การเดินทางมาญี่ปุ่นหน้าร้อน 6 วัน ทริปนี้ ช่างยาวนานจริงๆ ผ่านมาหลายเมือง เยือนมาแล้วหลายภูมิภาค
ส่วนรีวิวนี้เป็นรีวิวปิดจ๊อบ กับภูมิภาคที่ 4 ของทริปนี้ คือ Chubu ซึ่งเรามีเวลาทั้งหมด 2 วัน 1 คืน แต่เป็น 2 วัน 1 คืนที่อัดแน่นด้วยปริมาณและคุณภาพเช่นเคย
คร่าวๆคือเราจะไปเที่ยวที่ Nagano แล้วต่อไปพักที่เมือง Matsumoto วันรุ่งขึ้นแวะไป Daio Wasabi Farm ที่ Hotaka แล้วตีกลับไป Tokyo เพื่อนั่งเครื่องกลับบ้านเราซะที . . . เย่!!!
บอกแล้วว่าเดินทางกันแบบintensive ยันขึ้นเครื่องกลับกันเลยทีเดียว ตอนนี้เดี๋ยวเราไปรอรถไฟ JR แล้ว นั่งไปเมือง Nagano กัน . . .
* ย้อนรอยการเดินทางของทริปมหากาพย์ Summer in Japan ตอน ที่ 1-3 by Seally-Go-Round ได้ตามลิ้งด้านล่างนี้เลยจ้า
- Summer in Japan #1 : https://th.readme.me/p/10101
ดวงดาว แห่ง Sendai VS ฟ้า ลม ทะเล ที่ Matsushima > > >
- Summer in Japan #2 :
เกือบได้เป็น 'มนุษย์กล่อง' ที่ Hokkaido [ Noboribetsu - Sapporo - Asahikawa - Furano ] > > > https://th.readme.me/p/10227
- Summer in Japan #3
ตอนที่ 3.1 : เยี่ยมบ้าน Hachiko ที่ เมือง Odate , จังหวัด Akita >>> https://th.readme.me/p/10321
ตอนที่ 3.2 : 3.2 Rice field + Art = Tanbo Art ศิลปะบนทุ่งข้าวที่หมู่บ้าน Inakadate จังหวัด Aomori >>> https://pantip.com/topic/36615443
ตอนที่ 3.3 เที่ยวงานเทศกาลฤดูร้อนสุดยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น. . . ' Nebuta Matsuri ' เทศกาลแห่โคมไฟยักษ์ของจังหวัด Aomori >>> https://th.readme.me/p/10523
และรีวิวนี้ คือ . . .
Summer in Japan # 4 Unseen Matsumoto Catle ปราสาทมัตสึโมโต้ในแบบที่คุณไม่เคยเห็น
. . . จากความเดิมตอนที่แล้ว เราไปเถิดเทิงกันที่งานเนบูตะ ที่ Aomori แต่งานยังไม่ทันจะจบดี ต้องออกมาก่อน เพราะเดี๋ยวจะตกรถไฟซ้ำรอยวันก่อน เนื่องจากที่ Aomori ที่พักช่วงเทศกาลเนบูตะเต็มหมด เลยต้องถอยร่นออกมานอนเมืองอื่นแทน ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหน ที่ Sendai นี่เอง
ดังนั้น วันนี้จุดเริ่มต้นของการเดินทางไป Nagano นั่นก็คือ สถานี JR Sendai เรานั่งรถไฟชินคังเซนจากเซนไดแล้วไปต่อรถที่ Omiya แล้วยิงยาวไปยัง Nagono ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมงหน่อยๆ หลับยาวปายยยยยย....
แอบได้ยินเสียงเค้าประกาศว่าจะถึงสถานี Nagano ตื่นมาเช็ดน้ำลายที่เปื้อนเสื้อคนข้างๆ 1 ที แล้วลงรถไฟได้เลย
มาเยือนนากาโน ของขึ้นชื่อของที่นี่ก็ คือ เส้นโซบะ นี่เอง
จะเห็นได้ว่าแม่แต่ตรงชานชาลาของสถานี Nagano ยังมีร้านโซบะยืนกินอยู่ข้างๆเลย
ดีๆไ่ม่ต้องคิดเยอะ มาเจอมื้อเที่ยงที่นากาโนไม่แคล้ว โซบะ แน่นวล ^^
จุดหมายที่มาเยือนที่ Nagono ก็คือ "วัดเซนโกจิ " เราจะใช้เวลาที่นี่ไม่นานนัก แค่แวะมาทานมื้อเที่ยงและไหว้พระที่วัดเซนโกจิ
แต่ด้วยสัมภาระที่พะรุงพะรังแตกตัวจาก 1 เป็น 2 - 2 เป็น 4 - 4เป็น 8 ถามจริงนี่กระเป๋าหรืออมีบ้า!?!?
แต่เพื่อความสะดวกในการเดินเที่ยว เราจำต้องฝากสัมภาระ ไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ ของสถานี
No no no . . .ไม่ๆๆๆ ไม่มีทาง ไม่มีทางให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนที่ Sapporo อีกแน่นอน (อย่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับไปอ่านได้ในกระทู้นี้ )
เราได้คำนวณเวลาไว้เรียบร้อยแล้วไม่มีตกรถ ตกราอีกแน่นอน สัญญา^^
มาดูตู้ฝากกระเป๋าที่สถานี nagano ซะก่อน Cute ป่าวล่ะ
หลังจากตัวเบา สบายตัวเรียบร้อย ก็ไปยืนรอรถบัสหน้าสถานีกันเลย ลงที่หน้าวัดเซนโกจิ ง่ายๆ ไม่ยาก จากสถานีตรงไปจนสุดถนนก็ถึงวัดแล้ว
ระยะทางประมาณ 1.5 กม. ถ้าอากาศเย็นก็เดินได้อยู่ แต่ช่วงเที่ยง อุณหภูมิ 30 กว่าปลายๆ ขอใช้บริการรถเมล์จะสะดวกกกว่า
ถนนที่ตรงจากหน้าสถานีไปวัดเซนโกจิ นี้มีชื่อว่า Chuo dori ตลอดเส้นก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารอยู่เยอะแยะมากมาย ถ้าอากาศดีๆ เดินไหว แนะนำว่าเดินไปดีกว่า
ก่อนเข้าวัดเจอร้านโซบะดักอยู่หน้าวัดพอดี เห็นคนเข้าร้านไม่ขาดสาย แสดงว่ามีดีเข้าไปลองกันเลยดีกว่า
มีเชฟโชว์ทำเส้นโซบะสดเรียกแขกด้วย
ด้านหน้าดูเหมือนร้านไม่ใหญ่ แต่ขอโทษ เข้าไปนี่มีที่นั่งลึกเข้าไปอีกเยอะเลย คนก็นั่งกันเต็มร้าน สอบถามจากคุณป้าที่มารับออเดอร์ว่า ชื่อร้าน Daimaru
ร้านเป็ฯเมนูภาษาญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็ฯต่างชาติ เดี๋ยวเคาเอาเมนูภาษาอังกฤษให้ เมนูเด็ดของร้านก็คือ โซบะ นั่นแหล่ะ
เส้นโซบะนี่เท่าที่รู้ทำมาจากเมล็ด Buckwheat ซึ่งเจ้าบัควีทนี่มีประโยชน์มากหลาย สามารถใช้ทานแทนแป้งสาลีได้ ในกลุ่มคนที่แพ้กลูเตน (โปรตีนในข้าวสาลี แป้งขนมปัง) แถม แคลอรี่ต่ำอีกด้วย เลิศศศศศศศศศศ....
แต่ผู้ที่ไม่เคยศิโรราบให้กลุ่มอาการแพ้ในอาหารใดๆอย่างแมวน้ำ ก็อยากจะขอทานเส้นโซบะ หรือเส้นบัควีทนี้บ้าง มื้อนี้ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงนากาโนเนอะ
ว่าแล้วก็ได้เป็น โซบะเย็นเทมปุระรวม
เอาจริงๆนะ ด้ววยความสัตย์จริง ปกติไม่ค่อยชอบกินเส้นโซบะ เพราะรู้สึกมันด้าน แข็งๆ ร่วนๆ
แต่พอลองเส้นที่ร้านนี้ปุ๊บ
คีบเส้นใส่ปาก . . .ดวงตาเบิกโพรง . . . ฮึ่ย!! เส้นดีอ่ะ เหนียวนุ่มหนึบ ไม่เหมือนกับที่เคยกินมา
แต่ก็จะมีข้าวหน้าเทมปุระด้วย เผื่อใครไม่สะดวกทานเส้น
ไม่แปลกใจที่คนเยอะเต็มร้าน ซุปร้อนๆที่เสิร์ฟมาในกา ก็ดี๊ดี ใครแวะมาวัดเซนโกจิ มาลองๆๆ
อิ่มแล้ว ได้เวลาไปไหว้พระกันต่อ วัดอยู่หน้าร้านนี่เอง ใกล้มาก เดินข้ามม้าลายมา 3-4 ก้าว ก็เข้าเขตวัดแล้ว
ปักหมุดแสดงสัญชาติกันสักนิด
วัดเซนโกจิ วัดพุทธวัดแรกในญี่ปุ่น อายุกว่าพันปี เป็นวัดที่คนญี่ปุ่นตั้งปณิธานไว้ว่าต้องมาให้ได้สักครั้งนึงในชีวิต
ด้านหน้าวัดก็จะมีถนนนากามิเสะมีร้านขายของอยู่ 2ข้างทาง เหมือนนากามิเสะที่ วัดเซนโซจิในโตเกียวไง ถนนละลายททรัพย์ก่อนเข้าวัดที่ปล่อยไว้ครั้งวันก็หมดตัว 555
แต่เดี๋ยวเราค่อยมาละลายทรัพย์กัน รีบเดินเข้าวัดเถอะ ร้อนมากเลยตอนนี้
(สงสัยว่าไอ้ที่มันร้อนนี่อากาศร้อน หรือ เรารู้สึกร้อนเมื่อเข้าเขตวัด หืมมมม)
ใบไม้ทำไมเปลี่ยนสีเร็วจัง นี่หน้าร้อนนิ
สาวๆใส่ชุดยูกาตะมาไหว้พระกัน
ภายในโบสถ์ในเขตที่ไหว้พระประทานจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป และต้องจ่ายเพิ่มเพื่อที่จะเข้าไปโซนด้านใน
แต่ไม่สะดวกก็นั่ง ไหว้ที่ด้านนอกได้
พอไหว้พระกันแล้วก็ไปเสี่ยงเซียมซีกัน
ไอ้เราก็พาซื่อ เห็นมีวิธีเขียนบอกว่าวิธีเสี่ยงเซียมซีที่วัดทำยังไง ก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ดันลืมอ่านตอนจบที่ว่า ...คำทำนายเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น !!!!
พอไว้พระขอพรกันเรียบร้อย ก็ออกมาเดินเล่นช็อปปิ้งกันที่นากามิเสะหน้าวัด แม้จะไม่ได้ร้านรวงเยอะ ถี่ยิบ จนทัวร์ต้องเอามาปล่อยไว้ครึ่งวันอย่าง วัดเซนโซจิ ที่อาซากุสะ แต่ก็พอมีขนม ของฝากให้ได้แตกแบงค์กันประปราย
ส่วนใหญ่เจ้ากรรมนายเวรที่ติดตามแมวน้ำไปทุกที่จะมาในรูปของ Soft cream ซะมาก ตั้งแต่มานี่ 4 -5 วัน กินไปแล้วประมาณ 5-6 อันแล้ว แต่มานี่ก็โดนเช่นกัน แล้วก็ถือว่าเป็นรสที่ชอบที่สุดตั้งแต่กินมาด้วย นั่นคือ รสแอปเปิ้ล ที่ร้านนี้
ใครมาแวะชิมเลยนะ กลิ่นแอปเปิ้ลหอมมาก เนื้อเนียน หอมหวาน อู้ยยย บรรยายไม่ถูก ขอให้เป็นSoft creamในดวงใจ
ยังมีซอฟท์ครีมรสผักรวมด้วยนะ แต่กินไม่ไหวล้าวววว
ส่วนอีกอันเป็นไอติมชาเขียวที่มีเวเฟอร์บิสกิตประกบ
อากาศร้อนๆนี่จะกินไอติมกี่อันก็ได้นะ แม่ไม่ว่า อิอิ ^^
จบคาวตบหวาน ทำบุญไหว้พระกันแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับไปสถานี JR Nagano
เพราะเดี๋ยวเราต้องไป Matsumoto กันต่อใช้เวลาเดินทางแป๊บเดียว แค่ 50 นาที เท่านั้น เพราะคืนนี้เราจองที่พักไว้ที่ Matsumoto
พอมาถึงที่สถานี มี tourist information ให้สอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้เลย ซึ่งหารู้ไม่ว่า ในวันที่เรามานี้ (8 ส.ค.) มีงานสำคัญที่จัดขึ้นที่ปราสาทมัตสึโมโต้ และเป็นงานที่จัดขึ้น เพียงปีละ 1 ครั้ง เท่านั้น !!!!
ตู้ววหูววว์ มาตรงวันขนาดนี้ พลาดไม่ได้แล้วล่ะ
ตอนนี้เราเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมที่จองไว้กันก่อนดีกว่า ด้วยความที่ไม่รู้ว่าการเดินทางไปที่พักนี้ไปยังไง ไม่แน่ใจว่าแถวนั้นมีรสบัสผ่านหรือเปล่า
เราเลยต้องยอมนั่งแท็กซี่ไป ตอนเรียกแท็กซี่ บอกเค้าว่าไปโรงแรม Tsuki no Shizuka
เค้าฟังไม่รู้เรื่องหรอก ...แฮร่ 😛
เอารูปและชื่อโรงแรมให้เค้าดูเลย จะได้ไม่ต้องหลง
โชเฟอร์บอกมาว่า 2,000 เยน . . . แพงเนาะ แต่ก็จำต้องจ่าย ทำไงได้
นั่งแท็กซี่ไปเรื่อยๆ ค่อนข้างไกลจากสถานี JR Matsumoto รถขับไปเรื่อยๆ ซึ่งเค้าก็เปิดมิเตอร์ไว้ด้วย แต่ยังไม่ถึงที่พักดี เหลือบเห็นมิเตอร์วิ่งถึง 2,000 เยน แล้ว แล้วโชเฟอร์ก็กดลบมิเตอร์ทิ้งไป เค้าบอกเราไว้สองพันก็คือสองพัน
เอามงมาลงให้โชเฟอร์แท็กซี่ ! ! ! พลเมืองดีท่านนี้หน่อยค่าาาา
พอมาถึงยกของลงแล้วก็เข้าไปเช็คอินกันเลย
โรงแรมนี้ เป็นโรงแรมออนเซน อยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองมาสักหน่อย บรรยากาศเงียบๆสงบ ธรรมชาติดี
ในส่วนของห้องนอนก็มีความญี่ปุ่น เรียวกัง
แต่เตียงนอนจะเป็นแบบสากล ไม่ใช่ฟูกแบบญี่ปุ่น
ในห้องจะมีอ่างล้างหน้า กับห้องสุขาไว้ให้ แต่ห้องอาบน้ำเป็นแบบห้องน้ำรวม แยกชายหญิง อยู่ข้างล่าง
(แอบมีความสงสัยว่า ถ้าผู้หญิงเป็นวันนั้นของเดือน จะไปอาบน้ำในห้องรวม มันจะไม่แดงเป็นทางยาวใช่มั้ย อันนี้สงสัยจริงๆ >.<' )
มีชุดยูกาตะให้ใส่ด้วย คุณพี่ที่ฟร้อนท์บอกว่าสามารถใส่ออกไปเที่ยวข้างนอกได้นะ แหล่มเลย เดี๋ยวกะว่าจะใส่ไปชมปราสาทมัตสึโมโตสักหน่อย
ว่าแล้วก็แปลงร่างเปลี่ยนชุดแล้วออกไปเที่ยวเมืองมัตสึโมโตกัน
แต่คราวนี้เราคงไม่พึ่งแท็กซี่แล้วล่ะ สอบถามกับทางโรงแรมแล้ว ว่าเดินออกไปจากหน้าโรงแรมไปทางซ้ายไม่เกิน100เมตร จะมีป้ายรถเมล์อยู่
เป็นป้ายรถเมล์ที่ชื่อเรียกยากมาก Utsukushigahara Onsen. . . อ่านว่าไรเนี่ย
ตารางรอบรถเมลล์ที่มาจอดป้ายนี้มีติดไว้ที่นี่เลย
เย็นนี้เราจะเข้าไปเดินเล่นที่ถนน นาคะมาจิ Nakamachi ซึ่งเป็นย่านshopping street ของที่นี่ ร้านค้าจะเป็นตึกสีขาวสลับดำ
สองข้างทางก็จะมีร้านค้าน่ารักเยอะแยะ
เมืองมัตสึโมโต้เป็นเมืองเงียบๆ วันนี้เงียบมากไม่รู้คนไปไหนหมด
เดินมาจนสุดถนนจะเจอบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ใครได้ดื่มได้กินจะโลคดี รวยๆๆๆ
แอร๊ยยสส์...ไม่ช่าย จริงๆแล้วมันคือ บ่อน้ำธรรมชาติ ที่ผุดขึ้นกลางเมืองมัตสึโมโต้ต่างหาก ลองดื่มกินแล้ว น้ำสะอาดสดชื่น ชื่นใจคลายร้อน
ย่านนี้ก็จะมีร้านค้าอยู่สองข้างทาง มาช่วงแดดร่มหน่อย เดินสบาย เดินไปข้ามสะพาน ข้ามแม่น้ำเมะโตะบะ แม่น้ำที่ไหลผ่าเมืองมัตสึโมโต้
บรรยากาศวันนี้มีลมเย็นสบาย แม้อากาศจะไม่เย็นมากนัก ซัมเมอร์ญี่ปุ่นนี่ก็ร้อนไม่แพ้เมืองไทย แต่ช่วงเย็นๆเดินเล่นก็เพลินดี
NAWATE STREET
ข้ามมาเสร็จเจอถนน Nawate ถนนร้านค้าโบราณชั้นเดียว ที่มีสัญลักษณ์ของย่านนี้เป็น กบ เดินไปมุมไหนก็มีแต่กบ น่ารักดี
วันนี้เหมือนจะปิดร้านกันซะเยอะ เลย
ออกจากนาวาเตะ เพื่อที่จะเดินไปปราสาทมัตสึโมโต้ ระยะก็ไม่ไกลมาก อยู่ในระยะเดิน
อุ่ย นี่ไง เจอแล้ว ร้านหนังสือมือสอง Seikando
ร้านนี้มีมีจุดเด่นที่เมื่อใครมาเที่ยวมัตสึโมโต้ก็ต้องมาถ่ายรูป นั่นคือ ร้านจะมีรูปทรงคล้ายปราสาท
เจ้าของร้านหนังสือนี้สร้างและออกแบบร้านให้คล้ายปราสาทมัตสึโมโต้ เนื่องจากว่าในช่วงปี 1950 มีการบูรณะปราสาทมัตสึโมโต้ครั้งใหญ่ ซึ่งใช้เวลานานถึง 5 ปี เจ้าของร้าน Seikando ก็เลยรู้สึกว่า นักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาชมปราสาทจะเสียเที่ยว เพราะมาช่วงปราสาทกำลังปิดซ่อม
CR: http://welcome.city.matsumoto.nagano.jp/contents07...
เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงปราสาทมัตสึโมโต้
จริงๆแล้วปราสาทมัตสึโมโต้จะปิดช่วงเย็นๆ เวลาทำการ 8.30-16.30 น.
เพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวที่ได้มาเที่ยวชมปราสาทกันในช่วงกลางวัน แต่สามารถเดินชมรอบนอกปราสาทได้ตลอด
. . . แต่วันนี้ Special!!! เป็นเพียง 1 วัน ในรอบปี . .
จะมีอะไรพิเศษ เดี๋ยวเราเข้าไปดูข้างในกัน
ความพิเศษของวันนี้ก็คือ . . .
" วันที่ 8 เดือน 8 เป็นเพียงวันเดียว
ที่ปราสาทมัตสึโมโต้เปิดให้เข้าชมบริเวณด้านใน ช่วงกลางคืน
เพราะจะมีการจัดแสดงละคร NoH
เป็นการแสดงประจำชาติอันเก่าแก่ของญี่ปุ่น"
CR: http://www.go-nagano.net/shisetsu-detail?shisetsuid=2013007
ละคร Noh เป็นการแสดงละครเวทีที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติญี่ปุ่น มีมายาวนานเกือบหลายร้อยปี เมื่อก่อนจะแสดงบนเวทีกลางแจ้ง ที่มีผู้ชมนั่งรอบด้านสามด้าน และมีฉากหลังเป็นภาพต้นสนเป็นภาพวาดแบบญี่ปุ่น (ก็ค้ลายๆลิเกบ้านเราเลยเนอะ) ตัวละครจะสวมชุดแบบญี่ปุ่นที่มีน้ำหนักหนักมาก และสวมหน้ากากที่แสดงสีหน้าและบ่งบอกตัวละครที่ชัดเจนของแต่ละตัว
ในส่วนของนักแสดงจะเป็นนักแสดงชายล้วน บทละครก็จะเป็นเรื่องเล่า ตำนาน หรือ เรื่องภูตผี ความเชื่อโบราณต่างๆ แสดงประกอบดนตรี
ปัจจุบัน สามารถชมละครNoh ได้ ในโรงละครที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะซึ่งก็มีไม่กี่ที่ เช่น ที่ โตเกียว โอซาก้า ฯลฯ แต่วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษ ที่มีการจัดแสดงละคร Noh ในสวนข้างปราสาทมัตสึโมโต้ การแสดงจะเริ่มเเมื่อพระอาทิตย์ตกลับเทือกเขาเจแปนแอลป์
ถามว่าดูรู้เรื่องมั้ย ก็อาจจะเข้าใจยากนิดนึง แต่ก่อนชมเค้าจะมีแจกสูจิบัตรที่มีภาษาอังกฤษ เล่าเรื่องย่อให้พอเข้าใจก่อนนิดนึง แต่จริงๆละคร Noh ก็คล้ายการแสดงพื้นบ้าน เหมือนกับการแสดงพื้นบ้านบ้านเราน่ะแหล่ะ การแสดงที่เริ่มจะล้มหายตายจากไปกับกาลเวลา แต่ละครNoh ถือเป็นสมบัติของชาติ ที่มีการสืบทอดและมีการสร้างโรงละครเพื่อจัดการแสดงให้เข้าชมกันในเมืองใหญ่ๆ อย่างที่ โตเกียว หรือ โอซาก้า
ฉะนั้นใครโชคดี (เหมือนแมวน้ำ จขกท.) มาตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ก็จะได้ชมปราสาทมัตสึโมโต้แบบไม่เหมือนใคร มีปีละครั้งเท่านั้นน้าาาา ...
นั่งดูสักพัก จนจบละครคั่น interlude ก็เดินออกมาเพราะเริ่มหิวแล้วกลัวว่าดึกเกินไปไม่มีรถเมล์กลับโรงแรม เมืองมัตสึโมโต้ตอนกลางคืนก็จะเงียบๆไม่คึกคักเท่าไหร่ ยังมีร้านอาหารเปิดให้เข้าไปกินกัน ส่วนแมวน้ำได้ฝากท้องกับร้านนี้ ซึ่งขออภัยไม่ทราบชื่อร้าน แต่คล้ายร้านฟาสต์ฟู้ด อาหารก็อร่อยดี ราคาไม่แพง เดินมาจากปราสาทมัตสึโมโต้ไม่ไกลมาก (แต่ก็ไม่ใกล้)
อิ่มแล้วก็ไปรอรถเมล์กลับโรงแรมกัน นั่งผิดนั่งถูกไม่รู้ รอรถเมล์นานมาก สายที่จะข้นไม่มากสักที แต่จะขึ้นก็กลัวผิด เลยต้องให้คนขับดูรุปป้ายที่จะไปลงที่โรงแรม
พอไปถึงโรงแรมก็ลงไปอาบน้ำที่ออนเซ็น คนเริ่มน้อยแล้วแช่น้ำสบายมากเลย พอดีเค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายเลยไม่ได้ถ่ายรูปมานะคร้าบ
อาบน้ำ เตรียมตัวพักผ่อน พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแต่เช้าเช่นเคย
เช้าแล้วก็ลงไปอาบน้ำเหมือนเดิม พอดีจองที่พักแบบไม่รวมอาหารเช้า แต่ถ้ารวมอาหารเช้าด้วยก็จะทานกันที่ห้องนี้
แต่ไม่ได้กินเลย เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้วไปรอรถเมล์ที่ป้ายเดิม เช้านี้เราจะไปที่ Hotaka เพื่อจะไปที่ Daio Wasabi Farm กัน
เช้านี้ก็หาอะไรรองท้องไปก่อน กะว่าจะไปฝากท้องเมนูวาซาบิที่ Daio
เดี๋ยวนั่งรถไฟสถานีมัตสึโมโต้ไปที่สถานี Hotaka JR Oito Line from Matsumoto to Hotaka Station (30 minutes, 320 yen one way, 1-2 trains/hour)
พอลงสถานีก็กะว่าจะเช่าจักรยานขี่ไป ...จักรยาน อีกล้าวววว มาญี่ปุ่น 6 วัน ขี่จักรยาน 4 ครั้ง ท่ามกลางอากาศสามสิบกว่าๆองศา
แต่เพื่อความสะดวกเราเลยจำ(ใจ)ต้อง ขี่จักรยาน(อีกล้าวว)
ลงรถไฟมาเจอร้านนี้พอดีมีจักรยานจอดด้านหน้า ต้องมีจักรยานให้เช่าแน่นอน
ร้านนี้เป็นคาเฟ่ด้วย เป็นคาเฟ่แกะ เพราะเจ้าของร้านชอบแกะ แบะๆๆๆๆ
จักรยานเช่าคันละ เท่าไหร่จำไม่ได้แต่คิดเป็นรายชั่วโมง ซึ่งร้านนี้ถือว่า แพง
เพราะขี่มาพ้นหัวมุมตึก ก็เจออีกร้านนึงซึ่งถูกกว่า
ร้านน่ารักดีนะ ได้คุยกับเจ้าของร้านเป็นคุณอาผู้ชายพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เค้าบอกเค้าชอบแกะ เราบอกเราชอบแมวน้ำ เค้าเลยเขียนแมวน้ำเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ด้วย ^^
ถ้าใครเช่าจักรยานร้านนี้ เค้ามีคูปองส่วนลดของคาเฟ่ให้ด้วยนะ เผื่อนั่งรอรถไฟ กินน้ำกินหนมรอได้
พอได้จักรยานก็มุ่งหน้าไปที่ Daio Wasabi Farm
ขี่ไปประมาณ 2.5 กิโลได้ ขี่ง่ายเพราะเมืองนี้รถน้อย แต่ปัญหาอยู่ที่อากาศมากกว่า ขนาดมาแค่ช่วง 9-10 โมง แดดนี่ทะลุทะลวงถึงผิวหนังชั้นในเลย
อย่าลืมนะว่า มาขี่จักรยานที่ญี่ปุ่นหน้าร้อน อย่าลืมโบก Sunblock มาหนาๆ พร้อมกับสวมเสื้อผ้ามิดชิด คลุมให้หมดทั้งแขนทั้งขา เพราะมันแสบมากจริงๆ ใส่แว่นกันแดดด้วย เพราะมันจ้าซะเหลือกเกิน พกขวดน้ำ ผ้าเช็ดหน้ามาด้วยก็ดี ขี่นานๆหน้าจะมืดเอา . . .
ขี่มาเรื่อยๆ วิวสองข้างทางจะเป็นทุ่งนาซะมาก วิวด้านหลังก็เป็นภูเข้า ซึ่งเขาด้านหลังนี่แหล่ะที่เค้าชอบมาtrekking กัน
ขี่ๆผ่านทุ่งข้าวนี่ก็นึกว่า ขี่รถเล่นอยู่แถวบ้านที่โคราชนะเนี่ย อากาศพอๆกันเลย
แล้วก็มาถึงที่ Daio Wasabi แล้ว จอดจักรยานด้านหน้าเลย
The Daio Wasabi Farm (大王わさび農場, Daiō Wasabi Nōjō )
เปิดประมาณ 9 โมง - 5 โมงเย็น ซึ่งวันนี้เรามาถึงประมาณ 9โมงพอดีเด๊ะ
เป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆเลยก็ว่าได้
ร้านค้าอะไรยังไม่ตั้งเลย แต่เริ่มหิวแล้ว เลยรอให้เค้าเปิดขายของสักแป๊บ
เล็งไว้ก่อนมา จะมาโดนซอฟท์ครีมวาซาบิซักหน่อย ได้กินสมใจแล้ว
พร้อมขนมขึ้นชื่อของที่นากาโน่ อีกอย่างนอกจากโซบะ นั่นก็คือ โอยากิ คล้ายซาลาเปา หรือขนมกุ้ยช่าย เป็นไส้ผัก
แถมด้วยน้ำเขียวๆแก้วนี้ ซึ่งไม่ใช่น้ำคลอโรฟิลล์ แต่มันคือ เบียร์วาซาบิ!!!
รสชาติแต่ละอัน ก็โอเคนะ แต่วาซาบิไม่แรงอย่างที่คิด
กินเสร็จแล้ว เดินเล่น ชมฟาร์มกัน
ที่ Daio นี้เป็นฟาร์มวาซาบิที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ การปลูกวาซาบิไม่ใช่มีดินมีน้ำก็ปลูกได้ง่าย
เพราะจำต้องปลูกในสภาพแวดล้อมบังคับ ต้องปลูกในที่ที่น้ำบริสุทธิ์ (มากกว่าสะอาด) เป็นน้ำเย็นที่ไหลผ่านตลอด ซึ่งน้ำที่ว่านี้ก็ไหลมาจากเทือกเขาเจแปนแอลป์ทางเหนือ ช่วงหน้าร้อนที่แดดแรงๆ คือช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค. ก็จะมีแสลนบังแดดไว้
CR ข้อมูล : http://www.japan-guide.com/e/e6056.html
อยากรู้ว่าน้ำเย็นแค่ไหน ลองเอาเท้าแช่ดู ขนาดอากาศสามสิบกว่าองศา น้ำยังเย็นเป็นน้ำแข็งเลย จุ่มได้ไม่เกิน 5 วิ ไม่ไหว เย็นจัดมาก
เนื้อที่ของ Daio ค่อนข้างกว้างและแบ่งเป็นโซนๆให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นเที่ยวชมฟาร์มกัน
ในโซนนี้ ก็จะเป็นลำธารที่มีกังหันน้ำที่ทำจากไม้ ในลำธารนี้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือแพยางชมวิวได้ 20 นาที 1,200 เยน
เดินเข้าไปด้านในจะมาศาลเจ้าDaio และถ้ำเล็กๆให้คนที่มาเที่ยวชมได้มาสักการะกัน
จริงๆ ตอนแรกนี่หิ้วท้องมา หวังใจว่าจะมากินอาหารเมนูวาซาบิซะหน่อย ที่ร้านอาหารของ Daio แต่ร้านเค้าเปิด 11 โมง ซึ่งตอนที่เราไปร้านยังไม่เปิด แต่จะให้รอก็รอไม่ได้ เพราะคำนวณเวลาดูแล้ว เดี๋ยวไม่ทันรถไฟ เพราะเดี๋ยวเราต้องกลับไป สถานี Matsumoto เพื่อเปลี่ยนขบวน ตีเข้าโตเกียว เพราะเราต้องกลับเมืองไทยคืนนี้ เลยอดเบย T^T น้องเสียจุยนะ น้องเสียจุย
แต่ไม่เป็นไร แวะร้านของฝากด้านหน้าซื้อผลิตภัณฑ์วาซาบิกลับไปแทนแล้วกัน
ที่นี่ขายผลิตภัณฑ์ที่มีวาซาบิเป็นส่วนผสม
หรือจะซื้อวาซาบิหัวสดๆไปฝนเองก็ได้ แต่กว่าจะถึงเมืองไทยคงเน่าก่อน
เสร็จแล้วก็ขี่จักรยานกลับ คราวนี้แดดแรงกว่าเดิม เกือบหน้ามืดเป็นลมอีกแล้ว ต้องแวะรายทางหาน้ำล้างหน้าและน้ำหวานๆกินกันเป็นลมหน่อย
จริงปกติไม่ใช่เป็นคนอ่อนแอ แพ้ลมแพ้แดดนะ ออกจะถึก บึกบึนด้วยซ้ำ แต่แดดญี่ปุ่นแรงจริงอะไรจริง ลองมาช่วงซัมเมอร์ดูแล้วจะรู้ว่าญี่ปุ่นไม่ได้หนาวเป็นอย่างเดียวนะ ^^
มาถึงคืนจักรยานเรียบร้อย ระหว่างรอรถไฟมา ก็เข้าไปใน Tourist information Center ซะหน่อย ที่นี่บริการข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยว แถวๆ Hotaka โดยรอบ รวมไปถึงการขึ้นไป Japan Alps ด้วย
เอกสารภาษาไทยก็มีนะ แถมพี่ๆที่ดูแลคอยให้ข้อมูลพูดภาษาอังกฤษได้ ให้คำแนะนำพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากๆด้วย แถมที่นี่มีของฝากให้ซื้อกลับไปด้วยนะ ^^
ได้เวลารถมาแล้ว ขึ้นรถไฟกลับ ไปโตเกียวกัน . . .
โดยจะไปลงที่สถานีชินจูกุ ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง นั่งยาวๆ หาอาหารในรถไฟเป็นข้าวผัดรถไฟกะโอเลี้ยงรองท้องไปก่อน
แอร๊ยส์!!!. .. . ไม่ได้ขึ้นจากหัวลำโพง ได้แซนวิชกับกาแฟร้อนมากินก่อน เดี๋ยวกะว่าจะไปหามื้อปิดท้ายที่โตเกียวก่อนกลับสักหน่อย
ณ กรุงโตเกียว. . .
Tokyo หน้าร้อน นี่ร้อนกว่าเมืองต่างจังหวัดอีกนะ รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนได้ เพราะโตเกียวมีแต่ตึก แต่คนโตเกียวก็โนแคร์โนสน มีแค่แมวน้ำผู้ที่มาจากเขต tropical ยืนร้อนหน้าเหยเกอยู่คนเดียว >_<'
มื้อสุดท้ายก่อนกลับบ้านไปโซ้ยตำปูปลาร้า ขอฝากตัวฝากใจไว้ที่ร้านที่คนไทยชื่นชอบ นั่นคือ Midori ซูชิหน้าล้น มาตอนบ่ายสองบ่ายสามนี่ไม่ต้องรอคิวเลย แล้วก็ได้กินซูชิแบบจริงจังสมใจซะที
อร่อยมาก ใครมาชิบูย่า ไม่มาร้านนี้ถือว่า ผิด !!!
ราคาก็ไม่แพงด้วย เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ
ก่อนกลับแวะลาเจ้าฮาจิโกะสักหน่อย ทริปนี้เราได้ไปเยี่ยมฮาจิโกะที่บ้านเกิดOdate มาด้วยนะ
https://pantip.com/topic/36595963
ใครอยากได้ของฝากที่เป็นสัญลักษณ์เจ้าฮาจิโกะ แวะร้านนี้ในห้างที่ติดกับสถานีShibuya ได้เลย มีของน่ารักๆเป็นรูปการ์ตูนของฮาจิโกะเยอะแยะเลย
ขึ้นไปรอN'Ex ไปสนามบินนาริตะกัน JR Pass เราครอบคลุมแล้ว ใช้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม กลับไปจะเอาไปใส่กรอบแขวนโชว์เลย 555
ได้เวลากลับเมืองไทยแล้ว 6 วัน 6 คืน เต็มๆ ในฤดูร้อนของญี่ปุ่นทริปนี้ ถือว่าเที่ยวคุ้มสุด เป็นทริปแห่งความทรงจำ
Sayonara . . . Till we meet again , JAPAN
แล้วพบกันใหม่ รีวิวหน้าค่ะ
กด like ติดตามเพจของแม่ครัวแมวน้ำได้ที่
https://www.facebook.com/seallygoround/
Seally-Go-Round
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 16.35 น.