เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตี 3 ผมผละตัวออกจากที่นอนอุ่นๆ

เดินดุ่มๆ ออกไปทางหลังบ้านพัก ซึ่งเป็นวิวเปิดโล่ง
แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่ไร้แสงดาว
มีเพียงเมฆหมอกลอยคล้อยต่ำปกคลุมไปทั่วบริเวณ
อากาศเย็นจนอยากกลับเข้าไปซุกตัวนอน

เดินสะลึมสะลือไปปลุกเพื่อนอีก 2 คน ตามเวลาที่นัดหมายกันไว้
ราวตี 4 ทางช้างเผือกจะหมุนขึ้นมาตั้งฉากกับพื้น
โดยมีป่าสนเป็นฉากหน้า นั่นคือเวลาที่เราจะเดินทางไปยังจุดชมวิว
ซึ่งสามารถมองเห็น "ทุ่งแสลงหลวง" ได้กว้างไกลสุดสายตา

เราขับรถฝ่าความมืดกันออกไปตามทางลูกรัง
ระยะทาง 4 กม. จากที่ทำการ
แสงไฟจากรถสาดส่องทะลุม่านหมอกบางๆ
สะท้อนเข้ากับดวงตาสีเขียวหลายคู่
บรรดาเก้งและกวาง ทั้งที่ยังเป็นลูกน้อยและขนาดเต็มวัย
เดินเล็มหญ้าอยู่ตลอดสองข้างทาง
บ้างตื่นตกใจ วิ่งหลบหายเข้าไปในพุ่มไม้
บ้างก้มหน้าหากินต่อไปแบบไม่ได้สนใจพวกเรานัก
บรรยากาศในตอนนี้เหมือนได้ขับรถเที่ยวไนท์ซาฟารีที่แอฟริกาก็ว่าได้

ราวครึ่งชั่วโมง หลังจากฝ่าความมืดมิด หลุมบ่อ และหุบเนินสูงต่ำ
เราก็เดินทางมาถึง "ศาลาดุสิตา" จุดหมายหลักของเช้าวันนี้
ท้องฟ้าเริ่มเปิด เมฆหมอกที่ลอยต่ำ
ถูกกระแสลมพัดพาให้ฟุ้งกระจายออกไป
เผยให้เห็นกลุ่มดาวสีขาวขุ่น เรียงตัวทอดยาวพาดผ่านท้องฟ้า
เปล่งแสงลางๆ อยู่เหนือศีรษะของพวกเราพอดี

ทางช้างเผือกในตอนนี้ หมุนตั้งขึ้นมาทำมุมได้เกือบ 90 องศาแล้ว
ดวงจันทร์เพิ่งตกขอบฟ้าไป ทำให้ไร้ซึ่งแสงรบกวนใดๆ
บริเวณรอบๆ นั้นมืดสนิทจนพวกเรามองเห็นแกนกลางของมันได้ด้วยตาเปล่า
สามารถหันกล้องและเล็งถ่ายกันได้
โดยไม่ต้องเปิดแอพดูดาวช่วยค้นหาตำแหน่งเลย

ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง
มีเพียงเสียงพูดคุยแผ่วเบา สลับกับเสียงชัตเตอร์ของกล้องดังขึ้นเป็นระยะ
อากาศเย็นสบายเหมือนกำลังอยู่ในห้องแอร์ขนาดยักษ์
มีพื้นห้องเป็นทุ่งหญ้า มีหลังคาเป็นท้องฟ้า ห้อมล้อมไปด้วยหมู่ดาว

ทางช้างเผือกอยู่กับพวกเราไม่นานนัก
แสงแรกก็เปลี่ยนผลัดออกมาทักทาย มองเห็นเป็นสีแดงเรื่อๆ ริมขอบฟ้า
เมฆหมอกลอยต่ำเรี่ยคลอเคลียไปกับยอดสน
ทุ่งแสลงหลวง ณ เวลานี้…
งดงามราวกับภาพถ่ายสวยๆ บนปกนิตยสารท่องเที่ยว
รูปทรงของยอดเขาค้อที่อยู่ตรงหน้า
มองดูคล้ายยอดเขา "คีรีมันจาโร" ของแอฟริกา
ยิ่งทำให้สมฉายา "ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งผืนป่าไทย"

"ไข่แดง" ค่อยๆ โผล่พ้นแนวเขาขึ้นมาให้เราได้เก็บภาพกันอย่างไม่ต้องเร่งรีบ
นั่งถ่าย นอนถ่ายกันอยู่แค่ 3 คน ไม่ต้องเบียดบังแย่งมุมกันเหมือนช่วงเทศกาล
พอตะวันเริ่มลอยขึ้นสูง แสงแดดยามเช้าก็ย้อมทิวทัศน์เบื้องหน้า
ให้เป็นสีทองอร่ามไปทั่วทั้งทุ่ง

พวกเรากลับถึงบ้านพักราว 7 โมงเช้า
ตั้งกาต้มน้ำรอให้เดือด แล้วไปนั่งห้อยขาที่ริมระเบียง
หย่อนใจไปกับวิวทิวทุ่งและยอดเขาเคล้ากลิ่นกาแฟดริปหอมๆ
ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาค่อยๆ ขยับไปอย่างเนิบช้า
ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้เราได้เก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ แบบนี้
เอาไว้ให้ได้นานที่สุด...

กาแฟดริปหอมๆ ยามเช้า



ขอบคุณที่ติดตามครับ

https://www.facebook.com/blue.eyes.photo.graphic/

Blue.Eyes.Photo

 วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.11 น.

ความคิดเห็น