จากตอนที่แล้ว https://th.readme.me/p/16932 เราเร่งฝีเท้ากลับมาที่สถานีเพราะมีกำหนดต้องขึ้นรถไฟขบวนสำคัญที่จองไว้
รถไฟที่เราตั้งใจมาขึ้นกันที่นี่เป็นรถไฟขบวนพิเศษค่ะ เมื่อเดินกลับเข้าไปที่สถานีโมจิโกะรถไฟขบวนดังกล่าวมาจอดเทียบชานชาลารอเราอยู่แล้ว
นี่คือ รถไฟขบวนด่วนพิเศษ ASO BOY91 ซึ่งจะพาเราเดินทางกลับสู่สถานีฮากาตะค่ะ
จริงๆ ASO BOY นั้นเป็นสายรถไฟที่วิ่งระหว่างเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto) และมิยาจิ (Miyaji) แต่เพราะเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 ทำให้การรถไฟคิวชูเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ เพื่อความปลอดภัยจากเหตุดังกล่าว จากที่ไม่สามารถวิ่งไปเมืองคุมาโมโตะได้ แต่เพื่อให้คนที่อยากขึ้นรถไฟนี้ได้มีโอกาสเพลิดเพลินไปกับขบวนนี้เหมือนเดิม เขาจึงจัดให้มีการวิ่งระหว่างสถานีฮากาตะและโมจิโกะแห่งนี้
ASO BOY เป็นรถไฟที่มีหมาน้อย KURO สีดำเป็นมาสคอตประจำรถ เป็นขบวนรถที่น่ารักที่สุดของภูมิภาคคิวชูและจองยากที่สุดของที่สุด จุดเด่นของขบวนรถคือส่วนหัวของขบวนแรกที่สามารถเห็นวิวแบบพาโนรามา (Panorama) ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า "วิวที่มองจากห้องคนขับนั้นสวยที่สุด" แต่จะว่าไปหน้าตาขี้เล่นของเจ้าหมาน้อย KURO ในทุกตู้ ก็ทำให้รถไฟขบวนนี้ถูกใจคนรักหมาไม่น้อยไปกว่าขบวน TAMA DENSHA ขวัญใจทาสแมวที่เมืองวาคายามาเหมือนกัน
เราจะเห็นเจ้าหมาน้อย KURO นี้ทั้งภายนอกและภายในตัวรถได้ตลอด โดยเขาจะสอดแทรกเจ้าหมาตัวนี้ไปกับทุกอย่างในขบวนรถ ด้วยหน้าตาน่ารัก ดูเหมือนมีความอยากรู้อยากเห็น ไม่แปลกใจหรอกนะ ที่ทำให้ใครเห็นก็ต้องรู้สึกชอบจนตกหลุมรักเจ้าหมาดำ KURO
เมื่อเราก้าวเข้าไปในรถไฟ ก็จะเห็นสีสันของเบาะที่สดใส พร้อมผ้าม่านลายเจ้า KURO รูปเจ้า KURO ทั่วขบวนเลยค่ะ แต่ละตู้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตู้หนึ่งเบาะที่นั่งและพนักพิงทำไว้ 2 ขนาด คือสำหรับผู้ใหญ่และเด็กนั่งคู่กัน ที่ฝั่งเบาะเด็ก ก็มีที่รองวางเท้าเสริมไว้ให้ด้วย แต่ละเสาหรือราวจับจะหุ้มไว้ด้วยนวมกันกระแทก เผื่อว่ารถไฟวิ่งโคลงเคลง เด็กๆ ที่ระดับความสูงพอดีชนเข้า ก็จะไม่เจ็บตัวจนเลือดตกยางออก
อีกตู้หนึ่งมีโซนคาเฟ่ให้เลือกซื้อเบียร์เด็ก คือน้ำไซเดอร์ที่ให้เด็กๆ แอ๊บเอาว่าเป็นเบียร์ อารมณ์แบบพวกคุณพ่อพอนั่งพักได้ที่ก็จะจิบเบียร์พอสบายใจ ซึ่งคาเฟ่นี้มีไอศกรีมแสนอร่อยจำหน่ายด้วย
ถัดไปเป็นโซนสนามเด็กเล่นที่แม้แต่เราที่ไม่ใช่เด็กเห็นแล้วยังอยากลงนั่งเล่น ช่างออกแบบมาแบบรู้ใจและเอาใจเด็กๆ กันเหลือเกิน มีบ่อบอลไม้ด้วย มีมุมหนังสือ มุมศิลปะให้เด็กๆ วาดรูปเล่นได้ ซึ่งบริเวณนี้จะพนักงานคอยดูแลด้วยแม้ว่าจะให้ผู้ใหญ่นั่งกับเด็กได้ก็ตาม
หลังจากเดินเก็บภาพน่ารักๆ ของรถไฟขบวนนี้เรียบร้อย เราสองคนก็มานั่งที่ขบวนแรกเพราะเชื่อว่าวิวที่มองจากห้องคนขับนั้นสวยที่สุด รถไฟขบวนนี้คนขับจะไปขับที่ห้องด้านในเพื่อให้ส่วนหัวขบวนนี้เป็นที่นั่งชมวิวสำหรับผู้โดยสารเพราะรถไฟขบวนนี้เป็นขบวนพิเศษ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าวิวสวยงามดีจริงๆ ชมวิวเพลินจนถึงฮากาตะไม่รู้ตัวเลยแม้ว่าจะใช้เวลาเดินทางราว 75 นาที ก็ตาม
วันนี้เรากลับเข้าเมืองมาเร็วกว่าปกติ พอจะมีเวลาเดินเล่นในเมืองบ้าง ไม่งั้นกลับมาที่พักทีไรฟ้ามืดแล้วทุกที เราเลยถือโอกาสไปเดินเล่นเพื่อดูสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่ไม่นานนักและหาโอกาสทานอาหารเย็นนอกบ้านกันสักมื้อหลังจากปรุงทานกันเองมาตลอดหลายวัน
บางคนอาจจะสงสัยว่าตอนนี้เราอยู่ที่ฟูกุโอกะ ทำไมสถานีรถไฟจึงเรียกสถานีฮากาตะหรือย่านที่เราเดินๆ กันอยู่นี้กลับเป็นฮากาตะ ความจริงก็คือในเขตเมืองฟุกูโอกะ (Fukuoka) มีเขตหนึ่งชื่อว่าฮากาตะ (Hakata) ว่ากันว่าฟูกุโอกะเป็นศูนย์กลางของหน่วยทหาร และฮากาตะเป็นเขตการค้า แม่น้ำนากะ (Naka) ที่ไหลผ่านใจกลางเมืองฟูกุโอกะเป็นตัวบ่งชี้ว่าฝั่งขวาคือฮากาตะและฝั่งซ้ายคือฟูกุโอกะ มีสะพานเชื่อมทั้ง 2 ฝั่งที่ชื่อว่า “Fuku-Haku Deaibashi Bridge”
การประชุมสภาเทศบาลเมืองในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการนำเรื่องชื่อเมืองมาถกเถียงกัน ประธานของฝั่งเมืองฟูกุโอกะจึงสรุปว่าจะใช้ชื่อเมืองฟูกุโอกะต่อไป โดยแลกกับการตั้งชื่อสถานีรถไฟที่เพิ่งสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1889 ว่า “Hakata Station”
เราเดินออกจากสถานีมายังสถานที่ที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งไม่ไกลจากสถานีฮากาตะมากนัก นั่นคือบริเวณที่เกิดการยุบตัวของพื้นถนนเป็นบริเวณกว้างเมื่อเวลาประมาณ 05.15 น. ของวันที่ 8 พ.ย.2559 ที่ในวันนี้มีสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและจะไม่เป็นที่น่าสังเกตอะไรหากไม่มีแท่งแบริเออร์ (Barrier) หรือกรวยยางวางเอาไว้ให้เห็น
จุดเกิดเหตุไม่ไกลจากสถานีฮากาตะ
วันนั้นชาวญี่ปุ่นย่านใจกลางเมืองฟูกุโอกะ ที่ขับรถยนต์มายังบริเวณสี่แยกไฟแดง ใกล้สถานีรถไฟเจอาร์ ฮากาตะ คงต้องตื่นตระหนกตกใจไปตามๆ กัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวได้เกิดเหตุถนนยุบตัวจนเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ น่ากลัว ส่งผลให้การจราจรติดขัดอย่างหนักและยังทำให้เกิดไฟฟ้าดับ ส่งผลให้บ้านเรือนประมาณ 800 หลังคาเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมทั้งที่สถานีรถไฟใต้ดินเจอาร์ฮากาตะด้วย สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะมีการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าใต้ดินสายนานะคุมะ แต่ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นสามารถซ่อมเสร็จกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ภายใน 7 วัน แต่เรามาเดินผ่านก็ยังอดมีเสียวนิดๆ ไม่ได้ ก็แหม..หลุมยุบกว้างเสียขนาดน้านนน
ภาพวันเกิดเหตุ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ภาพหลังเหตุการณ์ผ่านไป 7 วัน (จากอินเตอร์เน็ต)
อาหารเย็นวันนี้เราไปอร่อยกับราเมง (Ramen) กันที่ ราเมงสเตเดี้ยม (Ramen Stadium) ที่ชั้น 5 ห้างคาแนลซิตี้ ฮากาตะ (Canal City Hakata) ร้านราเมง 8 ร้านจากภูมิภาคต่างๆ ที่ได้รับการเลือกทั้งจากชาวญี่ปุ่นและต่างชาติแล้วว่าเป็นที่นิยมมากที่สุด
สำหรับเราก็มั่วค่ะ จิ้มเลือกมาร้านหนึ่งสั่งมาทานกันพร้อมเกี๊ยวซ่าหนึ่งจาน เท่านี้ก็อิ่มแล้ว
จากนั้นเห็นว่าฟ้ายังไม่มืดก็เลยไปเดินเลาะเลียบริมแม่น้ำรับลมเย็นๆ ทำให้เห็นว่าที่ริมน้ำมีแผงขายอาหารกลางคืน แบบที่เรียกว่า Yatai ตั้งเรียงรายไปตลอดทาง แต่ละแผงจะจัดที่นั่งให้ลูกค้านั่งล้อมรอบแผง อาหารที่ขายมีทั้ง ราเมง เมนูปิ้งย่าง บาร์บีคิว อาหารทะเล ซูชิ แม้ที่อื่นจะมีแผงอาหารแบบนี้แต่คนจะนิยมมากินดื่มแถวนี้กันมากกว่า แต่ปัญหาของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็คือ ไม่มีเมนูแบบที่เป็นรูปภาพค่ะ ถ้าจะสั่งก็ค่อนข้างยากสักนิด
เราสองคนเดินชมบรรยากาศและดอกซากุระที่เริ่มมีให้เห็นกันจนสมควรแก่เวลา ฟ้าชักมืดแล้วก็พากันเดินกลับที่พัก กลับไปเอาแรงกันดีกว่าค่ะ
พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันต่อ ไว้รอติดตามค่ะ
เชิญแวะไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กกันได้ค่ะที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.20 น.