หาโอกาสเขียน Chapter 3 อยู่สักพัก ไม่รู้จริงๆว่าจะไปที่ไหนอะไรยังไงดี นอกจากเงินในบัญชีจะหมดแล้ว เพื่อนร่วมทางก็พลอยหายไปด้วย เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เพื่อนๆรุ่นเดียวกันต่างมีงานประจำทำกัน ส่วนตัวเราก็คงยังคงคอนเซปมีเวลาว่างเช่นเดิม ( อย่าเพิ่งไปนึกถึงตอนเรียน ป โท ยังไม่เปิดเทอม! )
ทำไงดีอยากเที่ยวก็อยากไป งบก็เหลือน้อยนิด ไปคนเดียวเหงาใจแย่ช่วงนี้ยิ่งโดนทิ้งอยู่บ่อยๆ สภาพจิตใจตอนนี้ไม่อยากอยู่คนเดียวเลย เพื่อนหลายคนก็ออกไปเที่ยว ออกไปต่างประเทศกันหมด เห็นหน้า New Feed ใน Facebook มีเพื่อนไปเที่ยวกาญจนบุรี เฮ้อ เพิ่งไปมาเองเมื่อเดือนที่แล้ว แต่พอเห็นสถานที่แล้ว เห้ย น่าไปว่ะ เอาไงดี ลากใครดี สุดท้ายเราก็ได้เพื่อนร่วมทริปมาอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นรุ่นน้องที่คณะ ที่เพิ่งนอยด์จากที่ฝึกงาน ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเพิ่งส่งทีสิสจบหมาดๆ โทรเช็คที่พักอะไรเรียบร้อย แน่นอนช่วงนี้เป็นฤดูเที่ยวกาญจนบุรี ในพันทิพมีรีวิวที่พักที่นี่เต็มไปหมด ไปหาอ่านกันได้ ส่วนบทความนี่ชื่อก็บอกว่าเป็น fahpawa* Chapter ก็ทนๆอ่านเรื่องที่เราจะเขียนให้อ่านหน่อยละกันนะ : )
.. จากกรุงเทพไปกาญจนบุรีนั้นไปได้ด้วยหลายวิธี รถตู้ รถทัวร์ รถไฟ ( แต่ตอนนี้เหมือนรถไฟจะซ่อมรางช่วงหนองปลาดุกถึงกาญจนบุรีเลย) สามารถไปขึ้นรถได้ที่ อนุสาวรีย์ชัย หมอชิต สายใต้ ปิ่นเกล้า ใครใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่น คราวนี้เราเลือกไปขึ้นรถตู้ที่อนุสาวรีย์ขัยเหมือนเดิมเพราะว่าเป็นจุดนัดพบที่ดีที่สุดแล้ว เราออกจากกรุงเทพสบายๆประมาณ 11 โมงครึ่ง มาถึง บขส กาญจนบุรีก็ประมาณบ่าย 2 จริงๆถ้าใครอยากนั่งรถไฟไปลงสถานีน้ำตกก็ควรมาถึงสัก 10 โมง ละนั่งรถไฟรอบ 11 โมงจากกาญจนบุรี ถึง สถานีน้ำตก เล่นน้ำเสร็จก็มาโบกรถแดงไปลงบ้านแก่งจอได้ คราวนี้เราขึ้นบัสแดงจาก บขส กาญจนบุรี สาย กาญจนบุรี - สังขละบุรี ถ้ามีเวลาอีกสีก 3-4 วัน ต่อจากไทรโยคคงไปสังขละบุรีต่อแล้ว ( โปรดเช็คเงินในกระเป๋าด้วยค่ะ ! )
ขึ้นมาบนรถเจอเบาะ 3 ที่นั่งและ 2 ที่นั่ง เรา 3 คนก็นั่งฝั่ง 3 ที่นั่ง แต่เอ้ะ เบียดกันไปไหม แต่ละคนก็ไม่ได้ตัวเล็กๆกันเลย มองหน้ามองหลัง เราก็พบว่า ทุกคนนั่งแถวละ 2 ที่นั่งหมดเลย หลังจากนั้นก็ แยกย้ายค่ะ กระจายตัว ฮ่าๆ
ระหว่างทางเจอฝนตกด้วย อากาศเลยดียิ่งขึ้นไปอีก มองไปรอบๆเจอป่า เจอต้นไม้สีเขียวๆนี่มันสบายดีมาก ค่ารถก็ 60 บาทเท่านั้น ลงหน้าหมู่บ้านแก่งจอเลย บอกกระเป๋ารถเมล์ได้ว่าจะลงบ้านแก่งจอ จากกาญจนบุรีมาบ้านแก่งจอก็ประมาณ 2 ชั่วโมงนั่งฟังเพลง มองข้างทางเพลินๆ ไม่นานเลยแปปเดียวก็ถึงแล้ว ระหว่างทางเราก็คิดอะไรเพลินๆ แต่ก็อดจะคิดถึงเรื่องๆหนึ่งไม่ได้
" เราน่าจะได้มาด้วยกันเนอะ .. "
.. เราและเพื่อนอีก 2 ชีวิตมาถึงบ้านแก่งจอประมาณ 4 โมงเย็น ก็โทรเรียกรถของรีสอร์ทมารับที่หน้าปากทาง แต่จริงๆเดินเข้าไปได้นะไม่ไกลมาก เดินเล่นกับเพื่อนๆไปเพลินๆก็สนุกดีนะ รถที่มารับเราเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เสริมเหล็กออกมาด้านข้าง นั่งได้ 3 คนพอดีเลย เข้าไปถึงรีสอร์ทปั้บ เห้ยรถเยอะมาก นี่ขนาดวันจันทร์นะ มิน่าเสาร์อาทิตย์ถึงเต็มตลอดเลย เคาท์เตอร์เช็คอินอยู่ในแพด้านล่าง ระหว่างเดินลงไปก็มีเจ้าเหมียวเดินมาทักทาย เพื่อนๆพากันตื่นเต้น แต่เราก็กลับเฉยๆกับแมว ถูกชะตากับฉันสินะ เดินหน้าเชิ่ดมากัดเชือกรองเท้าฉันเล่นเนี่ย หื้มมมมม น่ารักไปนะ ลาออกจากการเป็นแมวดำซะ!!!!
หลังจาก Check in เสร็จเรียบร้อยเราก็เดินเข้าห้องพัก บริเวณด้านหน้าห้องพักคือแม่น้ำและเปลไว้นอนเล่น บรรยากาศตอน 4 โมงครึ่งนี่มันดีจริงๆ เอาของเก็บก็หยิบหนังสือมา 1 เล่มไปนอนอ่านบนเปล วันนี้หยิบ 100 words of love and loneliness มาอ่าน quote ในเล่มนี่ดีจริงๆ ชอบมาก มีประโยคหนึ่งในหนังสือกล่าวว่า
.. If i know what love is .. It because of you .. - Hermann Hesse -
ลองคิดเล่นๆดูสิ ถ้าเราได้มานอนอ่านหนังสือด้วยกัน บรรยากาศมันจะดีขึ้นมากขนาดไหน : )
17.24 น. ทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไปเล่นกิจกรรมแพเปียก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างมาก น้ำเย็นๆ ไหล่พัดพาเรากลับมาที่รีสอร์ท ฮ่าๆ 17.30 เป็นเวลาที่แพออกพาเราไปเล่นน้ำ เรือจะลากแพไปต้นน้ำห่างจากรีสอร์ทประมาณ 1 กิโลเมตร ตอนนั่งแพไปรู้สึกว่าไกลมาก และเริ่มคิดว่า " เราจะว่ายกลับที่พักไหวหรอ? " ก่อนแพออกเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทจะมาใส่ชูชีพให้เรา ชูชีพต้องแน่นนะ เพราะถ้าหลวมไป ลงน้ำอาจมีโอกาสหลุดได้ และแม่น้ำที่นี่ไหลแรงมาก ย้ำว่าแรงมาก พอเรือลากแพไปถึงจุดที่ให้เราโดดน้ำ ด้วยความนึกสนุก จึงกระโดดน้ำแบบนักกีฬาโอลิมปิก
สำลักน้ำแบบไม่ไยดี ....
เข็ดแล้วกับการเล่นอะไรพิเรนท์แบบนี้ หลังจากเราทั้ง 3 คนโดนทิ้งไว้กลางทาง เราก็ต่างลอยดัวไปเรื่อยๆ เล่นน้ำไปอย่างสนุกนาน ฮ่าๆ หัวเราะดังกว่าคนอื่นในกรุ้ปด้วย เจ้าหน้าที่ก็แอบขำ เราเองก็หัวเราะก๊ากกับเพื่อน ( อะไรมันจะขนาดนั้น ) พีคสุดคือ นอนจับมือกัน 3 คนเป็นแพแบบตัวนาคทะเล .. แต่จริงๆเหมือนกลุ่มคนอพยพมากกว่า = =
เราลอยคอกันไม่นานแปปเดียวก็มาถึงรีสอร์ท น้ำไหลแรงและเร็วมาก แพลนการพายเรือคายัคของเราจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ..
กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปลงสระน้ำเกลือกันต่อ ละลงมาทานอาหารเย็น รู้สึกปลื้มปิติมากที่ระหว่างทานข้าวทางรีสอร์ทเปิดเพลงลิปตาตั้งแต่อัลบั้มแรกยัน Single ล่าสุด กินข้าวไปยิ้มไป ร้องเพลงไป ใครจะหาว่าเป็นบ้าก็ไม่โกรธแล้วล่ะ ปริ่มใจ .. ( เราเป็นติ่งพี่คัทโตะน่ะ >///< )
อ้อ สัญญาณโทรศัพท์และ 3G มาถึงรีสอร์ทนะ ไม่ต้องกลัว แถมมี wifi ด้วย แต่ก็นั้นแหละถึงมีสัญญาณไว้ส่งข้อความหากัน มันไม่สู้มานั่งคุยกันในบรรยากาศริมแม่น้ำหรอก โรแมนติกกว่าเย้อะะ : )
ห้องพักถือว่านอนสบายในราคาคนละ 1,000 บาทรวมอาหารเย็นและเช้า แต่ปัญหามันอยู่ที่ห้องมันไม่เก็บเสียงนี่สิ ห้องข้างๆเดาว่าที่นอนคงหัวชนกับเรา เสียงกรนพี่แกมาเต็ม .. นอนๆไปเสียงกรนไม่เท่าไหร่ เสียงผายลมนี่สิ ปึ้งมากกกก นี่นั่งๆกันอยู่ได้แต่มองหน้ากันแล้วกัดผ้าหัวเราะไม่ให้เสียงดังเพราะถ้าหัวเราะออกไปมีหวังพี่แกได้ยินแน่ๆ ตอนเช้ามาเลยได้แต่มองหน้าพี่แกแล้วยิ้มๆให้ละกัน ฮ่าๆ
ตอนเช้านาฬิกาปลุก 7 โมงเช้า กว่าจะลุกได้เต็มๆก็ 7 โมงเกือบครึ่ง ฝนตกตอนเช้าบรรยากาศเลยอึมครึมไปหมดเลย แต่อากาศเย็นแหะ ชอบๆ มองไปทางซ้ายก็เจอหมอก ขวาก็เจอหมอก อะไรจะฟินขนาดน้านนนนน ถ้าหน้าหนาวจะฟินขนาดไหนเนี่ยไม่อยากจะคิด
มีคนบอกว่า ถ้าเราคิดถึงใครเมือตอนตื่นนอน เขาคงต้องพิเศษสำหรับเรามากแน่ๆ ..
ก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆแหละ ~
.. หลังจากตื่นนอนแบบไม่เต็มตา ก็ได้เวลาอาหารเช้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แน่นอน เราคงไม่ใส่ชุดนอนสีชมพูลายเชอร์รี่ไปกินข้าวเช้าที่ห้องอาหารหรอก เปลี่ยนชุดเสร็จ ไปกินข้าวเสร็จ กลับมาอาบน้ำแปรงฟัน เก็บของ แล้วนอนต่ออีกสักงีบ ตื่นมาอีกที 11.00 ตายแล้ว Check Out เที่ยงนะ
.. และแล้วก็ได้เวลากลับบ้าน เรา Check out แล้วก็อาศัยรถมอไซต์ของรีสอร์ทออกมาส่งที่ปากทาง แน่นอนรอบนี้เราต้องโบกรถกลับเข้าไปในตัวเมือง จะโบกรถกระบะแบบในหนังก็คงจะไม่มีใครกล้ารับเรา 3 คนแน่ๆ อีกอย่างฝนก็จะตกแล้ว นั่งท้ายกระบะมีสิทธิ์เปียกแน่นอน สุดท้ายเราก็ต้องรอรถเมล์แดงที่เรานั่งตอนขามานั้นแหละกลับเข้าไปในตัวเมืองกาญจนบุรี
.. นั่งรถมาเรื่อยๆ อ้อออ อย่าลืมพกบัตรประชาชนกันนะ ตรงนี้มันติดกับชายแดนเลยจะมีด่านตำรวจคอยตรวจบัตรอยู่ ใครทำบัตรหาย หรือไม่่ค่อยพกบัตรอาจกลายเป็นคนลักลอบเข้าเมืองได้นะ ^^ เรามาถึงตัวเมืองกาญประมาณบ่าย 2 นิดๆ ก็เดินหาอะไรกินระหว่างทาง แถว บขส มีอะไรให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด สุดท้ายก็จบลงที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ 25 บาท ที่กินกันแล้วลงมติกันว่า " ไม่อิ่มว่ะ " อ้อ บขส มีเซเว่นนะ อยากกินน้ำ กินขนม เดินไปซื้อเซเว่นดีกว่าอย่าขี้เกียจแบบเราเลย เราโดนน้ำขวดละ 10 บาท ขนมขาไก่กล่องเล้กๆมีอยู่ประมาณ 9 ขิ้น ห่อละ 50 บาท แม่เจ้าบ้าไปแล้วชิ้นละเกือบ 6 บาท ..
ในการเดินทางครั้งนี้เราคิดได้อยู่อย่างหนึ่งนะ ..
" เราว่า เราอยากให้เธออยู่ในทุกๆการเดินทางของเราว่ะ เราว่ามันสนุกกว่าเดิมอีกนะ "
25 / 07 / 2015
fahpawa
PS..
- นี่ไม่ใช่รีวิวนะ แต่เป็นบันทึกการเดินทางของเรา อยากอ่านรีวิวรีสอร์ทเสิร์ชได้ตาม Google
- รูปทุกรูปใน Chapter 3 ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ Samsung Galaxy S6 Edge Precess by VSCO CAM
- เรามีเพจ ไปติดตามได้
Fahpawa - Travel and Outing
Fahpawa - Travel and outing
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.25 น.