ผมมีโอกาสได้มาสัมผัสกับเมืองแปดริ้วหลายครั้งแล้ว แต่ละครั้งจะมาแบบผ่านๆ คือเน้นเที่ยวเฉพาะจุดที่ใครมาเที่ยวเมืองแปดริ้วแล้วต้องไม่พลาด อย่างวัดโสธรวรารามวรวิหาร พระพิฆเนศวัดสมานรัตนาราม แต่การมาแปดริ้วครั้งนี้ของผม ผมมีเวลา 2 วัน 1 คืน เพียงพอที่จะทำความรู้จักกับเมืองแปดริ้วมากกว่าทุกครั้งที่เคยมาเยือน จึงวางแผนเที่ยวเมืองแปดริ้วให้ครอบคลุมหลายอำเภอ พยายามเสาะหาที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ (สำหรับผม) เพื่อจะนำมาเป็นข้อมูลมาฝากเพื่อนๆ ตามรีวิวนี้ครับ


รีวิวนี้ผมจะไม่เรียงสถานที่ท่องเที่ยวตาม Timeline นะครับ แต่จะขอแนะนำไปทีละอำเภอครับ


ก่อนอื่นเรามารู้จักกับจังหวัดนี้กันก่อนดีกว่า “ฉะเชิงเทรา" หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “แปดริ้ว" จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา เมืองนี้ถือเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลาช่อน ที่มีอยู่ชุกชุมและมีขนาดใหญ่ เมื่อชาวบ้านจับปลาช่อนได้จะนำมาแล่เพื่อทำปลาตากแห้ง ซึ่งต้องแล่ออกถึงแปดริ้ว เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า “แปดริ้ว" ตามขนาดของปลาช่อนครับ

ป.ล.ติดตามบันทึกการท่องเที่ยวทริปอื่นๆ ของผมได้อีกช่องทางที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt ครับ

อำเภอบางปะกง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแปดริ้ว อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 22 กม. พื้นที่บางส่วนของบางปะกงจะติดกับทะเลอ่าวไทยครับ สถานที่ที่ผมจะแนะนำนั่นก็คือ วัดหงษ์ทอง ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่วิหารถูกโอบล้อมด้วยผืนน้ำทะเลอ่าวไทยครับ

วัดหงษ์ทอง จะมีทางเดินจากบริเวณวัดที่ชายฝั่งเชื่อมไปยังพระธาตุคงคามหาเจดีย์ปรีชาประชากร และอุโบสถซึ่งอยู่ในทะเล มีพญานาค 2 ตนรอต้อนรับอยู่บริเวณทางเชื่อม ช่วงที่ผมไปถึง น้ำทะเลยังไม่ขึ้นเท่าที่ควร แอบนึกเสียใจที่ไม่เห็นช่วงที่น้ำล้อมพระธาตุและอุโบสถครับ

บริเวณทางเชื่อม ยังมีสะพานไม้ ให้ญาติโยมรวมถึงนักท่องเที่ยวได้เดินมาชมรูปปั้นตัวละครที่ถ่ายทอดเรื่องราวในวรรณคดีไทย “พระอภัยมณี" ด้วยครับ

พระธาตุคงคามหาเจดีย์มีทั้งหมด 5 ชั้น ชั้นล่างเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธรจำลอง รวมถึงพระพุทธรูปอื่นๆ อีกมากมาย มีภาพวาดเกี่ยวกับพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ไทยด้วย

บริเวณชั้น 2 เป็นที่ประดิษฐานองค์พระแก้วมรกตจำลอง รวมถึงหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญครับ

สำหรับชั้นบนสุดจะพบกับ “พระธาตุคงคามหาเจดีย์" เจดีย์สีทองตั้งเด่นเป็นสง่าเลยครับ ด้านบนนี้สามารถเดินชมวิวได้ 360 องศากันเลยทีเดียว

ด้านในองค์เจดีย์ จะมีแท่นบรรจุพระธาตุ พระอรหันต์ในทะเลเป็นแห่งแรกของโลก เป็นที่กราบไหว้บูชารำลึกถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายครับ

ด้านข้างของพระธาตุคงคามหาเจดีย์ ยังมีพระอุโบสถ ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลเช่นเดียวกัน ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวพุทธประวัติไว้อย่างสวยงาม

วัดนี้เป็นที่นิยมในการบวชชีพราหมณ์ครับ เพราะผมเห็นมีคนมาบวชชีพราหมณ์กันเป็นจำนวนมาก และแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นชีพราหมณ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยรุ่นจนถึงช่วงผู้ใหญ่ต้นๆ ทำให้ผมลบความคิดเดิมๆ ออกไปจากใจเลยว่า คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งที่น่ายินดีจริงๆ ครับ

สำหรับผู้ที่ชอบทานอาหารทะเลอย่างหอยแครง หอยแมลงภู่ ตลอดสองข้างทางจากถนนใหญ่เข้ามาสู่บริเวณวัด จะมีร้านขายหอยแครง หอยแมลงภู่เยอะเลยครับ ราคาก็ไม่แพงด้วย หอยแมลงภู่ราคาเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 20 บาท ผมเองยังอุดหนุนไปหลายกิโลเลยครับ

มาต่อกันที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยวกันบ้าง อำเภอบางน้ำเปรี้ยวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแปดริ้ว อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 19 กม. สถานที่ที่น่าสนใจของบางน้ำเปรี้ยว ผมเลือกที่จะไปวัดโพรงอากาศครับ

วัดโพรงอากาศมองเห็นได้จากระยะไกล

ลักษณะของวัดโพรงอากาศในความคิดผมดูไม่ต่างอะไรกับบ้านทรงไทยที่ยกใต้ถุนสูงมากนัก ผมเพิ่งจะเคยเห็นการออกแบบวัดแบบยกใต้ถุนสูงก็ที่วัดแห่งนี้เป็นที่แรกครับ

บริเวณใต้ถุน จะมีเสาทั้งหมด 196 ต้น เสาแต่ละต้นมีขนาดประมาณ 2-3 คนโอบกันเลยทีเดียว ชั้นล่างนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนหน้าอก เรียกว่าพระอุระกะธาตุจากประเทศอินเดียครับ

อุโบสถมหาเจดีย์ที่ดูเด่นเป็นสง่าตั้งแต่มองจากเบื้องล่าง เมื่อผมเดินขึ้นมาบนชั้น 2 ความสูงเด่นเป็นสง่าขององค์เจดีย์สีทองอร่ามก็เพิ่มมากขึ้น ทันทีที่เท้าผมสัมผัสกับพื้นชั้นสองในช่วงเวลาบ่ายๆ มันทำให้ผมต้องถึงกับสะดุ้ง และต้องตะแคงเท้าเดิน เพราะพื้นกระเบื้องร้อนมากๆ ครับ

ด้านหน้าประตูทางเข้ามหาเจดีย์ทั้ง 4 ด้าน จะมียักษ์ปางต่างๆ ยืนตระหง่านอยู่ตามทิศ ด้านละ 2 ตน ภายในมหาเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธรองค์จำลองขนาดใหญ่ครับ

ด้านข้างของอุโบสถมหาเจดีย์ มองเห็นอุทยานพระพิฆเนศครับ

องค์พระพิฆเนศปางนั่งประทานพร เห็นว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยครับ ดูโดยรวมแล้ว องค์พระพิฆเนศเพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ เพราะสีสันยังสดอยู่มากๆ แถมรอบๆ อุทยานฯ กำลังปรับปรุงภูมิทัศน์อยู่เลยครับ

ไหนๆ ก็พูดถึงพระพิฆเนศแล้ว ผมพามาต่อที่ อำเภอคลองเขื่อนกันเลยดีกว่า ผมจะพามาสักการะพระพิฆเนศที่ทำจากเนื้อโลหะสำริดครับ

อำเภอคลองเขื่อนตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแปดริ้ว อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 18 กม. สถานที่ที่น่าสนใจของคลองเขื่อน ผมเลือกที่จะไปที่เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศครับ

พิฆเนศองค์ยืน เนื้อโลหะสำริด (ประกอบไปด้วยซิลิคอน แมงกานีส นิเกิล เหล็ก ดีบุก ตะกั่ว สังกะสี และทองแดง) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ปางสัมฤทธิ์ สำเร็จ สมปรารถนา มีความสูงถึง 30 เมตร มี 4 กร องค์พระพิฆเนศสร้างขึ้นโดยวิธีการหล่อชิ้นส่วน จำนวนทั้งสิ้น 854 ชื้น แล้วนำมาประกอบเป็นรูปร่างครับ

บริเวณด้านหน้าขององค์พระพิฆเนศจะมีรูปปั้นหนู เชื่อกันว่าหนูซึ่งเป็นสัตว์บริวารของพระพิฆเนศจะคอยไปกล่าวเตือนให้พระพิฆเนศประทานความสำเร็จให้ ผู้ที่มากราบไหว้องค์พระพิฆเนศจึงนิยมจะมากระซิบขอพรต่อพระพิฆเนศที่หูของหนู สำหรับการกระซิบก็มีเทคนิคนิดนึงคือระหว่างกระซิบจะต้องปิดหูของหนูอีกข้างหนึ่งไว้ด้วยครับ

ที่พระหัตถ์แต่ละกรขององค์พระพิฆเนศจะถือผลไม้ ประกอบด้วย มะม่วง กล้วย อ้อย และขนุน ซึ่งผลไม้ทั้ง 4 ชนิดเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของแปดริ้วครับ

และที่พระบาทขององค์พระพิฆเนศก็ยังมีหนูถือขนมโมทกะ ซึ่งเป็นขนมโปรดของพระพิฆเนศ มีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินครับ

บริเวณโดยรอบของฐานองค์พระพิฆเนศจะมีเป็นซุ้มเล็กๆ ด้านในสลักเป็นรูปช้าง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าจะบอกเล่าอะไร

ระฆังเล็กๆ ยังหล่อเป็นรูปองค์พระพิฆเนศเลยครับ

เท่าที่ผมนับได้ เมืองแปดริ้วมีพระพิฆเนศองค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยถึง 3 องค์ องค์แรกเป็นปางนอนเสวยสุข ที่วัดสมานรัตนาราม องค์ที่ 2 เป็นปางนั่งประทานพร ที่วัดโพรงอากาศ ทั้งสององค์ ล้วนสร้างจากปูน และองค์ที่ 3 คือพระพิฆเนศองค์ยืน ปางสัมฤทธิ์ สำเร็จ สมปรารถนา โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่นี่มากกว่า 2 ที่แรกที่ผมกล่าวถึง เพราะความเป็นสำริด ทำให้ดูขลัง มากกว่าองค์ที่เป็นสีชมพูครับ

ช่วงที่ผมไป เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังมีการปรับแต่งภูมิทัศน์อยู่ครับ

ท่องเที่ยวกันมาหลายที่แล้ว ขอพักเบรกกันด้วยอาหารบ้างดีกว่า เที่ยงนี้ผมขอแนะนำของดีของเด่นของอำเภอพนมสารคาม กับเมนู ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อครับ

ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อของพนมสารคามถือว่าเป็นต้นตำรับของก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่มีขายอยู่ทั่วไปในแปดริ้วครับ ตลอดสองข้างทางของถนนที่จะเข้ามายังตลาดพนมสารคามจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวปากหม้ออยู่เต็มไปหมด สำหรับมื้อนี้ เจ้าถิ่นได้พาผมมาชิมที่ร้านที่ตั้งอยู่บริเวณปากซอยเทศบาล 6 ครับ

ลักษณะของร้านก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ จะไม่เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไป โดยปกติร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไป แม่ค้าจะตั้งอุปกรณ์บริเวณหน้าร้าน แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ แม่ค้าจะตั้งอุปกรณ์อยู่ตรงกลาง ลูกค้าจะมานั่งล้อมวงรอบๆ แม่ค้า สำหรับโต๊ะที่นั่งก็เป็นแบบง่ายๆ จะมีโต๊ะกลางและม้านั่งเตี้ยๆ ให้ลูกค้าได้นั่ง แต่ถ้าหากเรานั่งเตี้ยๆ ไม่ไหว ก็สามารถหาร้านที่มีเก้าอี้แบบสูงได้เช่นกันครับ

สำหรับไส้ของก๋วยเตี๋ยวปากหม้อจะมีทั้งหมด 8 อย่างครับ อย่างแรกเป็นถั่วผัดยาวหั่นฝอย ผัดรวมกับหมูสับครับ

อย่างที่สองเป็นถั่วงอกครับ

อย่างที่ 3 ไส้กุยช่าย

อย่างที่ 4 ไส้หน่อไม้

อย่างที่ 5 ไส้เต้าหู้ผัด

อย่างที่ 6 ไส้หวาน ทำจากถั่วผัดรวมกับหัวไชโป้

อย่างที่ 7 ไส้ผักกาดดอง

และอย่างสุดท้าย เป็นไส้ข้าวโพดครับ

มาดูในส่วนของน้ำซุปกันบ้าง น้ำซุปจะหอมหวานด้วยน้ำต้มกระดูก และสามารถเลือกใส่ หมูเด้ง กระดูกหมู ตีนไก่ และเลือด ลงไปในน้ำซุปก็ได้ ถ้าใครจะใส่หลายๆ อย่างรวมกันก็ไม่ผิดกติกาครับ

สำหรับตัวของข้าวเกรียบปากหม้อ จะมีความบางและนุ่มของเนื้อแป้ง

เมื่อเลือกน้ำซุปได้แล้ว แม่ค้าจะค่อยๆ ทำข้าวเกรียบปากหม้อทีละตัว บรรจงใส่ในชามทีละชาม สำหรับไส้เราสามารถบอกแม่ค้าได้เลยว่าอยากจะทานไส้อะไร สนนราคา น้ำซุปชามละ 30-40 บาท ตัวข้าวเกรียบปากหม้อ ราคา 5 ตัว 10 บาทครับ

จากที่ผมเคยทานก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่วัดสมานรัตนาราม หรือที่ตลาดโบราณนครเนื่องเขตมาแล้ว ขอบอกเลยว่าความอร่อยสู้ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่พนมสารคามไม่ได้เลยครับ

อิ่มท้องแล้วเราไปต่อกันที่อำเภอสนามชัยเขตครับ ผมจะพามาไหว้พระ ชมเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่ไม่เหมือนวัดใดๆ ในเมืองไทยครับ

อำเภอสนามชัยเขตตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแปดริ้ว อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 50 กม. สถานที่ที่น่าสนใจของสนามชัยเขต ผมเลือกที่จะไปที่วัดห้วยน้ำทรัพย์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ วัดพระธาตุวาโย ครับ

สิ่งที่สะดุดตาภายในวัดห้วยน้ำทรัพย์ คงจะหนีไม่พ้นพระมหาเจดีย์พระธาตุวาโย เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ สูง 39 เมตร ฐานเจดีย์มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง 20 เมตร ซึ่งดูแปลกตา ไม่เหมือนกับเจดีย์ทรงระฆังคว่ำของวัดอื่นๆ แต่เจดีย์ที่นี่ออกแบบเป็น 3 ชั้น โดยชั้นล่างประดับกระเบื้องสีเหลือง ชั้นกลางเป็นสีน้ำเงิน และชั้นบนสุดเป็นสีขาว ครับ

ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า และ พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า และยังมีภาพเขียนสีน้ำมันบอกเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติด้วย นอกจากนี้ยังมีบันไดเพื่อให้ญาติโยม รวมถึงนักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์มุมสูงด้วย บริเวณชั้นล่างนี้ ถูกทาสีเป็นสีทอง ดูอร่ามเรืองรองมากๆ ครับ

พื้นที่ส่วนนี้เป็นชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ในองค์เจดีย์สีน้ำเงิน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโดยรอบ และแกนกลางพระมหาเจดีย์ทั้งสี่ทิศ

ยิ่งสูงขึ้น ทางเดินบริเวณบันไดก็เริ่มแคบขึ้น ชั้นนี้เป็นชั้นสูงสุด มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ จากด้านบนนี้สามารถชมทิวทัศน์แบบ 360 องศา ซึ่งมองเห็นพระอุโบสถ และอ่างเก็บน้ำลาดกระทิงครับ

มาดูพระอุโบสถที่เรามองเห็นจากด้านบนกันบ้างครับ ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามมากๆ ครับ

หลวงพ่อใหญ่ประธานพร พระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางประทานพร หน้าตักกว้าง 20 เมตร สูง 29 เมตร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก 1 สิ่งที่มาแล้ว ไม่ควรพลาดไปสักการะครับ

ที่วัดพระธาตุวาโย นอกจากจะมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางประทานพรแล้ว ยังมีพระพุทธรูปนอนปางไสยาสน์ ความยาว 20 เมตรอีกด้วยครับ

แสงสุดท้ายที่พระธาตุวาโยครับ

ถึงแม้ว่าการเดินทางมายังพระธาตุวาโยจะอยู่ค่อนข้างไกล และไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ แต่ถ้าหากผ่านมายังอำเภอสนามชัยเขตแล้ว ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดแวะเข้ามาเยี่ยมชมครับ

มาต่อกันที่อำเภอบางคล้าครับ อำเภอบางคล้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแปดริ้ว อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 25 กม. บางคล้ามีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่งเลยครับ และที่แรกที่ผมจะแนะนำคือ วัดโพธิ์บางคล้าครับ

วัดโพธิ์บางคล้าไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2310-2350 สมัยพระเจ้าตาสินมหาราชครับ ภายในวัดมีจุดที่น่าสนใจ 3 จุดคือ ศาลาที่อยู่บริเวณกลางวัด เป็นศาลาเปิดโล่งไม่มีผนัง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป รวมทั้งพระพุทธรูปที่สำคัญของเมืองไทยและเบญจภาคีทั้ง 5 ครับ

แต่ที่สะดุตาผมที่สุด เพราะผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนคือ พระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา พระพุทธรูปในลักษณะอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองซ้อนกันบนพระเพลา (ตัก) มองเห็นพระวรกายซูบผอมจนพระอัฐิ (กระดูก) และพระนหารุ (เส้นเอ็น) พระวรกายผอมเห็นหนังติดกระดูกครับ

เดินถัดมาอีกสักนิด จะพบวิหารทรงจัตุรมุขโบราณอายุหลายร้อยปีหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ติดกำแพงด้านหน้าของวัด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตวัดบางคล้าครับ วิหารหลังนี้จะมีประตูทางเข้า 2 ทาง มีหน้าต่าง 1 ช่อง ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามเลยทีเดียว

และสิ่งที่น่าสนใจจุดสุดท้ายที่เห็นอยู่ทั่ววัดนั่นคือค้างคาวแม่ไก่นับแสนตัว ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ทั่วทั้งวัด มองไปต้นไม้ต้นไหนในวัดก็จะเห็นกลุ่มของค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด ค้างคาวแม่ไก่เป็นค้างคาวสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

สถานที่จุดที่ 2 ที่อยากจะแนะนำในอำเภอบางคล้า อยู่ไม่ไกลจากวัดโพธิ์บางคล้ามากนัก นั่นก็คืออนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครับ

ที่บริเวณปากน้ำโจ้โล้ เคยเป็นบริเวณที่พระเจ้าตากสินมาปะทะกับกองทัพพม่า ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทำให้รบชนะพม่าซึ่งมีกำลังเหนือกว่า และพระองค์ได้พักทัพบริเวณนี้ และได้ทรงสร้างพระเจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการสู้รบกับพม่า แต่มาภายหลังบริเวณดังกล่าวถูกกระแสน้ำกัดเซาะจนพระเจดีย์พังทลายลง ต่อมามีการสร้างพระสถูปเจดีย์ขึ้นใหม่ในบริเวณเดิมครับ จากจุดนี้สามารถมองเห็นเกาะลัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของอนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครับ

จริงๆ แล้วจากวัดโพธิ์บางคล้ามุ่งหน้าสู่อนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวอีก 1 จุด นั่นคือ ตลาดน้ำบางคล้า แต่เนื่องจากผมมาถึงในช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว แถมยังหาที่จอดรถบริเวณตลาดน้ำไม่ได้ ผมเลยไม่ได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมครับสถานที่จุดที่ 3 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นั่นก็คือ วัดปากน้ำโจ้โล้ครับ

วัดปากน้ำโจ้โล้มีจุดเด่นอยู่ที่พระอุโบสถที่ทาสีทองทั้งหลังทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นหลังคา หน้าบัน ซุ้มประตู บานประตู ใบเสมา กำแพงแก้ว ถือเป็นอุโบสถสีทองแห่งเดียวของเมืองไทย ลวดลายปูนปั้นที่นี่ เมื่อทาสีทองแล้วสวยงามจริงๆ และจะสวยงามขึ้นไปอีกเมื่อแสงแดดสาดส่องมายังตัวพระอุโบสถ เพิ่มความอร่ามเรืองรองขึ้นกว่าเดิม

ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งเป็นองค์ประธานในพระอุโบสถ มีการนำลวดลายปูนปั้นจำหลักมาประดับตกแต่งภายในพระอุโบสถซึ่งใช้สีทองทั้งหมดแทนการใช้ภาพจิตรกรรมฝาผนัง งดงามมากๆ ครับ และสิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งของวัดแห่งนี้คือ ฐานของพระประธานจะสร้างเป็นห้อง มีประตูทะลุหน้า-หลัง เพื่อให้ญาติโยมได้มาลอดฐานพระประธานเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตครับ

วัดปากน้ำโจ้โล้นี้อยู่ติดกับแม่น้ำบางปะกงเลย เมื่อเดินมาที่ท่าน้ำจะมองเห็น อนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยครับ

และสถานที่สุดท้ายที่จะขอกล่าวถึงในอำเภอบางคล้า นั่นคือวัดหัวสวนครับ วัดหัวสวนก็เป็นอีก 1 วัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนวัดปากน้ำโจ้โล้ สำหรับเอกลักษณ์ของวัดหัวสวนนั้นก็คือโบสถ์สแตนเลสที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ

จุดประสงค์ของการสร้างโบสถ์สแตนเลสนี้เกิดจากแนวคิดของพระครูภาวนาจริยกุล (ท่านเจ้าอาวาส) เพื่อหวังให้โบสถ์มีอายุยาวนับพันปี ซึ่งจากการศึกษา พบว่าสแตนเลสเป็นวัสดุที่สามารถอยู่ได้เป็นพันปี ในขณะที่ปูนจะมีอายุแค่หลักร้อยปี ท่านจึงออกแบบโบสถ์สแตนเลสขึ้นมา โบสถ์แห่งนี้ใช้งบประมาณ 50 ล้านบาทครับ อุโบสถหลังนี้สำเร็จได้ด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนซึ่งมาบริจาคเงินโดยทางวัดไม่ได้บอกบุญเรี่ยไรใดๆ ทั้งสิ้น

โบสถ์แห่งนี้มีประตูทางเข้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านละ 2 ช่อง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ทำจากสแตนเลสขึ้นรูปและอ๊อคอาร์กอน ที่หน้าบันและหน้าต่างเป็นรูปพระพุทธเจ้าและเทวดาต่างๆ รอบอุโบสถแกะลายสแตนเลสเป็นรูปพระอรหันต์ 80 องค์ มีเสาหงส์คาบโคมไฟอยู่โดยรอบ

ด้านนอกของโบสถ์ว่าอลังการแล้ว ด้านในก็อลังการไม่แพ้กันครับ ด้านในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาลาภ ซึ่งประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอย อัญมณีต่างๆ จากประเทศออสเตรเลีย แอฟริกา และพม่า ยามพระพุทธมหาลาภต้องแสงไฟ องค์พระจะส่องประกายระยิบระยับ งดงามมากๆ เลยครับ

สำหรับจิตรกรรมฝาผนังของวัดหัวสวนก็ไม่เหมือนใครครับ ที่นี่จะใช้เทคนิคพ่นแอร์บรัช บอกเล่าเรื่องราวพุทธชาดก 10 ชาติของพระพุทธเจ้าครับ

และอำเภอสุดท้ายที่ผมจะแนะนำ นั่นคืออำเภอเมืองฉะเชิงเทรา เริ่มกันที่ วัดจีนประชาสโมสร (วัดเล่งฮกยี่) ครับ

วัดจีนประชาสโมสรเป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ขยายมาจากวัดเล่งเน่งยี่ในกรุงเทพครับ ตามตำนานบอกว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัย ร.5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรีเพื่อเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา

วัดนี้มีชื่อจีนว่า วัดเล่งฮกยี่ ซึ่งแปลว่า มังกรแห่งวาสนาหรือมังกรแห่งโชค จึงมีผู้นิยมมาสักการะวัดนี้เพื่อขอโชคลาภวาสนา ตามหลักฮวงจุ้ยจีนกล่าวว่า วัดนี้ถือเป็นตำแหน่งท้องมังกร ส่วนตำแหน่งหัวมังกรอยู่ที่วัดเน่งเล่งยี่ กรุงเทพ และหางมังกรอยู่ที่วัดเล่งฮัวยี่ จ.จันทบุรีครับ

เมื่อเดินเข้าไปในวัด จะพบท้าวจตุโลกบาลขนาดใหญ่ 4 องค์ที่ทำจากกระดาษอายุกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวจีนจากเมืองเซี่ยงไฮ้ อยู่บริเวณประตูทางเข้า ด้านละ 2 องค์ ทางฝั่งซ้ายของทางเข้า องค์ซ้ายมือคือท้าววิรุฬหกมหาราช ปกครองทิศทักษิณ เป็นเงินแห่งกุมภัณฑ์ ส่วนองค์ขวาคือท้าววิรุฬปักขมหาราช ปกครองทิศปัจฉิม เป็นเจ้าแห่งนาคครับ

ส่วนทางฝั่งขวาของทางเข้า องค์ซ้ายมือคือท้าวกุเวรมหาราช (เวสุวัณ) ปกครองทิศอุดร เป็นเจ้าแห่งยักษ์ ส่วนองค์ขวาคือท้าวธตรัฎฐมหาราช ปกครองทิศบูรพา เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์ครับ

นี่ถ้าไม่บอกว่าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทำมาจากกระดาษ ผมจะไม่เชื่อเลยนะครับ เพราะผมยังคิดว่าทำจากไม้แกะสลักเสียด้วยซ้ำ

บริเวณกลางวัด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 3 องค์ครับ

เทพเตี๋ยวกวงเม้งไฉ่ซิ้ง (ปางบู้) เทพเจ้าแห่งโชคลาภครับ

เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักจากรากไม้อายุ 100 ปีครับ

ระฆังวัดเล่งฮกยี่ มีน้ำหนักกว่า 1.5 ตัน เป็น 1 ใน 3 ใบในโลกที่รอบระฆังมีอักษรมหาปรัชญาปรมิตาสูตร เชื่อกันว่าผู้ใดได้ตีระฆังจะเหมือนกับการสวดมนต์ครับ

สำหรับการสักการะบูชาเทพเจ้าในวัดจีนประชาสโมสรนั้น ทางวัดจะให้เราจุดธูปไหว้ตามหมายเลขที่ทางไว้ติดบอกไว้บริเวณเทพต่าง ๆ ครับ

ที่ด้านหลังของวัด มีเจดีย์ทรงจีน กำลังซ่อมแซมอยู่ครับ

ถัดจากวัดจีนประชาสโมสรมายังตัวเมืองฉะเชิงเทราประมาณ 1 กม. ก็จะมาถึงตลาดบ้านใหม่ครับ

ตลาดบ้านใหม่เป็นตลาดเก่าแก่ อายุกว่า 100 ปี เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ในอดีตที่นี่เป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญของฉะเชิงเทรา ผู้คนที่อยู่ในชุมชนนี้จะประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่ครับ

ลักษณะของตลาดจะเป็นบ้านเรือนไม้ที่ปลูกสร้างติดๆ กันอยู่ริมน้ำ โครงสร้างต่างๆ ของบ้านเรือนยังคงสภาพเดิมๆ ที่ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย ภายในตลาดเป็นแหล่งรวมอาหารอร่อยๆ รสเด็ด ของเด่นของดังเมืองแปดริ้ว รวมถึงขนมที่บางอย่างหาชิมได้ยากแล้ว นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้เลือกช๊อป เลือกชิมกันตามอัธยาศัยเลยครับ

ร้านขายของที่ระลึก มีสินค้าให้เลือกมากมาย ราคาไม่แพงครับ

ร้านก๋วยเตี๋ยวตกแต่งได้อย่างน่านั่งเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีการปรับปรุงภายในร้านให้ดูเก๋ไก๋ขึ้น แต่โครงสร้างของร้านก็ยังคงเอกลักษณ์ของเรือนแถวไม้โบราณไว้ครับ

ร้านค้าบางร้าน จะใช้เพียงพื้นที่หน้าบ้านเป็นที่ซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ภายในบ้านยังคงใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริงๆ ครับ

มาดูของทานเล่นทานจริงกันบ้างดีกว่าครับ เริ่มที่ลอดช่องน้ำกะทิ ผมเองอยากจะซื้อกลับไปทานที่บ้านเหมือนกัน แต่เกรงว่ากว่าจะถึงบ้านน้ำกะทิจะเสียซะก่อน เลยไม่ได้อุดหนุนครับ

กุยช่ายทอด ทอดกันใหม่ๆ ครับ

ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ที่มาในรูปแบบใหม่ที่ผมไม่เคยเห็น ปกติก๋วยเตี๋ยวหลอดบ้านผมจะเป็นเส้นใหญ่ห่อไส้ที่ทำจากถั่วงอกผัดใส่หมูใส่เต้าหู้ แต่ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่นี่มาแบบนี้เลยครับ

ขนมตาล ขนมกล้วย มาในรูปแบบกรวยใบตองครับ

ข้าวหลามในลูกมะพร้าว มี Topping หลายอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเผือก แปะก๊วย ถั่วแดง น่าทานเชียวครับ

ไข่นกกะทา เอามาทอดในเตาขนมครกครับ

สาคูไส้หมู ผลิตกันใหม่ๆ เลยครับ

ขนมเบื้องญวน หน้าตาน่าทานเชียวครับ

เห็นปูดอง แล้วนึกถึงส้มตำปูดองเลยครับ

ร้านนี้ต้องถูกใจคอน้ำพริกแน่นอนครับ เพราะมีน้ำพริกให้เลือกเยอะแยะมากมาย

ขนมเกสรลำเจียก ขนมไทยโบราณ หาทานได้ยากแล้วครับ

ข้าวห่อใบบัว คิดว่ามีแต่ที่ตลาดสามชุก จริงๆ แล้วที่ตลาดบ้านใหม่ก็มีครับ แถมมีไส้ให้เลือกเยอะแยะเลยครับ

ขนมไหมฟ้า เป็นขนมมงคลของจีนครับ ทำมาจากน้ำผึ้งนำมากวนกับแป้งข้าวจ้าว แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเหนียว จากนั้นนำมานวดๆ ดึงๆมันก็จะยืดๆ ออกมาราวกับเส้นไหมเลยครับ กระบวนการต่อไปคือนำไปห่อเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่ว และงาขาว เวลาทานแล้วจะรู้สึกนุ่มๆ ของเส้นไหมและกรุบกรอบของเม็ดมะม่วงหิมพานต์และถั่ว แต่แอบฝืดคอเล็กน้อย แถมละอองของเส้นไหมนี่หล่นใส่หน้าตักกันระนาวเลยครับ แนะนำว่าอย่าใจร้อนรีบทาน ให้นำไปใส่ตู้เย็น แล้วนำมาทาน จะรู้สึกว่ากรอบๆ เล็กน้อย ผมว่าแบบแช่เย็นนิดหน่อยอร่อยกว่าครับ ขนมไหมฟ้ามีกรรมวิธีการทำที่พิถีพิถันหลายขั้นตอน เลยทำให้ผลิตออกมาได้ช้า ร้านนี้เลยมีนักชิมมาต่อคิวรอซื้อนานพอสมควรครับ

แจงลอนสูตรโบราณ ลักษณะคล้ายๆ ทอดมันที่บ้านเราเอามาทอด แต่ที่นี่เอามาปิ้ง ไม้ละ 10 บาทครับ

ขนมกุยช่าย ห่อกันสดๆ นึ่งกันใหม่ๆ ครับ

ไม่แน่ใจว่าเป็นขนมหม้อแกงหรือเปล่า ตอนที่ผมถ่ายก็ลืมถามคนขายมาครับ

ปลาต้มเค็ม มีให้เลือกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปลาทู ปลาตะเพียน เลือกได้ตามใจชอบครับ

ทองพับครับ

ตะกร้าเล็กๆ สีสันสดใสครับ

ที่ตลาดบ้านใหม่ยังมีบริการล่องเรือชมบรรยากาศ 2 ฝั่งคลอง ซึ่งจะพาไปนมัสการพระนอนประดับกระจกศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า 100 ปี รวมถึงพาไปกราบไหว้ขอพรหลวงพ่อโต พระศักดิ์สิทธิ์คู่วัดเทพนิมิตด้วยครับ สำหรับเพื่อนๆ คนใดที่สนใจจะแวะมาเที่ยวที่นี่ ผมแนะนำว่าให้มาเที่ยวชมตลาดบ้านใหม่สักประมาณ 9-10 โมงครับ อากาศจะไม่ร้อนมากนัก เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยง ก็หาอาหารทานในตลาดได้เลย ร้านอาหารมีให้เลือกมากมาย มีก๋วยเตี๋ยวปากหม้อด้วย รับรองว่ามาที่นี่ ได้อิ่มท้องแถมได้ของฝากกลับไปฝากคนที่บ้านอย่างแน่นอนครับ อ้อ ลืมบอกไปว่าตลาดแห่งนี้เปิดขายเฉพาะวันหยุด ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. นะครับ

จากนั้นขยับเข้ามาใกล้ตัวเมืองอีกสักนิด ตามเส้นทางที่จะไปยังวัดโสธรวรารามวรวิหาร ผมมาสะดุดตาที่ อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำบางปะกงครับ

อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2446 เดิมเคยใช้เป็นศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา และเคยใช้เป็นศาลาเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา อาคารหลังนี้กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2520 ครับ

ผมเคยมาเดินเล่นถ่ายรูปแถวนี้เมื่อหลายปีก่อน ยอมรับเลยว่าตอนนั้นรู้สึกเสียดายอาคารสวยๆ ที่ดูทรงคุณค่าแบบนี้ เพราะสมัยนั้นปล่อยให้อาคารหลังนี้ดูเก่าและทรุดโทรมมากๆ แถมพื้นที่รอบๆ อาคารนี้ยังเป็นที่จอดรถที่ดูไร้ระเบียบมากๆแต่การกลับมาวันนี้ ที่นี่ดูเปลี่ยนไปในทางบวก บรรยากาศดูดีมากๆ ตัวอาคารได้รับการปรับปรุงจนดูทรงคุณค่ามากขึ้น พื้นที่โดยรอบถูกปรับปรุงภูมิทัศน์จนกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวแปดริ้วไปแล้ว จุดนี้ผมขอชื่นชมครับ

ขยับเข้ามาอีกหน่อย ผ่านโรงพยาบาลพุทธโสธร ก็จะพบกับสวนสาธารณะมรุพงษ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมเมืองโบราณใจกลางเมืองแปดริ้วครับ ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูรุกราน และในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ใช้ป้อมแห่งนี้เป็นกองทัพในการปราบกบฏอั้งยี่ครับ ณ ที่แห่งนี้ก็เช่นกัน ได้รับการปรับปรุงให้ดูน่าพักผ่อนหย่อนใจมากขึ้นกว่าครั้งที่ผมเคยมาเยอะเลยครับ

ฝั่งตรงข้ามของป้อมเมือง ก็ปรับปรุงให้เป็นพื้นที่ได้นั่งพักผ่อน ชมวิวแม่น้ำบางปะกงด้วย และยังมีประติมากรรมรูปโลมาหัวบาตร กำลังเล่นน้ำด้วยครับ

ทำไมต้องเป็นโลมา? เพื่อนๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแปดริ้วเป็นจุดชมโลมาหัวบาตรที่บริเวณปากอ่าวบางปะกงครับ ช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำเค็มหนุนเข้ามาบริเวณน้ำจืดมากกว่าทุกฤดูกาล นอกจากสัตว์ทะเลที่กระแสน้ำจะพัดพาเข้ามาแล้ว ยังมีโลมาหัวบาตรนับร้อยตัว เข้ามาสร้างสีสันให้กับอ่าวบางปะกงอีกด้วยโลมาเหล่านี้หนีหนาวอพยพมาอยู่ในบริเวณนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ จะมีบริการล่องเรือชมโลมา นอกจากนี้ยังพาชมระบบนิเวศป่าชายเลนและเกาะกลางแม่น้ำ ซึ่งจะมีนกนานาชนิดมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เมืองแปดริ้วกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศซึ่งแตกต่างจากที่อื่นๆ ครับ

และสถานที่สุดท้ายที่ไม่ควรพลาด หากมาเยือนเมืองแปดริ้ว นั่นคือการมานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของแปดริ้วครับ

วัดโสธรวรารามวรวิหารเดิมชื่อว่า "วัดหงษ์" สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันพระอุโบสถที่เห็นเป็นพระอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างครอบพระอุโบสถหลังเดิม เป็นอาคารทรงไทยที่ออกแบบพิเศษเฉพาะรัชกาล ลักษณะหลังคาพระอุโบสถประกอบเครื่องยอดชนิดยอดทรงมณฑปแบบไทย ต่อเชื่อมด้วยวิหารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้านข้างต่อเชื่อมด้วยอาคารรูปทรงเดียวกับพระวิหารเป็นอาคารมุขเด็จ จึงมีลักษณะเป็นอาคารมีหลังคาแบบจตุรมุขอย่างปราสาทไทย ส่วนกลางพระอุโบสถมียอดมณฑปสูง 85 เมตร ยอดมณฑปมีลักษณะเป็นฉัตร 5 ชั้น มีความสูง 4.90 เมตร ยอดฉัตรเป็นทองคำน้ำหนัก 77 กิโลกรัม มูลค่า 44 ล้านบาท ผนังด้านนอกพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อนจากเมืองคาร์ราร่า ประเทศอิตาลีครับ

ด้านในวิหารตรงกลางเป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อพุทธโสธร" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ ฝีมือช่างล้านช้าง ตามประวัติเล่าว่าองค์พระเกิดปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่เดิมเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ รูปทรงสวยงาม แต่พระสงฆ์ในวัดหาวิธีป้องกันผู้ที่จะมาโจรกรรมไป จึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบันครับ

ส่วนวิหารทางด้านปีกซ้ายนั้น ลักษณะภายในเป็นโถงใหญ่ และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิครับ ผมไม่แน่ใจว่าปกติทางวัดจะเปิดวิหารส่วนนี้ให้เข้าชมหรือเปล่า แต่วันที่ผมไปมีรองเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ได้นำพระสงฆ์จีนจำนวน 40 รูป มานมัสการสักการะองค์หลวงพ่อพระพุทธโสธรพอดี และทางวัดได้เปิดวิหารส่วนนี้ด้วย ก่อนที่คณะจะมาถึง ผมเลยขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้าไปชมด้านในครับ

หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญของชาวแปดริ้ว และเป็นที่รู้จักเคารพบูชาของประชาชนทั้งประเทศ หากเพื่อนๆ มาที่แปดริ้วแล้ว ผมแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะมาสนมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตนะครับ

สำหรับที่พักที่ฉะเชิงเทรา ผมเลือกเข้าพักที่ สัมมนาคาร บางปะกง ปาร์ค ที่พักแห่งนี้ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ฉะเชิงเทราครับ

สัมมนาคาร บางปะกง ปาร์ค ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดโสธรวรารามวรวิหารครับ สามารถเดินเท้าไปได้ประมาณ 5 นาทีครับ

ภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเหมือนกับโรงแรมทั่วๆ ไป แต่มีกลิ่นอับพอสมควร จากห้องพักมองเห็นวัดโสธรวรารามวรวิหารด้วยครับ

ราคาห้องพักที่นี่คืนละ 600 บาท รวมอาหารเช้า ถือว่าคุณภาพสมราคาห้องพักครับ

จุดเด่นของที่นี่คือ การขึ้นมาชมวิวของวัดโสธรวรารามวรวิหารมุมสูงยามพลบค่ำครับ แต่ทั้งนี้ต้องทำหนังสือขออนุญาตจากทางสัมมนาคาร บางปะกง ปาร์คล่วงหน้าก่อนนะครับ

ด้วยการที่ห้องพักที่นี่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำให้ได้ยินเสียงรถสัญจรตลอดทั้งคืน ในส่วนอาหารเช้ามีอาหารให้เลือกพอสมควร เมนูวันที่ผมไปใช้บริการมีข้าวต้ม ข้าวผัด ฮอทดอก แฮม ไข่ดาว ขนมปัง และกาแฟครับ

สำหรับร้านของฝาก ผมขอแนะนำชิฟฟ่อนร้าน “ปูกับเอ" ครับ

ร้านปูกับเอ อยู่ไม่ไกลจากที่พักผมมากนัก ร้านนี้มีของฝากมากมาย แต่ผมขอโฟกัสไปที่ชิฟฟ่อนครับ ผมคิดว่าเพื่อนๆ หลายคนอาจจะเคยชิมชิฟฟ่อนปูกับเอกันมาบ้างแล้ว ผมเคยแวะเข้าปั๊มน้ำมันแถวบ้านบึง จ.ชลบุรี ยังเคยเห็นมีแม่ค้ารับชิฟฟอนปูกับเอมาจำหน่ายเลยครับ ไหนๆ มาแปดริ้วทั้งทีแล้ว เลยขอไปซื้อชิฟฟ่อนที่ร้านต้นตำรับสักหน่อย

เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ผมก็เห็นลูกค้ามายืนรอสั่งชิฟฟ่อนเป็นจำนวนมาก ไม่เฉพาะลูกค้าที่ยืนรออยู่เต็มร้าน แต่หลังร้านผมมองเห็นพนักงานต่างเร่งผลิตชิฟฟ่อนกันมือเป็นระวิง ชิฟฟ่อนมีหลายรสชาติมาก เช่น ส้ม กาแฟ ช๊อคโกแลต บลูเบอร์รี่ ชานม ฝอยทอง มะพร้าวอ่อน จำหน่ายชิ้นละ 9 บาท บรรจุกล่องละ 10 ชิ้นครับ ชิฟฟ่อนที่นี่เนื้อแป้งนุ่มมากๆ แถมไม่ใส่วัตถุกันเสียด้วย ไส้บางอย่างหากทิ้งไว้นานอาจจะเสียได้ เช่นมะพร้าวอ่อน ก่อนซื้อคนขายจะถามว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะกลับบ้าน หากใช้เวลานานมาก คนขายจะแนะนำไม่ให้สั่งไส้มะพร้าวอ่อนครับ ผมแอบขำเพื่อนร่วมทริปอยู่ในใจ เพราะในช่วงเช้า ผมและเพื่อนไปใส่บาตรพระที่หน้าวัดโสธรวรารามวรวิหาร หลังใส่บาตรเสร็จเพื่อนผมได้ไปซื้อชิฟฟ่อนปูกับเอที่มีแม่ค้ารับไปขายหน้าวัด แม่ค้าขายในราคากล่องละ 120 บาท แล้วช่วงสายๆ ผมก็พาเพื่อนร่วมทริปมาซื้อถึงร้านต้นตำรับเลย ปรากฏว่า เพื่อนผมซื้อเพิ่มอีก 2 กล่องด้วยความเจ็บใจที่ซื้อมาแพงกว่า 30 บาท แถมช่วงที่เดินทางกลับ เพื่อนผมก็ดูแลชิฟฟ่อนยิ่งกว่าไข่ในหิน โดยการเปิดแอร์รถเบอร์ 3 ไปตลอดทั้งเส้นทาง เพราะกลัวชิฟฟ่อนจะเสีย นี่ไม่ห่วงว่าคนจะหนาวสั่นขนาดไหน ขอให้ชิฟฟ่อนของฉันไม่เสียก็แล้วกัน

จริงๆ แล้วสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองแปดริ้วยังมีอีกหลายที่ที่ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัส อย่างประติมากรรมปั้นทรายโลก ซึ่งจริงๆ ก็ตั้งใจจะไปชมในทริปนี้ แต่ช่วงนี้อยู่ระหว่างปิดปรับปรุง นอกจากนี้ยังมีวัดที่มีประวัติอย่างยาวนาน มีตลาดโบราณอีกหลายแห่ง แต่ด้วยผมมีเวลาจำกัด เลยขอเลือกจุดที่เป็นไฮไลท์ของแต่ละอำเภอซะก่อน แล้วถ้ามีโอกาสดีๆ ผมจะกลับมาเก็บรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในแปดริ้วอีกอย่างแน่นอนครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.58 น.

ความคิดเห็น