หน้าฝน ขี่มอเตอร์ไซค์ เปียกแล้วไง ก็ใจมันอยากไปให้สุด
ทริปนี้ได้รับการเชิญชวน ให้ไปลองรถใหม่ Kawazaki Versys x300
กับระยะทางไป-กลับร่วม 1800 km จาก กรุงเทพ-อุตรดิตร์-น่าน-สะจุกสะเกี้ยง-เปียงซ้อ-กทม
จะเป็นยังไง เราไปดูกัน (สำหรับใครไม่ชอบอ่าน ดูเป็นคลิปได้นะ)
วันแรก กรุงเทพ-อุตรดิตถ์
เราฝ่าการจราจรที่แออัดในเมืองกรุง มุ่งหน้าสู่เมืองลับแล ระยะทางวันแรก 488 km
บนถนนสายเอเชีย ที่เริ่มพาเราเพลียแดดตั้งแต่เริ่มเดินทาง ยังดีที่สภาพจราจรหลังหลุดจากตัวเมืองมา เริ่มทำให้เราใช้ความเร็วได้แบบสบายๆ ถึงจะแค่ 300cc แต่ก็สามารถทำ TopSpeed ได้ถึง 170 km/hr
อาจมีปัญหาในการขับบ้างคือ เรื่องความร้อนของตัวเครื่อง ทำให้บางทีก็ต้องยืนรับลมบ้าง เพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการเดินทางไกล
ให้เราได้ชุ่มฉ่ำกันตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว
ด้วยสายฝนที่มาเป็นระยะๆ ทำให้เราต้องจอดเป็นพักๆ(เพื่อเทน้ำออกจากรองเท้า)
กว่าจะถึงจุดหมาย ร่างแทบสลายไปอยู่เหมือนกัน
หลังจากฝ่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำ เราก็หามื้อเย็นหม่ำกันใกล้ๆที่พัก
ผัดไทหน้าห้าง Friday ที่รสชาติ โอเครรรรรร จัดให้เลยขี่ตากฝนมานาน ข้าวต้มหมูกรอบสักจานกำลังดี ได้ซดน้ำซุปอุ่นๆแบบนี้สุดยอดละ
คืนแรกเราพักที่ Friday ที่นี่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรมภายในตัว
บรรยากาศห้องอาหารที่นี่ ชวนให้นึกถึงช่วงยุคปี 70-80 ดูคลาสสิคดี
บรรยากาศห้องพักดูดี แถมราคาไม่แพง คืนนี้ขอนอนเอาแรงก่อน พรุ่งนี้ต้องเดินทางกันอีกไกล
วันที่สอง อุตรดิตถ์ - เขื่อนสิริกิตติ์ - ปากนาย - นันทบุรี
สายฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องแต่เช้าตรู่ เรารอ...อยู่พักใหญ่ ให้สายฝนจางลงบ้าง
กว่าจะออกเดินทางได้ก็เกือบเที่ยง
แม้จะเป็นยามเที่ยงวัน แต่ไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ส่อง บรรยากาศหม่นๆจึงทำให้ที่นี่ดูเหงาๆไปบ้าง
เราแวะพักทานข้าวกันที่นี่ ทอดมันปลากรายและปลาเผา พร้อมด้วยน้ำจิ้มรสดี มาถึงที่ก็ต้องลอง
จากเขื่อนสิริกิติ์ เราตัดเข้าอำเภอน้ำปาด และไปต่ออีกกว่าหกสิบกิโลเมตร เพื่อไปข้ามแพขนานยนต์ที่หมู่บ้านประมงปากนาย สภาพเส้นทางเป็นถนนลาดยางสองเลนวิ่งสวนกัน บางช่วงดี บางช่วงพังหน่อย แต่ไม่มีแยกให้หลง
จะมาข้ามแพที่นี่ ควรต้องวางแผนเผื่อเวลาไว้สักชั่วโมง เพราะแพต้องวิ่งตามคิว และแยกกันระหว่างแพรถยนต์กับมอเตอรไซค์ มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ 150 บาท คันเล็ก 100 บาท
รอบนี้มารอแพเกือบชั่วโมงได้ ระหว่างรอก็ถือโอกาสถอดบู๊ทออกมาเทน้ำที่ขังอยู่ออกไป และนั่งผึ่งให้ผิวเท้าได้ออกมาหายใจบ้าง
เมื่อก่อนจะแปะตามเสาแพ ตอนนี้พัฒนาเป็นฟิวเจอร์บอร์ดแล้ว
สร้าง Landmark ให้จดจำ Check in สติกเกอร์เพจ ติดหมับเข้าให้
ภาพนี้ใช้โดรนถ่าย เกือบได้เป็นภาพสุดท้ายซะแล้ว พึ่งบินครั้งแรก เห็นเรือแล่นช้าๆ
เผลอแป๊บเดียว บินห่างออกไป ทำให้กะระยะสัญญาณไม่ถึง (ตอนนั้นใช้มือถือบังคับ)
ควบคุมไม่ได้ ต้องวานลุงช่วยถอยเรือมาอีกที
ขึ้นจากแพมาได้ ทีนี้ถนนเข้าขั้นว่าดีถึงดีมาก วิวสวยมาก จะเพลินกับโค้งหรือเพลินกับวิวก็ว่ากันตามตัวตน
วิวทิวเขาสลับกับหมอกอันสวยงาม ได้มาเห็นถือว่าสุดยอดแล้ว
ผ่านนาหมื่น นาน้อย เวียงสา เลี้ยวขวาไปอีกสามสิบหลักก็นันทบุรี ปลายทางของเราในคืนนี้
หาที่พักแถวริมขอบเมือง มาได้ที่นี่ น่านฟ้าชลธี ค่าเสียหายกำลังดี ห้องยังใหม่
เก็บของโยนลงพื้นห้อง แล้วอาบน้ำแต่งตัวให้ว่อง เพราะท้องเริ่มหิว แวะทานข้าวที่ร้าน เฮียนนท์เลิศรส
รสชาติดี ปริมาณโอเค คิดตังค์ออกมาแล้วไม่แพง
คืนนี้พักผ่อนอีกคืน พรุ่งนี้เราจะตื่นไปไหว้พระแต่เช้ากัน
วันที่สาม น่าน > บ่อเกลือ > สะจุก - สะเกี้ยง
เราเดินทางสู่ วัดพระธาตุเขาน้อย เสียดายที่หมอกหนาไปหน่อย เราจึงไม่ค่อยเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้า
หลังชมวิวงามๆบนเขา เราลงมาเยี่ยมชม Landmark ของเมืองน่าน วัดภูมินทร์
ที่นี่มีจิตรกรรมฝาผนัง บอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์
ได้เห็นเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนในอดีต
กระซิบรักเมืองน่าน ตำนานเล่าขานที่ไม่รู้จบ
หลังชมความงามในจิตรกรรม เราก็ออกมาหาของกินกันต่อ ที่ร้านข้าวซอยแม่สุณี
ข้าวกั๋นจิ้น รสชาติพอไหว และ ข้าวซอย ดีงาม รสชาติกลมกล่อม
น้ำเงี้ยวรสชาติแกงยังดูจางๆ อาจเพราะยังเช้าอยู่
แต่ที่ยกนิ้วให้คงต้องเป็นเมนูนี้ ข้าวผัดแหนม
เติมพลังคนเต็มถัง กลับมาเก็บของเช็คเอาท์ออกจากห้อง มุ่งหน้าอำเภอปัว ก่อนเลี้ยวเข้าทางหลวง 1256 แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังกันที่อำเภอปัว พอขึ้นดอยภูคาเท่านั้นแหละ เปียกกันแบบไม่ต้องจอดถ่ายรูป รูดกันมายาวๆ มาจอดอีกทีก็จุดชมวิว 1715 ตรงนี้เชื่อว่านักท่องเที่ยวที่ผ่านมาทางนี้แทบจะจอดแวะกันทุกคน อากาศเย็นสบายสดชื่นสุดๆ
ลงดอยมาที่ราบ มาจิบน้ำให้ชื่นใจกันที่บ่อเกลือสินเธาว์
ออกจากบ่อเกลือกันก่อนที่จะมืดค่ำ พอถึงสามแยกที่ตัดทางหลวง 1081 ก็เลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือ จากตรงนี้ เป็นเส้นทางที่ชัดเจนกับการทดสอบขีดจำกัดต่างๆของเจ้า KAWASAI VERSYS X 300 โดยแท้
ถนนลาดยางพังๆบางช่วง ทั้งแคบและเลี้ยวเลาะไต่ขึ้นลง ทั้งหลุมทั้งลอนคลื่นในโค้งจัดมาให้ครบๆ แถมบางช่วงยังทำทางที่กำลังเป็นลูกรังแดงๆอัดแน่นที่โดยน้ำฝนกัดเซาะให้เริ่มไม่เรียบไปบ้างแล้ว ทุกสภาพในช่วงเวลานี้ คล้ายจัดวางมาให้จริงๆ ยิ่งขี่ยิ่งสนุก!! ทำเอาบางช่วงไม่อยากจอดถ่ายรูปเลย เลยได้รูปมาแค่นี้เอง
เกือบๆจะถึงขุนน้ำน่านที่ต้องเลี้ยวเข้าไปสะจุก-สะเกี้ยง ขีผ่านตรงนี้
โอโห....อย่างกับขี่อยู่บางช่วงของลาวเหนือ
กว่าสามสิบหลักจากแยกบ่อเกลือ เราก็มาถึงตรงนี้ สังเกตให้ดีจะมีป้ายบอก พอเลี้ยวเข้าไปปั้บ ฝนเทลงมาอย่างหนักอีกรอบหนึ่ง แถมยังเป็นเวลาเกือบๆจะห้าโมงเย็นแล้ว เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขี่ลุยเข้าไปแบบไม่หยุด เพราะถ้าหยุดในบางช่วงอาจจะไม่เหมาะแก่การจอดนัก
ในระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตรของทางเข้าสะจุก-สะเกี้ยง ตีคร่าวๆว่าร้อยละเจ็ดสิบเป็นทางพังๆ และร้อยละห้าเมื่อเจอฝนอาจต้องใช้ทักษะเอ็นดูโร่เบื้องต้นไปถึงระดับกลางในการเอาตัวรอด รถเก๋งควรเลี่ยงทางนี้นะจ๊ะ และปิ๊กอัพถ้าไม่ขับสี่แล้วเจอฝนตกนี่น่าจะหืดจับ
เมื่อมาถึงที่ พึ่งนึกออกว่าลืมโทรจองก่อน เข้ามาเย็นป่านนี้ก็เลยไม่เจอใคร(ช่วงเปลี่ยนเวรพอดี)
ลองค้นหาเบอร์ดู โทรไปตามนั้น...พี่เขาบอกว่าถ้าบ้านว่างก็เข้าไปพักได้เลยครับ เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่อยู่เวรกลางคืนเข้าไปผลัดเวร...แน่นอนว่าเราเลือกบ้านเคียงชาอย่างรวดเร็ว
เนื่องด้วยไม่มีใครอยู่ อาหารจึงไม่มีสั่ง แต่มีครัวให้ เราก็ขี่ลงไปบ้านสะจุกเพื่อไปหาวัตถุดิบมาปรุงกินเองเพื่อให้รอดตายไปอีกมื้อ !
แน่นอนว่าไม่พ้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ปล่อยให้อืดๆซะหน่อย จะได้อิ่มท้อง
ส่วนบรรยากาศในห้องพัก แม้ไม่มีแอร์ พัดลม (แต่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะ) แต่ก็ไม่รู้สึกอบอ้าวแต่อย่างใด
กลับกันทำให้รู้สึกได้ผ่อนคลายสบายๆ สัมผัสกับอากาศเย็นสบายท่ามกลางธรรมชาติ
ในส่วนของค่าที่พักนั้น...ไม่มี เพราะโครงการฯแจ้งว่า เนื่องจากไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว จึงไม่มีการคิดค่าบริการที่พักและค่าบริการสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆแก่ผู้มาเยือนแต่อย่างใด แต่ใครอยากจะสนับสนุนปัจจัยไว้ซ่อมบำรุงเพื่อเผื่อแผ่ให้ผู้ที่มาเยือนได้ใช้สอยกันไปนานๆก็ตามกำลังทรัพย์
วันที่สี่ของการเดินทาง สะจุก-สะเกี้ยง > เปียงซ้อ > วัดพระเจ้าทันใจ
เราตื่นเช้ามา ได้สัมผัสกับบรรยากาศวิวงามๆนี้
หมอกหนาๆในยามเช้า
นาขั้นบันได
หลังจากชมธรรมชาติท่ามกลางอากาศเย็นๆ ก็เห็นจะได้เวลาออกเดินทางต่อ
ก่อนจะลงจากสะจุก-สะเกี้ยง หากขาดจุดชมวิวบ้านเปียงซ้อไปคงไม่ครบกระบวน
ว่าแล้วก็ขี่ขึ้นไปจากบ้านสะจุกอีกห้าหลัก ได้วิวงามๆแบบนี้เลย
ขี่กลับลงมาจากเปียงซื้อ ผ่านบ้านสะจุก เลยจากเนินอันตรายมาได้ เจอะตรงนี้ ขอจอดอีกสักทีเถอะ
กลับออกจากขุนน้ำน่านมาได้สักยี่สิบหลัก เรารวบมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงเข้าไว้ด้วยกันที่นี่
นอกจากวิวดีงามแล้ว รสชาติก็ดีต่อใจเช่นกัน นี่เราเจอของดีกลางป่าเขาอีกแล้ว!
ไข่เจียวหมูสับดีและดีมาก
ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ยอดเยี่ยม!!
หมูกระเทียมที่นี่ ให้คะแนนเต็ม!
แวะไหว้พระแถวกลางทางที่จะลงไปอำเภอสันติสุขสักหน่อย เจอะกลุ่มนี้มาจอดพักเหมือนกัน ทักทายกันตามอัธยาศัยไมตรีของคนรักมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน
วัดพระเจ้าทันใจ อ.ปัว จ.น่าน
จากนั้นเราก็แวะกินข้าวที่เขาพลึงอีกหน่อย แล้วก็ลากยาวๆกลับถึงบางกอกก็ดึก
ก็ถือว่าจบการเดินทาง กับระยะทางกว่า 1800 km
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
Freeman Rider
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.16 น.