แวะชมกระทู้เก่า ๆ ได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ

[ ★ ] แบกเป้ตะลุย " ฮ่ อ ง ก ง " ( 3 วัน 2 คืน ) งบไม่เกิน 11,000.- สุดชิวส์ https://th.readme.me/p/3797
[ ★ ] ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิต " ผ า หิ น กู บ " ( 2 วัน 1 คืน กับงบ 1,400.-) https://th.readme.me/p/3774
[ ★ ] " ที ล อ ซู " อุ้มผาง มหัศจรรย์แห่งสายน้ำ กับเส้นทางลอยฟ้า 1219 โค้ง ( 3,900 บาทไทย ) https://th.readme.me/p/3935
[ ★ ] ก ร ะ บี่ ทริปสุดปัง !!! เที่ยวจุใจ 3 วัน 2 คืน ( 3,900.- เอาอยู่ ) https://th.readme.me/p/3937
[ ★ ] Backpack เว้ - ดานัง - ฮ อ ย อั น ( 5 วัน 4 คืน กับงบ 5,139.-) บนเส้นทางแห่งความทรงจำ ในวันที่ไม่นั่งเครื่องบิน :) https://th.readme.me/p/4720
[ ★ ] นอนแคมป์สุดชิค 2 วัน 1 คืน รับลมหนาว GOOD OLD DAYS จ. จันทบุรี https://th.readme.me/p/4721
[ ★ ] " มหากาพย์ลำคลองงู " แบกชูชีพ - เดินป่า - ไต่หิน - ลอดถ้ำ - ลอยตัว - โดดน้ำ - ตะลุยโลกใต้พิภพ
https://th.readme.me/p/9353
[ ★ ] กิน หลง เที่ยว แบบงง ๆ 4 วัน 3 คืน กับครั้งแรกในจีน " Chongqing" (8,000 บาทไทย) https://th.readme.me/p/9471

+++พูดคุยทักท้ายกัน ติดตามเพจได้ที่นี่ ++

https://www.facebook.com/tiewhaikonaijchaa/



สำหรับการเดินทางมายังจังหวัดตรังนั้นสะดวกมาก สามารถเดินทางมาได้ทั้งทาง..



รถทัวร์
 สามารถขึ้นได้ที่สถานีขนส่งสายใต้ และหมอชิต



รถไฟ
กรุงเทพฯ – ตรัง มีทั้งนั่ง นอน แอร์ พัดลม



เครื่องบิน
มี 3 สายการบินให้บริการคือ แอร์เอเชีย นกแอร์ และไลอ้อนแอร์


ฮัลโหล 🌴🌊👙 " ไปทะเล ไม่หนีร้อน ก็หนีรัก " ใครไม่รู้ได้กล่าวไว้ ส่วนผมไปเที่ยวรอบนี้ เพราะอยากเฮฮา บ้าๆบอๆ วางเป้เดินป่าเขาสักพัก เที่ยวแบบคูลๆๆ เน้นตะลุยกิน ผจญภัยลอดถ้ำ นอนเต๊นท์ริมทะเล พักผ่อนแบบดื่มด่ำกับธรรมชาติสักพัก เก็บจังหวัดเพิ่มอีกสัก 1 จังหวัด (สัก 3 วัน 2 คืน) ก็น่าจะเพียงพอ สำหรับชาร์จพลังกลับไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป
" ตรัง " จังหวัดที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย ถ้าพูดถึงเมืองตรังทุกคนคงจะคิดถึง " หมูย่างและขนมเค้ก " อาหารขึ้นชื่อของเมืองตรัง

" ตรัง " ไม่ได้มีดีแค่อาหารเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมลอดถ้ำนั่งเดินนอนจากหางสู่หัวมังกรที่โคตรเสียว ตามรอยรถไฟที่กันตัง ทิ้งชีวิตยุ่งๆไปนอนเต๊นท์ที่เกาะส่วนตัว


- Day 1 -

ออกเดินทางจากกรุงเทพ 20.00 น. ถึงสถานีขนส่งตรัง 08.00 น.



- Day 2 -

ตะลุยกินของอร่อย เที่ยวเมืองตรัง กับ 11 สถานีสุดชิค

นั่งรถบัสเล็กออกจากขนส่งไปยังที่พัก (12 บาทตลอดสาย) นั่งไปลงที่สถานีรถไฟตรัง

ไปขอถ่ายรูปกับรถสามล้อหัวกบ คุณลุงคนขับ หน้าตาดุๆ น้ำเสียงเข้มๆ ดังๆ ผิวค่อนข้างคล้ำ แต่พอได้คุย
คนตรังคนใจดีแหะ น่ารักเลยครับ แค่ถามคำแรกไป รอยยิ้มกลับมาก่อนทันที ภาพน่ากลัวก่อนคุยหายไปเลย
สามล้อหัวกบ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินอ้อมไปด้านหลังสถานีรถไฟตรัง เพื่อไปที่พักที่ "เม ซอง เดอ เชียร์"
เอาของเก็บเรียบร้อยก็เตรียมตัวแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ เที่ยวเมืองตรัง

เช่ามอเตอร์ไซค์ วันละ 250 บาท (ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เพราะเราจองผ่านโรงแรม)


👉 สถานีแรกที่เราจะไปกันคือ

แลนด์มาร์คเมืองตรัง หอนาฬิกา บรรยากาศเมืองเก่าใครมาที่นี่รับรองต้องได้รูปโปรไฟล์เกร๋ๆๆ กลับไปแน่นวล

แลนด์มาร์คสำคัญที่จะพลาดไม่ได้เลย ก็คือ วงเวียนปลาพะยูน ที่นี่ถ่ายรูปสวยทั้งกลางวันและกลางคืนเลย



👉 สถานีที่ 2 " ร้านพงษ์โอชา สาขา 2 " (อยู่ระหว่างการเดินทางไปถ้ำเลเขากอบ)

เป็นร้านติ๋มซำชื่อดังของจังหวัดตรัง การันตีด้วยการมีถึง 3 สาขา ในจังหวัดตรัง ได้รับการตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น กับเมนูติ่มซำและหมูย่างเมืองตรังที่ขึ้นชื่อ ทุกเมนูในร้านให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ไม่ใช่แค่ติ๋มซำ มีให้เลือกหลายเมนู เช่น หมูย่างเมืองตรัง บักกุเต๋ ขนมจีน ข้าวอบซี่โครง ราคาไม่แพงเลยคร๊าบบ


👉 สถานีที่ 3 " ถ้ำเลเขากอบ "

ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 สายตรัง-ห้วยยอด-วังวิเศษ สถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนของจังหวัดตรัง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นถ้ำธรรมชาติที่มีน้ำลอดยาวที่สุดในประเทศไทย โดยมีระยะทางรวม 4 กิโลเมตร หนึ่งใน Unseen Thailand ประสบการณ์หวาดเสียวของการลอดท้องมังกรสุดระทึก #เสียวยิ่งกว่าลำคลองงู

หน้าตาทางเข้าด้านหน้า จัดแต่งไว้อย่างสวยงามเลยทีเดียว (ถ่ายรูป Check-in กันหน่อย)

เริ่มต้นการผจญภัยด้วยการนั่งเรือลอดถ้ำเข้าไปราคาอยู่ที่ลำละ 300 บาท (นั่งได้ 4 คน)
มีชาวต่างชาติมาเที่ยวเยอะมาก โดยเฉพาะทัวร์จีน เพราะได้ลอดท้องมังกร
เค้าเชื่อกันว่าจะเป็นการเสริมโชค เสริมดวง จึงมาลอดถ้ำมังกรที่ถ้ำเลเขากอบ

เส้นทางที่เรือจะล่องผ่านประมาณ 4 กิโล ใช้ระยะเวลาประมาณ 45 นาที/หนึ่งรอบเรือลำหนึ่งจะมีฝีพาย 2 คน
ด้านหน้าและท้ายเรือที่จะคอยดูแลและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของถ้ำเลเขากอบให้เราฟัง
เมื่อมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ไกด์จะให้เรานอนราบลงกับลำเรือ ทางเข้าช่วงแรกก็มีเพดานถ้ำ
ทั้งที่ต่ำจนต้องนอนและสูงพอจะนั่งได้ จนถึงทางเข้าหางมังกร เราต้องนอนราบ

การเที่ยวถ้ำเลเขากอบ จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยภายในจะมีถ้ำให้เราแวะขึ้นไปเดินชมความงาม
ของหินงอกหินย้อย กันทั้งหมดสองถ้ำ และปิดท้ายด้วยความตื่นเต้นในการลอดท้องมังกร

ต้องล่องเรือผ่านเข้าไปเพื่อชมความงามของหินงอก หินย้อยซึ่งภายในถ้ำแบ่งออกเป็น ห้องคนธรรพ์
ห้องหินตาหินยาย ลอดท้องช้าง ห้องเจ้าสาว ให้เราแวะชมความสวยงามของหินงอกหินย้อย
ด้านในจัดไฟไว้สว่าง และดูแลในเรื่องของความสะอาดได้ดีมาก

บริเวณนี้เรียกว่าถ้ำคนธรรพ์ มีหินงอกหินย้อย ที่สวยงามมากๆ หินงอกหินย้อยพวกนี้ห้ามจับ หรือแตะต้อง
โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้หินตายและหยุดการเจริญเติบโตในทันที


จุดตรงกลางของถ้ำ เรียกว่า " ถ้ำท้องพระโรง " จะมีชาวบ้านนำดอกไม้พวงมาลัยมาตั้งถวายไว้เป็นจำนวนมาก

ห้องหินตาหินยาย หินตาก็จะหินงอกที่เป็นแท่งขึ้นมา ส่วนหินยาย จะเป็นหินย้อย ที่ดูแล้วเหมือนเต้านมสองข้าง
ด้านข้างกันมีหินที่ลักษณะคล้ายกับที่โม่แป้งด้วย

นอกจากลอดท้องมังกรแล้ว ในถ้ำเลเขากอบ ยังมีท้องช้างให้ลอดด้วย มองเห็นช้างมั้ย หินตรงนี้สามารถจับได้ และเอาตัวเราเข้าไปลอดระหว่างตรงกลาง ที่ดูเหมือนท้องช้างได้ ซึ่งไกด์จะแนะนำวิธีลอดให้เรา

ถัดมาเป็นถ้ำเจ้าสาว ด้านหน้าทางเข้าถ้ำมีหินงอก หินย้อย เชื่อกันว่าหากใครมีคู่แล้ว ให้ลอดช่องซ้ายมือสุดเพื่อให้รักมั่นคงยิ่งยืนนาน หากใครยังไม่มีคู่ลอดช่องกลางเข้าไปเลย ก็จะได้พบเนื้อคู่ และหากใครที่อยากมีกิ๊ก ให้ลอดช่องขวาเลย



แต่ไฮไลท์ที่เรียกว่าเป็นทีเด็ดของถ้ำเลเขากอบ นั่นก็คือการลอดท้องมังกร หน้าที่ของเราไม่ต้องทำอะไรมากครับ นอนแผ่สองสลึง แล้วรอรับความเสียว พี่คนพายเรือจะคอยคอนโทรลให้เรือไหลไปตามช่องถ้ำแคบๆ แคบจนแทบจะแนบหน้า ใกล้จมูกเราไม่ถึงคืบ จนต้องพยายามทำตัวเล็กๆ เพื่อให้ลอดผ่านท้องมังกรไปได้ จะถ่ายรูปก็ให้กล้องแนบต่ำอยู่ข้างลำตัว อย่าให้เกิน มิเช่นนั้นอาจจะเสียหายได้ แต่พี่คนพายเรือเก่งพาออกไปได้แน่นอน ตลอดการลอดถ้ำใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยการลอดท้องมังกรมีความเชื่อว่า
หากใครได้ลอดจะโชคดี

ค่าเรือ 300 บาท นั่งได้ 5 คน
เวลาเปิด - ปิด : 08.00 - 17.00 น.
โทรศัพท์ : 075-500117, 075-500088
ช่วงหน้าฝน จะเข้าถ้ำไม่ได้ เพราะน้ำจะสูงปิดปากถ้ำ (มิถุนายน - พฤศจิกายน)

ตอนที่อยู่ในท้องมังกรนี้ไม่มีโอกาสได้เก็บภาพ เพราะมืด มีแค่แสงไฟฉายและตื่นเต้นตลอดทาง
หลังจากลอดท้องมังกรมาแล้ว ก็ขึ้นมาไหว้พระก่อนเดินทางกลับ

👉 สถานีที่ 4 " วังเทพทาโร "

งานศิลปะจากไม้ วังมังกร 88 ตัว มังกรไม้ใหญ่ที่สุดในโลก สถานที่เที่ยว 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม
และยังเป็นศูนย์รวมคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งไทย | อังกฤษ | จีน


👉 สถานีที่ 5 " วัดเขาพระยอด "

ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งเมืองห้วยยอด กับเส้นทางการขึ้นไปสักการะพระธาตุและรอยพระพุทธบาท ที่เราสามารถเลือกทิศการเดินขึ้นไปสักการะได้ ทั้งหมด 8 ทิศ ตามหลักฮวงจุ้ยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบริเวณ "เขาพระยอด" มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นศาลเทพศักดิ์สิทธิ์รวม ศาลพระภูมิศักดิ์สิทธิ์รวม ฐานไตรมงคล พระพุทธบาทจำลอง หรือวิหาร ซึ่งใช้ประดิษฐานพระเกจิอาจารย์สำคัญทั่วประเทศ รวมทั้งห้องเก็บวัตถุมงคล และสมบัติมีค่าของแผ่นดิน


👉 สถานีที่ 6 " สถานีรถไฟกันตัง "

สุดยอดแลนมาร์คเมืองตรัง ที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปและ
เช็คอินกันที่นี่ ระยะทางห่างจากตัวเมืองประมาณ 30โลเป็นสถานีสุดท้ายของทางรถไฟสายใต้ ฝั่งทะเล
อันดามัน ใช้ระยะเวลาในการแว๊นซ์มอเตอร์ไซค์ ประมาณ 20-30 นาที (ถ้าไม่หลง)

ตัวสถานีรถไฟกันตัง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ทาสีเหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล สไตล์วินเทจ
เหมาะสำหรับถ่ายรูปแบบชิคๆ กับตัวสถานีและรางรถไฟ

ในหนึ่งวันจะมีรถไฟมาแค่ครั้งเดียว ใครอยากจะถ่ายพร้อมรถไฟต้องไปที่สถานีประมาณ 12.30 - 13.00 น.

ด้านข้างสถานีมีร้านกาแฟสุดเกร๋ไกร๋ ชื่อว่า " สถานีรัก " เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งขนมและเครื่องดื่มให้บริการ

บนผนังตกแต่งด้วย รถจักรยานโบราณทั้งคันเอาไปแขวนไว้ มีที่นั่งด้านหน้าสำหรับนั่งชิวๆๆ มีโต๊ะให้นั่งหลบร้อน

ราคากาแฟไม่แพงมาก 40-50 บาท มีจักรยานให้เช่า wifi ให้ใช้ มีเสื้อ เปิ้สสะก๊าด และแม๊กเน็ต
ของที่ระลึกขาย มีมุมถ่ายรูปน่ารัก แบบย้อนยุคอยู่หลายจุด


👉 สถานีที่ 7 Street Art นิทรรศน์ ทับเที่ยง

งาน Street Art ที่นี่ก็มีน้า แต่ยังสวยสู้ภูเก็ตไม่ได้อ่า ย่านเมืองเก่า ถ่ายรูปกันแบบชิคๆๆ


👉สถานีที่ 8 ร้าน Old Town

เก็บบรรยากาศยามเย็นของ old town เมืองตรัง ร้านอาหารสไตล์วินเทจ กับของสะสมและของที่ระลึก

(เปิ้สสะก๊าดงานวาด ตามรอย 15 สถานที่ในเมืองตรัง 150 - 180 บาท)


👉 สถานีที่ 9 " ร้านซินจิว "

ร้านอาหารโบราณเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 48 ปี เปิดขายอาหาร 3 รอบ (เช้า เที่ยง เย็น)
เมนูแตกต่างกันออกไป บอกเล้ยยย !!! ขนมจีบอร่อยมากกกก


👉 สถานีที่ 11 " ถนนคนเดิน "

ถนนคนเดินตรัง เป็นถนนคนเดินที่เปิดในวันพฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เปิดตั้งแต่ 17.30 น. – 22.00 น. ที่ตั้งของถนนคนเดินตรัง เริ่มต้นจากสถานีรถไฟตรังยาวไปประมาณ 100 เมตรของที่ขายส่วนมากจะเป็นของกิน เครื่องดื่ม อาหารพื้นเมือง อาหารใต้ มีให้เลือกซื้อเยอะมาก ในราคาไม่แพง พ่อค้า แม่ค้าที่นี่ส่วนมากเป็นคนพื้นเมือง ขนาดฝนตกคนยังโคตระคึกคักเลย คือตั้งใจจะมาเดินย่อย แต่ของกินละลานตามาก

จัดโยเกิร์ตสตอเบอรี่ไป แล้วก็เปิดวาร์ปกับเข้าที่พัก อาบน้ำนอน


- Day 3 -

ออกเดินทางสู่เกาะเหลาเหลียง (ใช้ชีวิตติดเกาะ) นอนแคมปิ้งกลางทะเลอันดามัน

วันนี้เราจะเดินทางไปใช้ชีวิตติดเกาะแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว ที่ " เกาะเหลาเหลียง " นอนแคมปิ้งกลางทะเลอันดามันนัดรถมารับประมาณ 10 โมง เรามีเวลาเหลือเฟือ ไปหาอาหารมื้อเช้ากินก่อนเดินทางดีกว่า

สำหรับวิธีการมาเที่ยว เกาะเหลาเหลียง คือ ซื้อแพคเกจกับทางที่พักโดยตรงซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ 2 วัน 1 คืน และ 3 วัน 2 คืน สำหรับเราเลือกแพคเกจแบบ 2 วัน 1 คืน รถจะมารับตามจุดนัดหมายเพื่อไปขึ้นเรือซึ่งเป็นท่าเรือส่วนตัวของที่พักเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะเหลาเหลียง

ใช้เวลาเดินทางจากฝั่งมายัง เกาะเหลาเหลียง ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเรือหางยาว วันที่เดินทางคลื่นค่อนข้างแรงเล็กน้อย
แต่ถึงแม้คลื่นจะแรงแค่ไหนเราก็ยังสามารถมองเห็นความใสของน้ำทะเลได้อยู่ดี



เกาะเหลาเหลียงตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา แบ่งเป็น 2 เกาะ คือ เกาะเหลาเหลียงพี่ และเกาะเหลาเหลียงน้องซึ่งอยู่ใกล้กัน เกาะที่เราขึ้นมาตอนนี้ คือ เกาะเหลาเหลียงน้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พัก ส่วนเกาะเหลาเหลียงพี่เป็นเกาะสัมปทานรังนกไม่ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวได้


มาถึงก็ Check - in ที่ซุ้มนี้เลย บนเกาะจะมีแค่เครื่องดื่มเย็นๆ อย่างพวกน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ขายและไม่อนุญาติให้นำเครื่องดื่มขึ้นมาบนเกาะ

มาถึงเกาะเหลาเหลียงประมาณเที่ยง ได้เวลาอาหารพอดีเลย ก็จัดการอาหารมื้อแรกซะเลย
เป็นบุฟเฟ่ต์ตักทานได้ไม่จำกัด มีทั้งของหวานและของคาว (น้ำเปล่ามีให้ทานตลอด)
น้ำอัดลม กระป๋องละ 30 บาท (ราคาพอรับได้อยู่) รสชาติอาหารบนเกาะ จัดจ้าน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด มาครบ

ที่พักบนเกาะเหลาเหลียงจะเป็นรูปแบบเต้นท์เท่านั้นไม่มีบ้านพัก และมีห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมซึ่งอยู่ด้านหลัง เต้นท์ก็มีหลายแบบทั้งแบบพักได้ 2 คน และ 3 คน เต้นท์ของที่นี่จะใหญ่มีลักษณะเหมือนเต้นท์บ้าน ข้างในมีที่นอนพัดลมให้พร้อม ไม่มีแอร์ เพราะเค้าปั่นไฟใช้เอง ไฟฟ้าใช้ได้ตั้งแต่เวลา 18.00 – 09.00 น.


ห้องน้ำที่หลายคนอาจกังวลว่าเป็นห้องน้ำรวมแล้วอยู่บนเกาะจะสะอาดมั้ย เลิกกังวลไปได้เลยเพราะห้องน้ำก็ดีและสะอาด
เช่นกัน แยกชายหญิง และมีหลายห้องให้ใช้โดยแยกห้องน้ำและห้องอาบน้ำไว้

มีหาดทรายขาวสะอาดและน้ำทะเลใสบริสุทธิ์ รวมไปถึงแนวปะการังที่สวยงามสมบูรณ์อยู่ทางด้านทิศตะวันออก



คือเราสามารถดำน้ำดูปะการัง ดอกไม้ทะเลและฝูงปลาการ์ตูนได้ที่หน้าชายหาดเลย






บรรยากาศบนเกาะเหลาเหลียงน้องมีที่นั่งพักผ่อนหลายจุด มีหน้าผาสูงกว่าร้อยเมตรโดยรอบ มีกิจกรรมปีนหน้าผา
(แต่วันที่เราไปอยู่ในช่วงฝนตก หน้าผาลื่น จึงงดกิจกรรมนี้ไป เสียดายมาก)

ผมชอบที่นี่ เพราะแต่ละคนจะอยู่กันแบบเงียบมาก ทำกิจกรรมนู้นนี้ส่วนตัวไป ไม่มีมานั่งกินเหล้าเมา
ส่งเสียงดัง ให้รำคาญใจ อาจเพราะบนเกาะนี้ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายอะไร และห้ามนำ
เครื่องดื่มแอลกอฮออล์ขึ้นมาบนเกาะ ไม่มีทีวี แอร์ ตู้เย็น เหมือนรีสอร์ทหรู มีแค่ธรรมชาติที่ เป็นเพื่อน

อิ่มอร่อยกับอาหารมื้อค่ำ มีซีฟู๊ดกุ้งและปู อันนี้จะไม่ได้รวมอยู่ในแพคเกจต้องสั่งเพิ่มต่างหาก


- Day 4 -

ดำน้ำ ดูปะการัง - บ๊าย บายเกาะเหลาเหลียง - Go Home

เช้าวันนี้คลื่นลมสงบนิ่งมาก ลมเย็นของทะเลพัดมาเบาๆ ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์เดินเล่นชมหาด
บรรยากาศแบบนี้เป็นนิมิตหมายอันดีว่า วันนี้เราจะได้ไปดำน้ำตามโปรแกรมที่วางไว้

อาหารมื้อเช้าเป็นอเมริกันเบรคฟาสต์ ชา กาแฟ น้ำส้ม ผลไม้ นมใส่คอนเฟลค

ประมาณ 8.30 น้องพนักงานก็เดินมาบอกให้เราเตรียมตัวไปดำน้ำ เสียดายสุดๆ ที่ไม่ได้ขึ้นเกาะเหลาเหลียงพี่ เพราะเป็น
เกาะสัมปทานรังนกไม่ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวได้ (ได้แต่มองอยู่ไกลๆ)




กลับมาอาบน้ำ เก็บของ ทานอาหารกลางวัน เพื่อรอเรือรอบ 12.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เรือจะไปส่งเรายังชายฝั่ง

มาใช้ชีวิตแบบติดเกาะตั้ง 2 วัน 1 คืน น่าเสียดายมากที่ช่วงที่ผมไปฝนตกติดต่อกัน ทำให้งดกิจกรรมการปีนหน้าผา
ทำให้กิจกรรมที่อยู่บนเกาะไม่มีอะไรนอกจากเล่นน้ำ ถ่ายรูป กินข้าว ถือเป็นประสบการณ์การนอนเต๊นท์และนอนฟัง
เสียงคลื่นกลางทะเลอันดามันครั้งแรก ที่มันโคตรจะฟินมากกก กับบรรยากาศที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวสุดๆ
ได้อยู่กับธรรมชาติ ได้พักผ่อนและชาร์ตพลังชีวิตให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ มันโคตรดีต่อใจจริงๆ ทั้งหมดนี้คือ
ความทรงจำที่ดีที่เราสามารถนำมันกลับไปจากที่นี่ " เกาะเหลาเหลียง "


ยิ่งออกเดินทาง . . . ยิ่งรู้จักตัวตน

ยิ่งออกเดินทาง ... ยิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้มันกว้างและน่าค้นหา

ยิ่งออกเดินทาง . . . ยิ่งรู้ว่ามิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญ

ยิ่งออกเดินทาง . . . ยิ่งรู้จักกับความสุขที่แท้จริง

- - - ต้องพาหัวใจพาร่างกายออกไปหาความสุขบ้าง - - -







ความคิดเห็น