จองได้ยังไง จองได้เมื่อไหร่ ? สารพันคำถามประเดประดังเมื่อผมกำลังจะไปโมโกจู มหากาพย์ทริปเดินป่าแห่งสยามประเทศที่จองยากเย็นแสนเข็ญ และขอตอบตามตรงว่าลำพังผมน่ะจองไม่ได้หรอกครับ แค่บังเอิญเพื่อนกลุ่มที่จองได้เกิดมีสมาชิกถอนตัว ผมเลยบุญหล่นทับได้เสียบแทน บทจะโชคดีก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ

อธิบายสักนิดสำหรับใครไม่ใช่สายป่า ที่ว่าจองยากสุดในประเทศเพราะเส้นทางเดินป่าโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร เปิดให้ประชาชนทั่วไปเที่ยวแค่ปีละสี่เดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ โดยเป็นทริปห้าวันสี่คืน ตั้งแต่วันเสาร์ถึงพุธของแต่ละสัปดาห์ แถมจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแค่สัปดาห์ละสองกลุ่ม กลุ่มละไม่เกินสิบสองคน เท่ากับว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวโมโกจู จะมีผู้โชคดีได้เข้าไปสัมผัสป่าแห่งนี้ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น

เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นกว่ากลุ่มไหนจะจองได้

083tr07jt1hb

เส้นทางห้าวันสี่คืน ระยะทางไป 29 กิโลเมตร กลับทางเดิม 29 กิโลเมตร บวกอีกนิดหน่อยสำหรับการเดินไปเที่ยวน้ำตก รวมแล้วเดินมากกว่า 60 กิโลเมตร นับเป็นเส้นทางเดินป่าที่ไกลที่สุดและใช้เวลามากที่สุดซึ่งมีหน่วยงานรัฐเป็นผู้ดูแลและเปิดให้เที่ยวอย่างเป็นทางการ

สำหรับกำหนดการเดินหน้าตาแบบนี้ครับ

วันแรก ที่ทำการฯ >>> 16 กม. (ทางราบส่วนใหญ่ ถนนดินแดง) >>> แคมป์แม่กระสา


วันที่สอง แคมป์แม่กระสา >>> 4 กม. (ป่าไผ่ ทางราบส่วนใหญ่) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 3 กม. ไปเที่ยวน้ำตกแม่เรวาแล้วกลับแคมป์
วันที่สาม แคมป์แม่เรวา >>> 8 กม. (ขึ้นเขาชันสิบกะโหลก) >>> แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา
วันที่สี่ แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา >>> 8 กม. (ลงเขาชันเข่าพัง) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 4 กม. >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่ห้า แคมป์แม่กระสา >>> 16 กม. (ถนนดินแดง) >>> ที่ทำการฯ

ทริปนี้เพื่อความสะดวกกลุ่มเราเลือกเดินทางด้วยรถตู้เช่าเหมาคัน ออกจาก กทม. คืนวันศุกร์ และกลับถึง กทม. ค่ำวันพุธ วาเลนไทน์ 14 กุมภา เป็นช่วงที่ดีใช่ไหมล่ะในการพิชิตยอดเขาสูง 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้


วันที่ 1 : ที่ทำการฯ > แม่กระสา

เราเดินทางด้วยรถตู้ออกจาก กทม. สี่ทุ่มเศษ ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ตีสามกว่าๆ หาที่หลับที่นอนภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบง่ายๆ พอฟ้าสว่างก็ตื่นโดยสัญชาตญาณถึงจะยังนอนกันไม่เต็มตาเท่าไหร่ บรรยากาศตอนเช้าในอุทยานฯ ดีเชียวครับ สดชื่นมาก ถ้าว่างๆ มานอนเล่นสักคืนสองคืนคงเพลินดี


3b81lkx9i6h3
ul8wz10hkg1a

จัดแจงเตรียมข้าวของ กินข้าวร้านสวัสดิการ ก่อนจะเริ่มเดินเราต้องลงทะเบียน เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ และอีกขั้นตอนสำคัญคือฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางการเดิน กฎระเบียบต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่อุทยานฯ มีให้ และที่เราต้องหากันเอาเอง พูดคุยแบบฮาๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร

“หัวหน้าสั่งให้ผมบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบนะ โอเคงั้นผมจะบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบ ถือว่าบอกแล้วนะ” เจ้าหน้าที่ยิ้ม เสร็จสรรพก็ฉายช็อตเด็ดๆ ของโมโกจูที่มีแต่ภาพคนถ่ายบนหินเรือใบ แล้วบอกต่อว่าถ้าได้รูปสวยๆ ส่งมาให้อุทยานฯ ใช้โปรโมตบ้างนะ (ฮา...)

f84tpjrtzymm
2ix4exe8rpq1

รับทราบสิ่งควรรู้ทุกอย่างแล้วก็ออกมาถ่ายกับป้ายด้านหน้าเป็นที่ระลึกสักหน่อย แน่นอนว่าเป็นภาพหล่อๆ สวยๆ ภาพสุดท้ายของทริปนี้

124toy63z5uw

ทั้งสองกลุ่มเดินไล่ไปพร้อมกัน มีเจ้าหน้าที่ดูแลรวมกันสี่คน เฉพาะกลุ่มเรามีลูกหาบสามคน แบกคนละ20 กิโลกรัม แต่เพราะแม่ครัวเตรียมของกินกันหรูหรานิดหน่อยน้ำหนักเลยทะลัก ก็เป็นหน้าที่ของผู้ชายล่ะครับต้องเฉลี่ยกันมาทำให้น้ำหนักแบกหน่วงหน่อยๆ

x7css1dv19xj

มองนาฬิกาสิบโมงห้านาทีได้เวลาออกตัว จุดเริ่มต้นพิชิตโมโกจูอยู่ตรงป้ายอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ใหญ่ๆ ใกล้กับที่ทำการฯ นั่นแหละ พร้อมแล้วลุยโลด

gzusyebulbe2

ทางเดินจากที่ทำการฯ ไปแคมป์แรกแม่กระสา เป็นการเดินบนถนนลูกรังดินแดงราว 16 กม. เป็นถนนที่เป็นถนนจริงๆ เจ้าหน้าที่ยังใช้โฟร์วีลและมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นปกติเมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจ

k53lsnb7272u
fezkogi0lcvb

จากที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังตั้งแต่ตอนแรก ปีนี้อุทยานฯ มีแผนให้นั่งรถเข้าไปถึงแม่กระสาเลยด้วยซ้ำเพื่อย่นระยะการเดินและจำนวนวันในทริป แต่ช่วงปลายฝนก่อนเปิดป่าไม่นานปรากฏว่าน้ำซัดถนนพัง แผนเลยต้องพับไว้ก่อน แต่ปีต่อไปอาจหยิบเรื่องนั่งรถเข้าไปแม่กระสามาว่ากันใหม่

เดินทางราบสักสองกิโลก็จะถึงเนินชันเนินแรกชื่อว่า “มอขี้แตก” ระดับความชันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะเป็นเนินแรกเหนื่อยแรกกับทางยาวๆ หนึ่งกิโล มันก็เลยดูโหดร้ายนิดหน่อย (ฮา...)

xsnr5lhah805

หลังพ้นเนินแรกมาอย่างสะบักสะบอม จากนั้นทางค่อนจะราบ มีเนินสลับอยู่บ้างแต่ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆ ตากแดดเหนื่อยก็พัก มีธารน้ำห้วยมะนาวที่เราต้องข้ามไปข้ามมาหลายรอบ ใครมีเครื่องกรองน้ำพกพาก็ค่อนข้างสบาย เติมน้ำได้ตลอดในช่วงนี้

xq41af9ywu5w
664azks7rmog

เดินมาเรื่อยๆ กลุ่มเริ่มแตก ใครเดินเร็วเดินไป เดินช้าก็รั้งท้าย ผมไม่เร่งมากอยู่กลางๆ บ่ายสองโมงครึ่งก็มาถึงตรงนี้ หลักกิโลที่ 11/29 ตัวเลขแรกคือเราเดินมาแล้ว 11 กม. ตัวเลขหลังคือระยะทางถึงยอดโมโกจู แต่วันนี้เราจะเดินกัน 16 กม. เพราะฉะนั้นเหลือ 5 กม. สุดท้ายแล้ว

usgfjpbtksm6

หลังเดินกันมา 11 กม. เหลืออีกแค่ห้าก็ดูน่าจะนิดเดียวใช่ไหมครับ แต่โมโกจูสำหรับผมคือป่าหลอกลวงโดยแท้ ที่บอกว่าเหลืออีกนิดเหลืออีกหน่อย เดินไปเถอะทำไมไม่ถึงสักที (วะ)

ยิ่งช่วงท้ายๆ ได้ยินเสียงน้ำแสดงว่าใกล้ถึงแม่กระสาเต็มทน แต่ไหงเดินผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของแคมป์สักที เล่นเอาสุดท้ายหมดแรงทิ้งตัวนั่งพักก่อนดีกว่าจะถึงกี่โมงก็ช่างหัวมัน (ฮา...)

9qkoutiiyfgp
lusl650cgz91

ในที่สุด 16.10 น. สิ่งที่เห็นค่อยทำให้ยิ้มออก แคมป์แม่กระสาอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเป๊ะคือสิ่งนี้... โค้ก เป๊ปซี่ จัดกันไปให้หายเหนื่อยสิครับจะรออะไร เจ้าหน้าที่แช่ตู้เย็นรอไว้อย่างรู้ใจ ขวดละสิบห้าบาทเท่านั้นไม่ได้ชาร์จเพิ่มมากมาย

ya9qnwipfgj5
1qp8kqes7hxd

ที่แคมป์แม่กระสาทางอุทยานฯ จัดทำลานกางเต็นท์อย่างดี มีศาลาสามหลังแบ่งกันใช้ ตรงกลางเป็นของเจ้าหน้าที่และลูกหาบ หลังซ้ายกับขวาแบ่งกันหลังละกลุ่ม ห้องน้ำก็มีอย่างดี ใช้เฉพาะสำหรับทำธุระขับถ่ายเท่านั้นนะครับ

xqpxnf0d8m6x
ivp644isdr97
o6zywkwu68bx

ส่วนเรื่องอาบน้ำก็ที่ลำห้วยแม่กระแสโอเพ่นแอร์กันเลยสดชื่นกว่าเยอะ

8aqboxmlugp3

เรื่องอาหารการกินโชคดีที่กรุ๊ปเรามีแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์ เลยอยู่ดีกินดีมาก ทุกอย่างตระเตรียมมาอย่างเพียบพร้อม กินดีอยู่ดียิ่งกว่าที่บ้านเสียอีก (ฮา...)

1iygx2ielfjm


qn8zsbjfvnbp


ที่แม่กระแสมีนกยูงอยู่สามตัว เจ้าตัวเมียค่อนข้างหวงถิ่นไปถ่ายรูปใกล้ๆ ระวังโดนวิ่งไล่ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนจิกได้เลือดมาแล้ว ส่วนนกกก (นกเงือก) ที่เชื่องๆ อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าตายไปแล้วครับ โดนไฟดูดที่สถานีควบคุมไฟป่า... เศร้าเลย

ll8r9vizsjc5


ช่วงหัวค่ำลูกหาบต้มน้ำเห็ดหลินจือป่าให้กิน เก็บกันสดๆ แถวนี้แหละ บอกว่ากินแล้วจะช่วยคลายปวดคลายเมื่อยได้ดี อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่าครับเพราะไอ้อาการปวดเมื่อยของเรานี่คงยากที่จะทำให้หายเป็นปลิดทิ้งในระยะเวลาคืนเดียว (ฮา...)

z5n2pzl1mple


x9ackyguz1dk


จากนั้นก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ใครใคร่นั่งจิบนั่งเม้าส์ก็ทำไป ใครใคร่นอนก็นอนกันไปตามแต่ไลฟ์สไตล์แต่ละคน


วันที่ 2 : แม่กระสา > แม่เรวา

วันนี้เป็นวันพักขา เดินรวมกันทั้งหมดแค่ราว 10 กม. และแทบไม่มีทางชัน จากแคมป์แรกแม่กระสาไปแคมป์สองแม่เรวา 4 กม. แล้วจากแคมป์แม่เรวาไปน้ำตกแม่เรวา 3 กม. กลับ 3 กม.

เหตุที่ให้พักขากันเพราะเมื่อวานเดินมาหนักตั้งสิบหกกิโล และยังเป็นการพักขาเพื่อเตรียมพบกับความหฤโหดขึ้นยอดในวันพรุ่งนี้ด้วย “ถ้าเดินสิบหกกิโลแล้วต่อขึ้นยอดเลยอีกวันพวกผมกลัวนักท่องเที่ยวจะพิกลพิการกันเปล่าๆ” เจ้าหน้าที่หัวเราะร่า

ยามเช้าที่แคมป์แม่กระสาอากาศดีมาก เราตื่นมาเก็บข้าวของ ทำอาหารกินข้าวและเตรียมพร้อมสำหรับมื้อกลางวัน สักประมาณเก้าโมงเศษๆ จึงขึ้นเป้เริ่มเดิน อ้อ... จุดนี้ใครจะฝากของไม่จำเป็นต้องใช้เอาไว้ก็ได้นะครับเพราะจะกลับมาค้างแรมกันคืนสุดท้าย

717bl2a7yeaq

เส้นทางวันนี้เกือบทั้งหมดเป็นป่าไผ่ พอจะเป็นเครื่องบอกได้ว่าเราอยู่ในระดับความสูงค่อนข้างคงที่

y8tw5pqxlsun
es25jf40cc6d
qbato51er8qi

สิบเอ็ดโมงนิดๆ เรามาถึงที่ซึ่งมีเศษซากเสาบ้านของชาวกะเหรี่ยงแต่เดิม ก่อนจะมีการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและอพยพชาวบ้านไปตั้งถิ่นฐานกันที่อื่น เห็นไหมล่ะว่าถ้าไม่มีระบบจัดการแบบนี้ ป่าแม่วงก์คงไม่สมบูรณ์มาถึงปัจจุบันแน่นอน

zlbkwf15dhwd

จากจุดนั้นเดินอีกแค่สิบนาทีก็ถึงแคมป์ที่สองริมห้วยแม่เรวา อุทยานฯ ถางพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์สบายๆ ให้บางส่วน มีห้องน้ำเพิงไม้ไผ่ให้ด้วย ใครจะปลดทุกข์ก็หยิบถังไปตักน้ำจากลำห้วยมาใช้งาน

kalquwzsog76
by674yywm2d0
ej92tzoye5qe

พักเหนื่อย กินข้าวกันสักประเดี๋ยว บ่ายโมงครึ่งค่อยพากันเดินตัวเปล่าไปน้ำตกแม่เรวา ระยะทาง 3 กม. เป็นทางเดินไปตามป่าไผ่ เดินง่ายแต่ทางป่าไผ่จะดูลายตานิดหน่อย ถ้าไม่ได้เดินตามเจ้าหน้าที่ก็ต้องอ่านทางดีๆ ระวังหลงกันด้วย

vbgnw17ou4lo

tphn8m1a2hrp


ไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงน้ำตกแม่เรวา ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ เล่นน้ำให้สนุกกันถ้วนหน้าได้เลย

8ykv2d24evju


bhpxencvtld5


เล่นน้ำจนพอใจ บ่ายสามโมงนิดๆ จึงทะยอยกันกลับ พอถึงแคมป์ก็ได้กินข้าวอร่อยๆ ของแม่ครัวเรา แถมชีวิตดีถึงขนาดมีถั่วเขียวต้มให้กินด้วย มันฟินแท้หนอ

z9cu5j48coc3


teoh58x3qitt


และเหมือนเดิมคือได้กินน้ำเห็ดหลินจือจากลูกหาบที่น่ารักของเราอีกแล้ว ช่วยทางกายได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ช่วยทางใจได้เยอะเหมือนกัน (ฮา...)

pdwwgw71gd7l


คืนนี้ทุกคนเข้านอนค่อนข้างไว เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินหนักๆ ทั้งวัน ผมเลือกผูกเปลริมน้ำนอนฟังเสียงลำธารขับกล่อมมีความสุขสุดๆเรก็เdส


วันที่ 3 : แม่เรวา > โมโกจู

ตื่นเช้าตรู่อย่างกระปรี้กระเปร่าเพราะนี่คือวันที่รอคอยของทุกคน กินข้าวเก็บข้าวของและพร้อมออกเดินตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า และเหมือนกับแคมป์แม่กระสาคือเราฝากของที่ไม่ต้องใช้ไว้ที่นี่ได้เช่นกัน

หากสองวันที่ผ่านมาถือว่าเราเดินทางราบ วันนี้จะเหมือนอีกโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะจากความสูง 300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เราจะต้องเดินถึงความสูง 1,900 เมตร ภายในระยะทางแค่ 8 กม. ดังนั้นทางเดินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นทางอัพ อัพ แอนด์ อัพ หากจะมีทางลงก็เพื่อที่จะได้เจอทางชันๆ ต่อไปข้างหน้าเท่านั้น

แต่เท่าไหร่ก็เท่ากัน ถึงตรงนี้ไม่มีคำว่าถอยแล้วล่ะ

bfr5vgjnm4uw
pynqmqszu5k4

หนึ่งในภารกิจเสริมของเจ้าหน้าที่นำทางพวกเราในครั้งนี้คือติดกล้องถ่ายภาพสัตว์ป่าบนทางขึ้นยอดดอยครับ นอกจากติดตั้งยังต้องเข้ามาเปลี่ยนแบตเตอรี่และเม็มโมรี่การ์ดทุกสิบห้าวันด้วยนะ ตัวนี้เป็นตัวที่ห้านับจากที่ขึ้นมาติดตั้งครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก่อน ใครบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไม่เห็นต้องทำอะไร ลองคิดใหม่ได้ครับ

jdgj62m5dicg
85pukbtp6j8j

เหงื่อหยดติ๋งๆ ไปกี่ร้อยกี่พันเม็ดแล้วก็ไม่รู้ สิบโมงผมมาถึงจุดที่เรียกว่าเชือกหนึ่ง คือจุดที่มีเชือกไว้คอยพยุงให้เดินขึ้นเป็นจุดแรก

6y49bfr960ah

จากเชือกหนึ่งต่อมาก็จะถึงคลองหนึ่ง มีลำธารเล็กๆ เกิดจากตาน้ำผุด เป็นจุดนั่งพักผ่อนกินข้าวชั้นดีเลยล่ะ สภาพป่าก็เริ่มเปลี่ยนไป ทึบขึ้น ต้นไม้ใหญ่เยอะขึ้น และยอดสูงขึ้น

b50pwyl2kj0e
zxpnotyr12l7

จากเชือกหนึ่ง ผ่านคลองหนึ่ง จากนั้นก็ถึงเชือกสองซึ่งชันกว่าเชือกหนึ่งอีกเยอะ ขาขึ้นขนาดนี้ไ ม่อยากจินตนาการถึงขาลงเลยทีเดียว

joak7oplx75l

ขึ้นมาเรื่อยๆ อีกสักพักใหญ่เราจะเจอช่วงที่เห็นยอดโมโกจูอยู่อีกไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย (ฮา...)

kxaua82cv6ay

อีกสักสิบห้านาทีเราจะมาถึงคลองสอง เป็นลำธารสุดท้ายก่อนขึ้นแคมป์ตีนดอย กรอกน้ำให้เต็มที่เท่าที่จะแบกไหว แต่ไม่ต้องเยอะเกินไปนะครับเพราะลูกหาบจะเป็นคนจัดการเอาขึ้นไปให้เราพอสมควรอยู่แล้ว

j16iaoss11sq

จากคลองสองถึงลานกางเต็นท์ตีนดอยบอกได้ว่าเป็นช่วงสั้นแต่ชันสุดยอดใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ต้องเรียกแรงฮึดหลายเฮือกอยู่

l66w5hwis5he
jc5j98ch198o

พอถึงแคมป์ก็จะเหลืออีกกิโลเดียวเท่านั้นคือยอดโมโกจู แต่ก่อนอื่นต้องจัดการเรื่องที่หลับที่นอนและที่ตั้งวง (กินข้าว) เต็นท์ก็ได้ เปลก็สบาย แล้วแต่ความชอบเลย

yxa4hghn8c57
vb8wwns9b3o9


ดูนาฬิกาบ่ายสามโมงสี่สิบ นั่นแหละคือเวลาออกเดินอีกครั้งเพื่อพิชิตยอดโมโกจูกับกิโลเมตรสุดท้าย

gtfvk09saipg


โผล่ขึ้นมาตรงนี้ ยอดโมโกจูอยู่ตรงหน้านั่นไง จะเชื่อหรือเปล่าว่าตั้งแต่เริ่มเดินจากที่ทำการฯ ตรงนี้เป็นครั้งแรกเองครับที่ได้เห็นวิวกว้างๆ เพราะตลอดทางที่ผ่านมาเราอยู่แต่ในป่า เลยต้องจัดภาพไปสักหน่อย

3cgwsfsbrhul


d93hhvh6bklr

มองย้อนจากตอนเดินขึ้นยอดโมโกจูกลับไปยอดแรก สวยไม่เบาเหมือนกันนะ

w5mjsxn0dlsd

และในที่สุด 16.13 น. เราก็ทำสำเร็จ ยอดโมโกจู หินเรือใบ 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บรรยากาศอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝน สมกับชื่อโมโกจูซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงแปลได้ประมาณว่า “เหมือนฝนจะตก” นั่นแหละ

แต่จะตกหรือไม่ตกก็ช่างมันปะไร ถึงตรงนี้ไม่มีอะไรสุขใจยิ่งกว่าแล้ว สูดหายใจยาวๆ ได้เลย

m8girvio6chx
lc1m8y08kbae

บนยอดโมโกจูมีพื้นที่ให้เราเดินตามแนวสันเขาพอประมาณ พวกเราแต่ละคนถ่ายรูปกันไป ชมวิวอิ่มเอมกับบรรยากาศกันไป ถึงฟ้าหม่นจะทำให้ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกหรือแสงยามเย็นระเบิด แต่เมื่อแลกกับการได้แสงเทพสวยๆ แบบนี้ ผมว่าคุ้มอยู่นะ

2z0mz3lw87e8
y9941io9oyxg
1meckd3geitt

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากบนยอดโมโกจูคือเมื่อมองรอบทิศทางแล้ว เราไม่เห็นบ้านเรือนผู้คน หรือสิ่งปลูกสร้างฝีมือมนุษย์แม้แต่นิดเดียว วน 360 องศา เห็นแต่ป่าสีเขียวสมบูรณ์ ห้วยขาแข้งอยู่ทางนั้น คลองลานอยู่ทางนี้ ทุ่งใหญ่นเรศวรอยู่ทางโน้น รวมกันแล้วเป็นป่าใหญ่ นั่นทำให้เข้าใจอย่างดีว่าทำไมผืนป่าตะวันตกถึงควรค่าแก่การหวงแหนรักษายิ่งนัก

34kts4qq5wdi

ผมถ่ายภาพสุดท้ายบนโมโกจูตอนหกโมงสิบห้า

ลงมาถึงแคมป์ก็มืดสนิทพอดี เพื่อนๆ ที่ลงมาก่อนแล้วตระเตรียมอาหารไว้รอเรียบร้อยเลยจัดไปเต็มที่อย่าให้เสีย

(ฮา...) พอได้เวลาอันสมควรจึงแยกย้ายเข้านอน แต่ละคนหลับตาไม่ทันไรก็สลบเหมือดแล้วล่ะ

kduujpha9au5
1137n5jh9tzo

วันที่ 4 : โมโกจู > แม่กระสา

ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง ตื่นมาเตรียมกล้องเตรียมของแป๊บเดียวแล้วส่องไฟฉายเดินขึ้นยอดทันที เพื่อนบางคนขึ้นไปดูดาวบนหินเรือใบก่อนแล้ว แต่ผมไม่ไปหินเรือใบหรอกครับ เพราะภาพอยากได้ที่คิดไว้ในหัวคือยอดโมโกจูแบบไกลๆ กลางหมู่ดาวและทางช้างเผือกมากกว่า

ไม่ถึงกับอลังการมาก (เพราะฝีมือและอุปกรณ์อำนวยแค่นี้) แต่ก็ยิ้มกริ่มแล้วครับ

yxoj6xzb68di
ci5bgsi31ig0

พอฟ้าเริ่มสว่างขึ้นผมค่อยเดินไปยอดโมโกจู สารภาพเลยว่าหลังจากฟ้าหม่นเย็นเมื่อวาน วันนี้ค่อนข้างโล่งใจที่ฟ้าเปิดกระจ่างอีกครั้ง และหลังถ่ายรูปโช้ะแช้ะได้สักพัก สิ่งที่ทุกคนฝันอยากเห็นก็มีเค้าความจริง หมอกขาวเริ่มไหลตามลมผ่านมาทางร่องเขาทุกทิศทุกทาง

dalxkv60g5f7
d7wtzbt9n6y6

ทีละน้อย ทีละน้อย หมอกไหลทีละน้อยมารวมกันเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็เปลี่ยนโมโกจูให้กลายเป็นสวรรค์ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรกับภาพที่เห็นตรงหน้า

4ri7wa8y6kx4
3gwamwll3rw6
5zwktff3efkd
w1ajuspuaxry

เสพสุขบนสวรรค์ถึงราวแปดโมงค่อยเดินลงจากยอด กลับมาเก็บแคมป์เดินลงข้างล่าง ให้ความประทับใจชั่วครู่ที่ผ่านมาเป็นความทรงจำ ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ก็งดงามเหลือเกิน

ขาลงแดดดีร้อนแรงแผดเผาจนนึกขอบคุณท้องฟ้าในใจว่าหากเมื่อวานแดดแรงฟ้าไม่ครึ้ม ขาขึ้นคงมีตายกันไปข้าง

sxf5s763694m
ckvme62k1grz

เดินลงยิงยาวๆ และเหมือนกับทุกเขาคือขาลงไม่เหนื่อยแต่เจ็บ ยิ่งชันเท่าไหร่หัวเข่าก็แปล๊บๆ มากขึ้นเท่านั้น แต่ละคนก็จะได้ท่าทางเดินใหม่ๆ ประจำตัว (ฮา...) จนใกล้บ่ายสองโมงจึงถึงแคมป์แม่เรวา พักสักประเดี๋ยวค่อยเดินต่อสู่แคมป์แม่กระสาซึ่งจะเป็นที่พักแรมของเราในวันนี้

5bnve6q1wtqc
p1wr3aiset8w

บ่ายสามโมงครึ่งถึงแม่กระสา เย้... จัดไปหนึ่งดอก (ฮา...)

hlyyoyuc7o6i

เจ้าถิ่นบินมาทักทาย ไม่มีนกกกแต่ได้เจอนกแก๊ก (นกเงือกพันธุ์เล็กที่สุดของบ้านเรา) ก็ยังถือว่าดีแฮะ

bssvp2ts5e3e

ที่เหลือเป็นการพักผ่อนสบายๆ ครับ กินข้าวกินปลา เล่นน้ำแช่น้ำ มีความสุขกับธรรมชาติล้อมรอบกันไป


วันที่ 5 : แม่กระสา > ที่ทำการฯ

วันสุดท้ายของการเดินทางกับอีก 16 กม. ที่แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ตอนแรกตามแผนที่ตกลงกันไว้คือเจ้าหน้าที่บอกว่าเราควรออกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจะได้เลี่ยงความร้อนจากแดดเที่ยง แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพราะมีวิทยุแจ้งมาว่าเจอรอยเท้ากับขี้ช้างสดๆ ตรงจุดระหว่างทางเดินกลับ หากออกเช้าไปอาจมีโอกาสเจอกับพวกมันซึ่งหน้า เลยต้องเลี่ยงออกตอนเก้าโมงแทน

ผมออกจากแคมป์เป็นกลุ่มสุดท้าย เดินตามถนนดินแดงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ แซงคนอื่นบ้าง โดนคนอื่นแซงบ้าง ถอนหายใจและหัวเราะให้กันตามประสา

iiukldl8snex
l1smk25k1gw2
pedqydbkax5n

และนี่ร่องรอยของพี่ใหญ่เจ้าถิ่นที่ทำให้เราต้องออกเดินสายสินะ เจอแค่รอยเท้าก็ดีแล้ว เพราะถ้าเจอตัวตอนนี้เห็นทีจะไม่มีกำลังพอวิ่งหนีทัน (ฮา...)

dccflb9pn8yr

สุดท้ายก่อนบ่ายสองโมงเล็กน้อยก็กลับมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งนั่นคงถือเป็นจุดสิ้นสุดของทริปพิชิตโมโกจูครั้งนี้

h8tl7k7ijyr3


8zu7zjexbgio


ผ่านการเดินเท้ายาวนาน เก็บความทรงจำไว้ในภาพถ่าย ทำให้ผมรู้ซึ้งแล้วว่านี่คือป่าที่พวกเราต้องช่วยกันรักษาไว้มากเพียงใด เป็นป่าที่ล้อมรอบด้วยป่า ป่า และป่า เป็นป่าที่พบเห็นร่องรอยของสัตว์ได้ตลอดทางทั้งรอยเท้าและมูลของพวกมัน

สมบูรณ์กว่าผืนป่าตะวันตกในประเทศไทย คงหาได้ยากแล้วล่ะ

และแน่นอนว่ายากอีกหนึ่งอย่างคือไม่ใช่เรื่องการเดินแต่เป็นการจอง ปีนี้ปิดป่าไปเรียบร้อย แต่ก็ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเปิดป่าครั้งต่อไป และถ้าใครโชคดีจองได้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเสียล่ะครับ

ป่าแม่วงก์ ป่าตะวันตก รู้ซึ้งถึงคำว่าป่าสมบูรณ์เป็นอย่างไร ที่นี่แหละครับที่จะให้คำตอบ


รู้สักนิดก่อนพิชิตโมโกจู


  • การจองทริปในแต่ละปี อุทยานฯ รับจองเฉพาะทางอีเมล์เท่านั้น กฎระเบียบต้องรอประกาศในแต่ละปี ช่วงที่เปิดให้จองคือเดือนตุลาคม
  • ค่าใช้จ่ายในฤดูกาลท่องเที่ยวปี 60-61 ที่ผ่านมา อุทยานฯ คิด 13,500 บาท ต่อกลุ่ม เจ้าหน้าที่นำทางสองคน
  • ลูกหาบคนละ 550 บาทต่อวัน ทริปห้าวันรวมแล้ว 2,750 บาท แบกน้ำหนักชั่งขาเข้าคนละ 20 กิโลกรัม หากต้องแบกเกินจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่เมื่อเข้าไปแล้วระหว่างทางอาจแบกมากขึ้นนิดหน่อยก็หยวนๆ กันไป
  • นอกจากแบกสัมภาระ ลูกหาบที่โมโกจูจะช่วยเราจัดการเรื่องน้ำ หุงข้าว ก่อไฟ และอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างด้วย
  • ทุกแคมป์ทุกคืน นอนเปลก็ได้ นอนเต็นท์ก็ดี ตามความถนัดของแต่ละคนได้เลย
  • เราสามารถฝากของไว้เพื่อลดน้ำหนักได้ทั้งที่แคมป์แม่กระสา และแคมป์แม่เรวา แล้วค่อยเก็บรวบรวมตอนขากลับทีเดียว เพราะไปทางไหนเรากลับทางนั้นอยู่แล้ว
  • แมลงที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือเห็บและคุ่น กลุ่มผมไม่ได้โดนเยอะแต่ก็มีโดนอยู่บ้างรวมทั้งผมด้วย ใครไม่แพ้แป๊บเดียวก็หาย ส่วนใครแพ้แมลงเหล่านี้ควรเตรียมยาแก้แพ้แก้คันไว้ด้วย และแต่งตัวให้มิดชิด
  • แหล่งน้ำมีตลอดทุกวัน สิ่งจำเป็นคือควรมีเครื่องกรอกน้ำพกพาไปด้วย อย่างน้อยก็กรุ๊ปละหนึ่งอัน
  • ที่โมโกจูยังมีลำธารสำหรับอาบได้ทุกวัน ยกเว้นเพียงวันที่สามที่นอนบนแคมป์ตีนดอยเท่านั้น
  • บนยอดโมโกจูดูได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก แนะนำให้ขึ้นยอดทั้งสองช่วงเวลา กว่าจะไปถึงที่นั่นมันลำบากและจองยาก ควรใช้เวลาให้คุ้มค่า
  • สัญญาณโทรศัพท์มีเฉพาะ AIS ตรงมอขี้แตกเป็นจุดสุดท้ายในการเดินวันแรก (เพิ่งเริ่มเดินมาแป๊บเดียวล่ะนะ) และจากนั้นจะมีสัญญาณเป็นระยะอีกครั้งช่วงเดินขึ้นก่อนถึงคลองหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ที่เหลือบอดสนิทตัดขาดโลกภายนอก


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง

http://www.facebook.com/alifeatraveller


ความคิดเห็น