังห้องพักแล้ว ก็ออกเที่ยวกันต่อครับ โปรแกรมต่อไปของผมอยู่ที่ ท่าปอมคลองสองน้ำ
ท่าปอมคลองสองน้ำอยู่ในความรับผิดชอบของ อบต.เขาคราม ดังนั้นการจะเข้าไปชมด้านในจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาทครับ
ด้านในจะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเชิงนิเวศวิทยา ได้เห็นถึงความสมบูรณ์ของพืชพรรณที่เติบโตได้ทั้งในน้ำและบนดิน แต่จุดที่น่าสนใจคือ สายน้ำที่ไหลผ่านคลองท่าปอมนี่ซิครับ ในช่วงขึ้น 12 ค่ำไปจนถึง แรม 5 ค่ำ น้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงลึกเข้ามาในคลองท่าปอม และผสมกับน้ำจืดในคลองท่าปอมกลายเป็นคลองน้ำกร่อยที่มีสีฟ้าค่อนข้างขุ่นแต่ว่าก็เป็นช่วงเวลาไม่นาน เพราะหลังจากนั้นน้ำทะเลก็จะลงและถูกแทนที่ด้วยน้ำจืดที่ใสแจ๋ว สามารถมองเห็นปลาและพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
เสน่ห์ของ ท่าปอม อีกอย่างนอกเหนือจากความใสของน้ำเห็นจะเป็นรากไม้ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเพื่อหายใจ แล้วพันเกี่ยวสานกันเป็นแพอยู่ริมตลิ่งสองฝั่งคลอง ความสวยงามของธรรมชาติที่รังสรรค์มาดูแปลกตาน่าอัศจรรย์มากๆ ครับ
ผมกลับเข้ามาในตัวเมืองกระบี่อีกครั้งเพื่อแวะมาชมเขาขนาบน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะมาชมวิวเขาขนาบน้ำบริเวณริมเขื่อนท่าเทียบเรือเขาขนาบน้ำ จุดนี้จะมีประติมากรรมปูดำขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยแม่ปู 1 ตัว และลูกปูอีก 3 ตัว ปัจจุบันลูกปูหนึ่งตัวลอกคราบเป็นปูทองเหลืองไปแล้วครับ โดยสาเหตุที่ลูกปูลอกคราบคงจะเป็นเพราะเวลาที่นักท่องเที่ยวมาโพสท่าถ่ายภาพกับปู ก็จะมาสัมผัส ลูบคลำจนสีดำของปูสึกกร่อนไปนั่นเอง
ด้านหลังของประติมากรรมปูดำจะมองเห็นเขาหินปูนสองลูกตั้งอยู่เคียงคู่กัน เขาที่เห็นเรียกว่าเขาขนาบน้ำครับ บริเวณเชิงเขาจะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ใครมีเวลาสามารถไปเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้นะครับ ผมเคยไปเดินมาครั้งหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวสักเท่าไร อาจเป็นเพราะขาดการดูแลรักษา จึงทำให้เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติค่อนข้างชำรุดทรุดโทรม นักท่องเที่ยวจะนิยมนั่งเรือชมบรรยากาศป่าชายเลนซะมากกว่าครับ
ก่อนกลับเข้าโรงแรม ผมแวะหาอาหารพื้นเมืองทานในตัวเมืองกระบี่ เมนูที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงกระบี่ เห็นจะเป็นหอยชักตีนครับ เพื่อนๆ ไปเที่ยวกระบี่อย่าลืมลองหาหอยชักตีนทานกันนะครับ
เย็นวันที่สองในกระบี่ ผมไม่พลาดที่จะมาชมความงามยามพระอาทิตย์ตกที่หาดทับแขกอีกครั้ง ผมรู้สึกประทับใจมากๆ ผมว่าการมานั่งชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ โรแมนติกไม่แพ้ไปชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ตเลยครับ
เกาะด้านซ้ายคือเกาะห้องครับ
แล้วท้องฟ้าวันนี้ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ฟ้าเคลียร์ จนทำให้ผมสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์กลมโต หายวับไปในป่าเกาะที่อยู่เบื้องหน้าผม หลังจากนั้นธรรมชาติก็ระบายสีสันเต็มผืนฟ้า สวยงามเกินบรรยายครับ
ไปชมบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินภายในรีสอร์ทกันบ้างดีกว่าครับ
ศาลาริมชายหาด สำหรับให้แขกได้มานอนเอนกายชมบรรยากาศของหาดทับแขกครับ
ห้อง Sea View ริมหาดทับแขก
สระว่ายน้ำส่วนกลาง
The Spa
ศาลาเล็กๆ ภายในรีสอร์ทให้แขกได้นั่งเล่น ชมสายน้ำที่ไหลมาจากเขาหางนาคครับ
ห้องพักแบบ Superior Room และ Deluxe Room
อาคาร Lobby ครับ
เสร็จสิ้นภารกิจในวันที่ 2 แล้ว ผมรีบตักตวงความสุขบนเตียงนุ่มๆ เพื่อเก็บแรงไว้ใช้เดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นครับ
เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับความสดชื่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าก่อนที่จะลงมือทานอาหารเช้าครับ
ทานอาหารเช้าท่ามกลางฝูงปลาคราฟ นับร้อยๆ ตัวที่แหวกว่ายอยู่รอบๆ โต๊ะทานข้าวของผมครับ
เช้านี้ขอเบาๆ พอ เมนูเช้านี้ที่พลาดไม่ได้เห็นจะเป็นโรตีกล้วย ที่วันแรกผมทานไปชิ้นเดียว วันนี้ขอจัด 3 แผ่นครับ อิอิ
ความร่มรื่นภายในรีสอร์ทถือว่าใช้ได้เลยครับ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นตะกวดเดินเล่นอยู่ในรีสอร์ทด้วย
เช้านี้ผมขอเดินเก็บบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทอีกครั้งด้วยความประทับใจ
ทราบมาว่า ก่อนลงมือก่อสร้างจะมีการวางผังของบ้านแต่ละหลังให้พ้นต้นไม้ รีสอร์ทจะเน้นการเก็บต้นไม้เดิมไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายธรรมชาติ จึงไม่แปลกที่จะเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่หลากสายพันธุ์ของป่าพรุ ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมก่อนที่จะสร้างรีสอร์ทแห่งนี้ ยืนตระหง่านให้ความร่มเย็นอยู่ภายในรีสอร์ทจำนวนมาก จะเห็นได้ว่าต้นไม้เดิมสามารถเติบโตได้ดี มีลำต้นใหญ่ และแข็งแรง ทำให้แน่ใจว่าที่ดินผืนนี้อุดมสมบูรณ์เป็นที่สุด
สำหรับจุดเด่นของรีสอร์ทแห่งนี้ผมว่าตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ด้านหลังเป็นเขา ด้านหน้าเป็นทะเล มีหาดทรายส่วนตัวสีขาวนวลเม็ดทรายละเอียดราวกับแป้ง มองเห็นวิวของหมู่เกาะห้องทั้ง 13 หากใครชื่นชอบความสงบ ความเป็นส่วนตัว คงโดนใจเข้าอย่างจัง ความใส่ใจในรายละเอียดที่มีให้กับแขกถือว่าดีมากครับ กิจกรรมที่มีให้สำหรับแขกไม่ว่าจะเป็นห้องฟิตเนส ห้องสมุด เรือคายัค จักรยานเสือภูเขา ฟรีทุกรายการ พนักงานทุกคนมี Service mind ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน
ในเรื่องของจุดด้อยก็มีให้เห็นบ้างครับ
1.สถานที่จอดรถที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้ด้านหน้ามีค่อนข้างจำกัด แต่ก็สามารถไปจอดรถไว้ริมถนนหน้ารีสอร์ทได้ มียามคอยดูแลให้
2.ห้องพักในส่วนที่เป็น Superior Room และ Deluxe Room ปลูกสร้างติดกันจนเกินไป เลยอาจดูอึดอัดไปสักหน่อย
3.ห้องน้ำในส่วนที่เป็น outdoorแล้วอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จะมีเศษกิ่งไม้ ใบไม้ร่วงลงมาในอ่างอาบน้ำบ้าง
4.ราคาอาหารค่อนข้างสูงสำหรับคนไทย รสชาติอาจจะเอาใจคนต่างชาติไปสักนิด
โดยรวมแล้ว ผมประทับใจกับการเข้าพักที่ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT เป็นอย่างมากครับ โดนใจทั้งในเรื่องบรรยากาศและความใส่ใจที่ทางรีสอร์ทมีให้กับลูกค้า หวังลึกๆ ว่าสักวันผมคงได้มีโอกาสกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง
สมควรแก่เวลาแล้ว ผมคงต้องเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติกระบี่ เพื่อเตรียมเดินทางกลับ กทม. ผมเลือกไฟล์ทเช้าสุด (11.40 น.) ที่จะกลับไปยังกรุงเทพ ก่อนขึ้นเครื่อง ขอใช้บริการของ Lounge Bangkok Airways อีกครั้งครับ
ที่นี่มีข้าวต้มมัดเหมือนกับที่สุวรรณภูมิครับ แต่อาหารว่างอาจจะน้อยไปสักนิด สัญญาณfree wifi ค่อนข้างอ่อนมากจนเล่นเน็ตไม่ได้เลย
ผมกลับเครื่องลำเดิม ลำที่พาผมมาสู่กระบี่ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าเกาะที่เห็นคือหมู่เกาะอ่างทองหรือเปล่า
หลังจากเครื่องขึ้นไปได้สักพัก ก็มีการเสริฟอาหารว่างครับ มื้อนี้ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นอาหารว่างแล้ว เพราะเสริฟเป็นปลากะพงปรุงรสพร้อมข้าวเหนียว ผมว่าเมนูปลามันไม่ค่อยเข้ากันกับข้าวเหนียวสักเท่าไร แล้วข้าวเหนียวก็ค่อนข้างแข็งและร่วน ไม่ค่อยจะเกาะตัวกันสักเท่าไรครับ ผมก็เลยจัดการแต่ปลากะพงไปซะเกลี้ยง เพียง 1 ชั่วโมง ก็เดินทางสู่สุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพครับ
หากเพื่อนคนไหนมีแผนจะมาเที่ยวกระบี่ ผมแนะนำให้ลองจัดโปรแกรมชมพระอาทิตย์ตกที่หาดทับแขกไว้ในโปรแกรมของเพื่อนๆ ดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าที่กระบี่ก็มีจุดชมพระอาทิตย์ตกดินสวยไม่แพ้ที่แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ตเลยครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.31 น.