จองได้ยังไง จองได้เมื่อไหร่ ? สารพันคำถามประเดประดังเมื่อผมกำลังจะไปโมโกจู มหากาพย์ทริปเดินป่าแห่งสยามประเทศที่จองยากเย็นแสนเข็ญ และขอตอบตามตรงว่าลำพังผมน่ะจองไม่ได้หรอกครับ แค่บังเอิญเพื่อนกลุ่มที่จองได้เกิดมีสมาชิกถอนตัว ผมเลยบุญหล่นทับได้เสียบแทน บทจะโชคดีก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ
อธิบายสักนิดสำหรับใครไม่ใช่สายป่า ที่ว่าจองยากสุดในประเทศเพราะเส้นทางเดินป่าโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร เปิดให้ประชาชนทั่วไปเที่ยวแค่ปีละสี่เดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ โดยเป็นทริปห้าวันสี่คืน ตั้งแต่วันเสาร์ถึงพุธของแต่ละสัปดาห์ แถมจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแค่สัปดาห์ละสองกลุ่ม กลุ่มละไม่เกินสิบสองคน เท่ากับว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวโมโกจู จะมีผู้โชคดีได้เข้าไปสัมผัสป่าแห่งนี้ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นกว่ากลุ่มไหนจะจองได้
เส้นทางห้าวันสี่คืน ระยะทางไป 29 กิโลเมตร กลับทางเดิม 29 กิโลเมตร บวกอีกนิดหน่อยสำหรับการเดินไปเที่ยวน้ำตก รวมแล้วเดินมากกว่า 60 กิโลเมตร นับเป็นเส้นทางเดินป่าที่ไกลที่สุดและใช้เวลามากที่สุดซึ่งมีหน่วยงานรัฐเป็นผู้ดูแลและเปิดให้เที่ยวอย่างเป็นทางการ
สำหรับกำหนดการเดินหน้าตาแบบนี้ครับ
วันแรก ที่ทำการฯ >>> 16 กม. (ทางราบส่วนใหญ่ ถนนดินแดง) >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่สอง แคมป์แม่กระสา >>> 4 กม. (ป่าไผ่ ทางราบส่วนใหญ่) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 3 กม. ไปเที่ยวน้ำตกแม่เรวาแล้วกลับแคมป์
วันที่สาม แคมป์แม่เรวา >>> 8 กม. (ขึ้นเขาชันสิบกะโหลก) >>> แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา
วันที่สี่ แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา >>> 8 กม. (ลงเขาชันเข่าพัง) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 4 กม. >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่ห้า แคมป์แม่กระสา >>> 16 กม. (ถนนดินแดง) >>> ที่ทำการฯ
ทริปนี้เพื่อความสะดวกกลุ่มเราเลือกเดินทางด้วยรถตู้เช่าเหมาคัน ออกจาก กทม. คืนวันศุกร์ และกลับถึง กทม. ค่ำวันพุธ วาเลนไทน์ 14 กุมภา เป็นช่วงที่ดีใช่ไหมล่ะในการพิชิตยอดเขาสูง 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้
วันที่ 1 : ที่ทำการฯ > แม่กระสา
เราเดินทางด้วยรถตู้ออกจาก กทม. สี่ทุ่มเศษ ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ตีสามกว่าๆ หาที่หลับที่นอนภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบง่ายๆ พอฟ้าสว่างก็ตื่นโดยสัญชาตญาณถึงจะยังนอนกันไม่เต็มตาเท่าไหร่ บรรยากาศตอนเช้าในอุทยานฯ ดีเชียวครับ สดชื่นมาก ถ้าว่างๆ มานอนเล่นสักคืนสองคืนคงเพลินดี
จัดแจงเตรียมข้าวของ กินข้าวร้านสวัสดิการ ก่อนจะเริ่มเดินเราต้องลงทะเบียน เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ และอีกขั้นตอนสำคัญคือฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางการเดิน กฎระเบียบต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่อุทยานฯ มีให้ และที่เราต้องหากันเอาเอง พูดคุยแบบฮาๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
“หัวหน้าสั่งให้ผมบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบนะ โอเคงั้นผมจะบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบ ถือว่าบอกแล้วนะ” เจ้าหน้าที่ยิ้ม เสร็จสรรพก็ฉายช็อตเด็ดๆ ของโมโกจูที่มีแต่ภาพคนถ่ายบนหินเรือใบ แล้วบอกต่อว่าถ้าได้รูปสวยๆ ส่งมาให้อุทยานฯ ใช้โปรโมตบ้างนะ (ฮา...)
รับทราบสิ่งควรรู้ทุกอย่างแล้วก็ออกมาถ่ายกับป้ายด้านหน้าเป็นที่ระลึกสักหน่อย
แน่นอนว่าเป็นภาพหล่อๆ สวยๆ ภาพสุดท้ายของทริปนี้
ทั้งสองกลุ่มเดินไล่ไปพร้อมกัน มีเจ้าหน้าที่ดูแลรวมกันสี่คน
เฉพาะกลุ่มเรามีลูกหาบสามคน แบกคนละ20 กิโลกรัม
แต่เพราะแม่ครัวเตรียมของกินกันหรูหรานิดหน่อยน้ำหนักเลยทะลัก ก็เป็นหน้าที่ของผู้ชายล่ะครับต้องเฉลี่ยกันมาทำให้น้ำหนักแบกหน่วงหน่อยๆ
มองนาฬิกาสิบโมงห้านาทีได้เวลาออกตัว
จุดเริ่มต้นพิชิตโมโกจูอยู่ตรงป้ายอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ใหญ่ๆ ใกล้กับที่ทำการฯ
นั่นแหละ พร้อมแล้วลุยโลด
ทางเดินจากที่ทำการฯ ไปแคมป์แรกแม่กระสา เป็นการเดินบนถนนลูกรังดินแดงราว 16 กม. เป็นถนนที่เป็นถนนจริงๆ เจ้าหน้าที่ยังใช้โฟร์วีลและมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นปกติเมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจ
จากที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังตั้งแต่ตอนแรก ปีนี้อุทยานฯ มีแผนให้นั่งรถเข้าไปถึงแม่กระสาเลยด้วยซ้ำเพื่อย่นระยะการเดินและจำนวนวันในทริป แต่ช่วงปลายฝนก่อนเปิดป่าไม่นานปรากฏว่าน้ำซัดถนนพัง แผนเลยต้องพับไว้ก่อน แต่ปีต่อไปอาจหยิบเรื่องนั่งรถเข้าไปแม่กระสามาว่ากันใหม่
เดินทางราบสักสองกิโลก็จะถึงเนินชันเนินแรกชื่อว่า “มอขี้แตก” ระดับความชันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะเป็นเนินแรกเหนื่อยแรกกับทางยาวๆ หนึ่งกิโล มันก็เลยดูโหดร้ายนิดหน่อย (ฮา...)
หลังพ้นเนินแรกมาอย่างสะบักสะบอม
จากนั้นทางค่อนจะราบ มีเนินสลับอยู่บ้างแต่ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆ ตากแดดเหนื่อยก็พัก
มีธารน้ำห้วยมะนาวที่เราต้องข้ามไปข้ามมาหลายรอบ ใครมีเครื่องกรองน้ำพกพาก็ค่อนข้างสบาย
เติมน้ำได้ตลอดในช่วงนี้
เดินมาเรื่อยๆ กลุ่มเริ่มแตก ใครเดินเร็วเดินไป เดินช้าก็รั้งท้าย ผมไม่เร่งมากอยู่กลางๆ บ่ายสองโมงครึ่งก็มาถึงตรงนี้ หลักกิโลที่ 11/29 ตัวเลขแรกคือเราเดินมาแล้ว 11 กม. ตัวเลขหลังคือระยะทางถึงยอดโมโกจู แต่วันนี้เราจะเดินกัน 16 กม. เพราะฉะนั้นเหลือ 5 กม. สุดท้ายแล้ว
หลังเดินกันมา 11 กม. เหลืออีกแค่ห้าก็ดูน่าจะนิดเดียวใช่ไหมครับ แต่โมโกจูสำหรับผมคือป่าหลอกลวงโดยแท้ ที่บอกว่าเหลืออีกนิดเหลืออีกหน่อย เดินไปเถอะทำไมไม่ถึงสักที (วะ)
ยิ่งช่วงท้ายๆ ได้ยินเสียงน้ำแสดงว่าใกล้ถึงแม่กระสาเต็มทน แต่ไหงเดินผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของแคมป์สักที เล่นเอาสุดท้ายหมดแรงทิ้งตัวนั่งพักก่อนดีกว่าจะถึงกี่โมงก็ช่างหัวมัน (ฮา...)
ในที่สุด 16.10 น. สิ่งที่เห็นค่อยทำให้ยิ้มออก แคมป์แม่กระสาอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเป๊ะคือสิ่งนี้... โค้ก เป๊ปซี่ จัดกันไปให้หายเหนื่อยสิครับจะรออะไร เจ้าหน้าที่แช่ตู้เย็นรอไว้อย่างรู้ใจ ขวดละสิบห้าบาทเท่านั้นไม่ได้ชาร์จเพิ่มมากมาย
ที่แคมป์แม่กระสาทางอุทยานฯ จัดทำลานกางเต็นท์อย่างดี
มีศาลาสามหลังแบ่งกันใช้ ตรงกลางเป็นของเจ้าหน้าที่และลูกหาบ
หลังซ้ายกับขวาแบ่งกันหลังละกลุ่ม ห้องน้ำก็มีอย่างดี
ใช้เฉพาะสำหรับทำธุระขับถ่ายเท่านั้นนะครับ
ส่วนเรื่องอาบน้ำก็ที่ลำห้วยแม่กระแสโอเพ่นแอร์กันเลยสดชื่นกว่าเยอะ
เรื่องอาหารการกินโชคดีที่กรุ๊ปเรามีแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์
เลยอยู่ดีกินดีมาก ทุกอย่างตระเตรียมมาอย่างเพียบพร้อม
กินดีอยู่ดียิ่งกว่าที่บ้านเสียอีก (ฮา...)
ที่แม่กระแสมีนกยูงอยู่สามตัว เจ้าตัวเมียค่อนข้างหวงถิ่นไปถ่ายรูปใกล้ๆ
ระวังโดนวิ่งไล่ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนจิกได้เลือดมาแล้ว ส่วนนกกก (นกเงือก)
ที่เชื่องๆ อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าตายไปแล้วครับ โดนไฟดูดที่สถานีควบคุมไฟป่า...
เศร้าเลย
ช่วงหัวค่ำลูกหาบต้มน้ำเห็ดหลินจือป่าให้กิน
เก็บกันสดๆ แถวนี้แหละ บอกว่ากินแล้วจะช่วยคลายปวดคลายเมื่อยได้ดี อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่าครับเพราะไอ้อาการปวดเมื่อยของเรานี่คงยากที่จะทำให้หายเป็นปลิดทิ้งในระยะเวลาคืนเดียว
(ฮา...)
จากนั้นก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย
ใครใคร่นั่งจิบนั่งเม้าส์ก็ทำไป ใครใคร่นอนก็นอนกันไปตามแต่ไลฟ์สไตล์แต่ละคน
วันที่ 2 : แม่กระสา > แม่เรวา
วันนี้เป็นวันพักขา เดินรวมกันทั้งหมดแค่ราว 10 กม. และแทบไม่มีทางชัน จากแคมป์แรกแม่กระสาไปแคมป์สองแม่เรวา 4 กม. แล้วจากแคมป์แม่เรวาไปน้ำตกแม่เรวา 3 กม. กลับ 3 กม.
เหตุที่ให้พักขากันเพราะเมื่อวานเดินมาหนักตั้งสิบหกกิโล และยังเป็นการพักขาเพื่อเตรียมพบกับความหฤโหดขึ้นยอดในวันพรุ่งนี้ด้วย “ถ้าเดินสิบหกกิโลแล้วต่อขึ้นยอดเลยอีกวันพวกผมกลัวนักท่องเที่ยวจะพิกลพิการกันเปล่าๆ” เจ้าหน้าที่หัวเราะร่า
ยามเช้าที่แคมป์แม่กระสาอากาศดีมาก เราตื่นมาเก็บข้าวของ ทำอาหารกินข้าวและเตรียมพร้อมสำหรับมื้อกลางวัน สักประมาณเก้าโมงเศษๆ จึงขึ้นเป้เริ่มเดิน อ้อ... จุดนี้ใครจะฝากของไม่จำเป็นต้องใช้เอาไว้ก็ได้นะครับเพราะจะกลับมาค้างแรมกันคืนสุดท้าย
เส้นทางวันนี้เกือบทั้งหมดเป็นป่าไผ่ พอจะเป็นเครื่องบอกได้ว่าเราอยู่ในระดับความสูงค่อนข้างคงที่
สิบเอ็ดโมงนิดๆ เรามาถึงที่ซึ่งมีเศษซากเสาบ้านของชาวกะเหรี่ยงแต่เดิม
ก่อนจะมีการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและอพยพชาวบ้านไปตั้งถิ่นฐานกันที่อื่น
เห็นไหมล่ะว่าถ้าไม่มีระบบจัดการแบบนี้ ป่าแม่วงก์คงไม่สมบูรณ์มาถึงปัจจุบันแน่นอน
จากจุดนั้นเดินอีกแค่สิบนาทีก็ถึงแคมป์ที่สองริมห้วยแม่เรวา
อุทยานฯ ถางพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์สบายๆ ให้บางส่วน มีห้องน้ำเพิงไม้ไผ่ให้ด้วย
ใครจะปลดทุกข์ก็หยิบถังไปตักน้ำจากลำห้วยมาใช้งาน
พักเหนื่อย กินข้าวกันสักประเดี๋ยว บ่ายโมงครึ่งค่อยพากันเดินตัวเปล่าไปน้ำตกแม่เรวา ระยะทาง 3 กม. เป็นทางเดินไปตามป่าไผ่ เดินง่ายแต่ทางป่าไผ่จะดูลายตานิดหน่อย ถ้าไม่ได้เดินตามเจ้าหน้าที่ก็ต้องอ่านทางดีๆ ระวังหลงกันด้วย
ไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงน้ำตกแม่เรวา ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ
เล่นน้ำให้สนุกกันถ้วนหน้าได้เลย
เล่นน้ำจนพอใจ บ่ายสามโมงนิดๆ จึงทะยอยกันกลับ
พอถึงแคมป์ก็ได้กินข้าวอร่อยๆ ของแม่ครัวเรา แถมชีวิตดีถึงขนาดมีถั่วเขียวต้มให้กินด้วย
มันฟินแท้หนอ
และเหมือนเดิมคือได้กินน้ำเห็ดหลินจือจากลูกหาบที่น่ารักของเราอีกแล้ว
ช่วยทางกายได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ช่วยทางใจได้เยอะเหมือนกัน (ฮา...)
คืนนี้ทุกคนเข้านอนค่อนข้างไว เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินหนักๆ ทั้งวัน ผมเลือกผูกเปลริมน้ำนอนฟังเสียงลำธารขับกล่อมมีความสุขสุดๆเรก็เdส
วันที่ 3 : แม่เรวา > โมโกจู
ตื่นเช้าตรู่อย่างกระปรี้กระเปร่าเพราะนี่คือวันที่รอคอยของทุกคน กินข้าวเก็บข้าวของและพร้อมออกเดินตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า และเหมือนกับแคมป์แม่กระสาคือเราฝากของที่ไม่ต้องใช้ไว้ที่นี่ได้เช่นกัน
หากสองวันที่ผ่านมาถือว่าเราเดินทางราบ วันนี้จะเหมือนอีกโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะจากความสูง 300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เราจะต้องเดินถึงความสูง 1,900 เมตร ภายในระยะทางแค่ 8 กม. ดังนั้นทางเดินกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นทางอัพ อัพ แอนด์ อัพ หากจะมีทางลงก็เพื่อที่จะได้เจอทางชันๆ ต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
แต่เท่าไหร่ก็เท่ากัน ถึงตรงนี้ไม่มีคำว่าถอยแล้วล่ะ
หนึ่งในภารกิจเสริมของเจ้าหน้าที่นำทางพวกเราในครั้งนี้คือติดกล้องถ่ายภาพสัตว์ป่าบนทางขึ้นยอดดอยครับ
นอกจากติดตั้งยังต้องเข้ามาเปลี่ยนแบตเตอรี่และเม็มโมรี่การ์ดทุกสิบห้าวันด้วยนะ ตัวนี้เป็นตัวที่ห้านับจากที่ขึ้นมาติดตั้งครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก่อน
ใครบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไม่เห็นต้องทำอะไร ลองคิดใหม่ได้ครับ
เหงื่อหยดติ๋งๆ ไปกี่ร้อยกี่พันเม็ดแล้วก็ไม่รู้
สิบโมงผมมาถึงจุดที่เรียกว่าเชือกหนึ่ง คือจุดที่มีเชือกไว้คอยพยุงให้เดินขึ้นเป็นจุดแรก
จากเชือกหนึ่งต่อมาก็จะถึงคลองหนึ่ง มีลำธารเล็กๆ
เกิดจากตาน้ำผุด เป็นจุดนั่งพักผ่อนกินข้าวชั้นดีเลยล่ะ สภาพป่าก็เริ่มเปลี่ยนไป
ทึบขึ้น ต้นไม้ใหญ่เยอะขึ้น และยอดสูงขึ้น
จากเชือกหนึ่ง ผ่านคลองหนึ่ง จากนั้นก็ถึงเชือกสองซึ่งชันกว่าเชือกหนึ่งอีกเยอะ
ขาขึ้นขนาดนี้ไ
ม่อยากจินตนาการถึงขาลงเลยทีเดียว
ขึ้นมาเรื่อยๆ
อีกสักพักใหญ่เราจะเจอช่วงที่เห็นยอดโมโกจูอยู่อีกไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย
(ฮา...)
อีกสักสิบห้านาทีเราจะมาถึงคลองสอง
เป็นลำธารสุดท้ายก่อนขึ้นแคมป์ตีนดอย กรอกน้ำให้เต็มที่เท่าที่จะแบกไหว แต่ไม่ต้องเยอะเกินไปนะครับเพราะลูกหาบจะเป็นคนจัดการเอาขึ้นไปให้เราพอสมควรอยู่แล้ว
จากคลองสองถึงลานกางเต็นท์ตีนดอยบอกได้ว่าเป็นช่วงสั้นแต่ชันสุดยอดใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ต้องเรียกแรงฮึดหลายเฮือกอยู่
พอถึงแคมป์ก็จะเหลืออีกกิโลเดียวเท่านั้นคือยอดโมโกจู
แต่ก่อนอื่นต้องจัดการเรื่องที่หลับที่นอนและที่ตั้งวง (กินข้าว) เต็นท์ก็ได้
เปลก็สบาย แล้วแต่ความชอบเลย
ดูนาฬิกาบ่ายสามโมงสี่สิบ
นั่นแหละคือเวลาออกเดินอีกครั้งเพื่อพิชิตยอดโมโกจูกับกิโลเมตรสุดท้าย
โผล่ขึ้นมาตรงนี้ ยอดโมโกจูอยู่ตรงหน้านั่นไง
จะเชื่อหรือเปล่าว่าตั้งแต่เริ่มเดินจากที่ทำการฯ
ตรงนี้เป็นครั้งแรกเองครับที่ได้เห็นวิวกว้างๆ เพราะตลอดทางที่ผ่านมาเราอยู่แต่ในป่า
เลยต้องจัดภาพไปสักหน่อย
มองย้อนจากตอนเดินขึ้นยอดโมโกจูกลับไปยอดแรก
สวยไม่เบาเหมือนกันนะ
และในที่สุด 16.13 น. เราก็ทำสำเร็จ ยอดโมโกจู หินเรือใบ 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล บรรยากาศอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝน สมกับชื่อโมโกจูซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยงแปลได้ประมาณว่า “เหมือนฝนจะตก” นั่นแหละ
แต่จะตกหรือไม่ตกก็ช่างมันปะไร ถึงตรงนี้ไม่มีอะไรสุขใจยิ่งกว่าแล้ว สูดหายใจยาวๆ ได้เลย
บนยอดโมโกจูมีพื้นที่ให้เราเดินตามแนวสันเขาพอประมาณ
พวกเราแต่ละคนถ่ายรูปกันไป ชมวิวอิ่มเอมกับบรรยากาศกันไป ถึงฟ้าหม่นจะทำให้ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกหรือแสงยามเย็นระเบิด
แต่เมื่อแลกกับการได้แสงเทพสวยๆ แบบนี้ ผมว่าคุ้มอยู่นะ
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากบนยอดโมโกจูคือเมื่อมองรอบทิศทางแล้ว เราไม่เห็นบ้านเรือนผู้คน หรือสิ่งปลูกสร้างฝีมือมนุษย์แม้แต่นิดเดียว วน 360 องศา เห็นแต่ป่าสีเขียวสมบูรณ์ ห้วยขาแข้งอยู่ทางนั้น คลองลานอยู่ทางนี้ ทุ่งใหญ่นเรศวรอยู่ทางโน้น รวมกันแล้วเป็นป่าใหญ่ นั่นทำให้เข้าใจอย่างดีว่าทำไมผืนป่าตะวันตกถึงควรค่าแก่การหวงแหนรักษายิ่งนัก
ผมถ่ายภาพสุดท้ายบนโมโกจูตอนหกโมงสิบห้า
ลงมาถึงแคมป์ก็มืดสนิทพอดี เพื่อนๆ ที่ลงมาก่อนแล้วตระเตรียมอาหารไว้รอเรียบร้อยเลยจัดไปเต็มที่อย่าให้เสีย
(ฮา...) พอได้เวลาอันสมควรจึงแยกย้ายเข้านอน แต่ละคนหลับตาไม่ทันไรก็สลบเหมือดแล้วล่ะ
วันที่ 4 : โมโกจู > แม่กระสา
ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง ตื่นมาเตรียมกล้องเตรียมของแป๊บเดียวแล้วส่องไฟฉายเดินขึ้นยอดทันที เพื่อนบางคนขึ้นไปดูดาวบนหินเรือใบก่อนแล้ว แต่ผมไม่ไปหินเรือใบหรอกครับ เพราะภาพอยากได้ที่คิดไว้ในหัวคือยอดโมโกจูแบบไกลๆ กลางหมู่ดาวและทางช้างเผือกมากกว่า
ไม่ถึงกับอลังการมาก (เพราะฝีมือและอุปกรณ์อำนวยแค่นี้) แต่ก็ยิ้มกริ่มแล้วครับ
พอฟ้าเริ่มสว่างขึ้นผมค่อยเดินไปยอดโมโกจู
สารภาพเลยว่าหลังจากฟ้าหม่นเย็นเมื่อวาน วันนี้ค่อนข้างโล่งใจที่ฟ้าเปิดกระจ่างอีกครั้ง
และหลังถ่ายรูปโช้ะแช้ะได้สักพัก สิ่งที่ทุกคนฝันอยากเห็นก็มีเค้าความจริง หมอกขาวเริ่มไหลตามลมผ่านมาทางร่องเขาทุกทิศทุกทาง
ทีละน้อย ทีละน้อย หมอกไหลทีละน้อยมารวมกันเรื่อยๆ
กระทั่งในที่สุดก็เปลี่ยนโมโกจูให้กลายเป็นสวรรค์ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เสพสุขบนสวรรค์ถึงราวแปดโมงค่อยเดินลงจากยอด กลับมาเก็บแคมป์เดินลงข้างล่าง ให้ความประทับใจชั่วครู่ที่ผ่านมาเป็นความทรงจำ ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่ก็งดงามเหลือเกิน
ขาลงแดดดีร้อนแรงแผดเผาจนนึกขอบคุณท้องฟ้าในใจว่าหากเมื่อวานแดดแรงฟ้าไม่ครึ้ม ขาขึ้นคงมีตายกันไปข้าง
เดินลงยิงยาวๆ และเหมือนกับทุกเขาคือขาลงไม่เหนื่อยแต่เจ็บ
ยิ่งชันเท่าไหร่หัวเข่าก็แปล๊บๆ มากขึ้นเท่านั้น แต่ละคนก็จะได้ท่าทางเดินใหม่ๆ
ประจำตัว (ฮา...) จนใกล้บ่ายสองโมงจึงถึงแคมป์แม่เรวา พักสักประเดี๋ยวค่อยเดินต่อสู่แคมป์แม่กระสาซึ่งจะเป็นที่พักแรมของเราในวันนี้
บ่ายสามโมงครึ่งถึงแม่กระสา เย้... จัดไปหนึ่งดอก
(ฮา...)
เจ้าถิ่นบินมาทักทาย ไม่มีนกกกแต่ได้เจอนกแก๊ก
(นกเงือกพันธุ์เล็กที่สุดของบ้านเรา) ก็ยังถือว่าดีแฮะ
ที่เหลือเป็นการพักผ่อนสบายๆ ครับ
กินข้าวกินปลา เล่นน้ำแช่น้ำ มีความสุขกับธรรมชาติล้อมรอบกันไป
วันที่ 5 : แม่กระสา > ที่ทำการฯ
วันสุดท้ายของการเดินทางกับอีก 16 กม. ที่แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ตอนแรกตามแผนที่ตกลงกันไว้คือเจ้าหน้าที่บอกว่าเราควรออกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจะได้เลี่ยงความร้อนจากแดดเที่ยง แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพราะมีวิทยุแจ้งมาว่าเจอรอยเท้ากับขี้ช้างสดๆ ตรงจุดระหว่างทางเดินกลับ หากออกเช้าไปอาจมีโอกาสเจอกับพวกมันซึ่งหน้า เลยต้องเลี่ยงออกตอนเก้าโมงแทน
ผมออกจากแคมป์เป็นกลุ่มสุดท้าย เดินตามถนนดินแดงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ แซงคนอื่นบ้าง โดนคนอื่นแซงบ้าง ถอนหายใจและหัวเราะให้กันตามประสา
และนี่ร่องรอยของพี่ใหญ่เจ้าถิ่นที่ทำให้เราต้องออกเดินสายสินะ
เจอแค่รอยเท้าก็ดีแล้ว เพราะถ้าเจอตัวตอนนี้เห็นทีจะไม่มีกำลังพอวิ่งหนีทัน
(ฮา...)
สุดท้ายก่อนบ่ายสองโมงเล็กน้อยก็กลับมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ซึ่งนั่นคงถือเป็นจุดสิ้นสุดของทริปพิชิตโมโกจูครั้งนี้
ผ่านการเดินเท้ายาวนาน เก็บความทรงจำไว้ในภาพถ่าย ทำให้ผมรู้ซึ้งแล้วว่านี่คือป่าที่พวกเราต้องช่วยกันรักษาไว้มากเพียงใด เป็นป่าที่ล้อมรอบด้วยป่า ป่า และป่า เป็นป่าที่พบเห็นร่องรอยของสัตว์ได้ตลอดทางทั้งรอยเท้าและมูลของพวกมัน
สมบูรณ์กว่าผืนป่าตะวันตกในประเทศไทย คงหาได้ยากแล้วล่ะ
และแน่นอนว่ายากอีกหนึ่งอย่างคือไม่ใช่เรื่องการเดินแต่เป็นการจอง ปีนี้ปิดป่าไปเรียบร้อย แต่ก็ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเปิดป่าครั้งต่อไป และถ้าใครโชคดีจองได้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเสียล่ะครับ
ป่าแม่วงก์ ป่าตะวันตก รู้ซึ้งถึงคำว่าป่าสมบูรณ์เป็นอย่างไร ที่นี่แหละครับที่จะให้คำตอบ
รู้สักนิดก่อนพิชิตโมโกจู
- การจองทริปในแต่ละปี อุทยานฯ รับจองเฉพาะทางอีเมล์เท่านั้น กฎระเบียบต้องรอประกาศในแต่ละปี ช่วงที่เปิดให้จองคือเดือนตุลาคม
- ค่าใช้จ่ายในฤดูกาลท่องเที่ยวปี 60-61 ที่ผ่านมา อุทยานฯ คิด 13,500 บาท ต่อกลุ่ม เจ้าหน้าที่นำทางสองคน
- ลูกหาบคนละ 550 บาทต่อวัน ทริปห้าวันรวมแล้ว 2,750 บาท แบกน้ำหนักชั่งขาเข้าคนละ 20 กิโลกรัม หากต้องแบกเกินจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่เมื่อเข้าไปแล้วระหว่างทางอาจแบกมากขึ้นนิดหน่อยก็หยวนๆ กันไป
- นอกจากแบกสัมภาระ ลูกหาบที่โมโกจูจะช่วยเราจัดการเรื่องน้ำ หุงข้าว ก่อไฟ และอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างด้วย
- ทุกแคมป์ทุกคืน นอนเปลก็ได้ นอนเต็นท์ก็ดี ตามความถนัดของแต่ละคนได้เลย
- เราสามารถฝากของไว้เพื่อลดน้ำหนักได้ทั้งที่แคมป์แม่กระสา และแคมป์แม่เรวา แล้วค่อยเก็บรวบรวมตอนขากลับทีเดียว เพราะไปทางไหนเรากลับทางนั้นอยู่แล้ว
- แมลงที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือเห็บและคุ่น กลุ่มผมไม่ได้โดนเยอะแต่ก็มีโดนอยู่บ้างรวมทั้งผมด้วย ใครไม่แพ้แป๊บเดียวก็หาย ส่วนใครแพ้แมลงเหล่านี้ควรเตรียมยาแก้แพ้แก้คันไว้ด้วย และแต่งตัวให้มิดชิด
- แหล่งน้ำมีตลอดทุกวัน สิ่งจำเป็นคือควรมีเครื่องกรอกน้ำพกพาไปด้วย อย่างน้อยก็กรุ๊ปละหนึ่งอัน
- ที่โมโกจูยังมีลำธารสำหรับอาบได้ทุกวัน ยกเว้นเพียงวันที่สามที่นอนบนแคมป์ตีนดอยเท่านั้น
- บนยอดโมโกจูดูได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก แนะนำให้ขึ้นยอดทั้งสองช่วงเวลา กว่าจะไปถึงที่นั่นมันลำบากและจองยาก ควรใช้เวลาให้คุ้มค่า
- สัญญาณโทรศัพท์มีเฉพาะ AIS ตรงมอขี้แตกเป็นจุดสุดท้ายในการเดินวันแรก (เพิ่งเริ่มเดินมาแป๊บเดียวล่ะนะ) และจากนั้นจะมีสัญญาณเป็นระยะอีกครั้งช่วงเดินขึ้นก่อนถึงคลองหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ที่เหลือบอดสนิทตัดขาดโลกภายนอก
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันพฤหัสที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 11.39 น.