"งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา" ก็เสมือนการเดินทางเมื่อมีจุดเริ่มต้นสุดท้ายทุกคนก็ต้องเดินทางกลับไปยังจุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง ทริปไต้หวันครั้งนี้ก็เหมือนกับทริปอื่น ๆ ที่ผมเคยไปที่จะต้องแยกย้ายจากลากัน ถึงแม้จะติดใจสถานที่หรือบรรยากาศก็ตาม สำหรับทริปวันสุดท้ายในเมืองหลวงอย่าง "ไทเป" นั้นผมก็ได้แต่ตามเก็บสถานที่หลัก ๆ บางสถานที่เอาไว้เพราะถ้าเก็บหมดเดี๋ยวทริปหน้าก็ไม่มีไรให้ทำอ่ะสิ ระหว่างรอทริปไทเปครั้งหน้ามาอ่านรีวิวย้อนหลังของไต้หวันของผมได้เลย

การเดินทางตะลอนไต้หวันแบบอะโลน

ตอนที่ 1 FIRST TIME @ เกาะมันเทศ

ตอนที่ 2 TAIPEI กับวันสบาย ๆ ของผม

และตอนที่ 3 ตะลุยเส้นทางทองคำ GOLDEN FULONG

วันสุดท้ายในไทเปผมก็ตื่นแต่เช้าเช่นเดิม แต่ว่าบรรยากาศวันนี้ฟ้าครึ้มมาเลยทีเดียว บรรยากาศในไทเปยามเช้าของเดือนสุดท้ายของปี 2015 นอกจากจะครึ้มแล้วลมยังพัดแรงทำให้อากาศหนาวเลยทีเดียว บรึ๋ยยยย สะพานลอยที่ผมมักใช้ข้ามประจำระหว่างโฮสเทลและไทเปเมนสเตชั่น ในวันนี้ตึกไทเป 101 ที่ดูอยู่ไกล ๆ กลับถูกกลุ่มเมฆหมอกบดบังทำให้เห็นแต่ส่วนล่างของตึกเท่านั้น

พอเดินเข้าไปในไทเปเมนสเตชั่นถึงกับสตั้นไปหลายวินาที เเบบว่าเฮ้ย นี่มันตอนเช้าแล้วนะทำไมบรรยากาศเหมือนตอนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ถ้าให้คนอื่นดูรูปนี้คงคิดว่า มาทำอะไรตอนมืดค่ำแน่ ๆ

หลังจากตะลึงกับบรรยากาศในไทเปเมนสเตชั่นก็เดินลงบันไดเลื่อนเพื่อนั่ง MRT ไปสถานี XINDIAN และแน่นอนการขึ้นรถไฟฟ้าในวันธรรมดาก็จะเจอเหล่านักเรียนไต้หวันที่ออกเดินทางไปเรียน วันนี้วันอะไรแต่งชุมวอร์มกันไปหมดทุกโรงเรียนเลย

ไปถึงสถานีXINDIAN พร้อมกับท่ามกลางฝนตกมาราวฟ้ารั่ว แต่ใจฉันมันร้อนรุ่มเหมือนไฟ ฝนฟ้าไม่เต็มใจซัดซ้ำฉันทำไม ทำไมอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปถ่ายรูปบนสะพานแขวนแต่ฝนดันตก ตกหนักซะด้วย

จากนั้นก็รอสักพักฝนก็ตกซา ๆ เลยตัดสินใจไหน ๆ มาแล้วจ่ายค่าตั๋ว จ่ายค่ารถไฟฟ้า MRT มาแล้วก็เอาให้คุ้มซะหน่อยตากฝนก็ยอม เลยได้บรรยากาศสะพานปี๋ถันในยามที่ฝนตกพรำ ๆ มาฝากกัน

การเดินทางไปสะพานแขวนปี๋ถัน

- นั่ง MRT ไปลงสถานี XINDIAN (สายสีเขียว) สุดสาย

- ข้อแนะนำ ควรไปในยามบ่าย ๆ เย็น ๆ ดูพระอาทิตย์ตกดิน และจะมีร้านขายอาหารอยู่ละแวกแถวนั้น

เดินได้สักพักพร้อมกับการไม่มีร่ม หรือเสื้อกันฝนก็เริ่มรู้สึกอีกรอบแล้วว่า ฝนมันเริ่มตกหนักขึ้นเลยต้องรีบเผ่นไปสถานีรถไฟฟ้าก่อนไม่งั้นร่างกายเปียกแน่ ๆ

จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงไทเปเมนสเตชั่น ซึ่งในรถไฟฟ้าคนเยอะมากเพราะเป็นเวลาทำงานของคนไต้หวัน พอถึงไทเปเมนสเตชั่นก็กลับไปที่พักเพื่อเก็บข้าวของและทำการเชคเอาท์ครับ จากนั้นก็ฝากกระเป๋าไว้กับโฮสเทลก่อนไม่งั้นจะเป็นภาระในการตะลอนไทเปอย่างมากกกกก

บรรยากาศในไทเปเมนสเตชั่นยามสายก็ไม่แตกต่างจากยามเช้า ยังดูมืดมิดเช่นเดิมอาจเพราะว่าร้านตรงบริเวณลานกว้างยังไม่เปิดให้บริการเพราะยังไม่ถึงเวลา 10 โมงเช้าก็เลยยังเงียบสงบ คล้ายกับตรอกสยามสแควร์ยามเช้าประมาณนั้นเลย จากนั้นผมก็ลงไปสำรวจพื้นที่ของไทเปเมนสเตชั่นก็เจอร้านขายข้าวกล่องรถไฟด้วย

ระหว่างหลงทางในไทเปเมนสเตชั่นก็ไปโผล่บริเวณทางเข้าห้าง ESLITE เจอตัวอักษรจีนเห็นว่าสวยเลยถ่ายรูปมาเล่น ๆ


เดินหลงในไทเปเมนสเตชั่นออกประตูโน้นทีประตูนั้นที เลยเกิดความคิดว่าครั้งหน้ามานี่จะจัดทริปตะลุยไทเปเมนสเตชั่นสักครึ่งวันคงจะดี เดินไปหลงไปเดินแต่สถานที่น่าสนใจเต็มไปหมด เดินมาก็เจอตู้ลอคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋า (ถ้าตัวเองฝากนี่กว่าจะหาเจอตู้ก็คงหลงอีกตามเคย)


เดินหลงได้สักพักก็ได้เวลานั่งรถไฟฟ้าไปเป่ยโถว เพื่อจะไปชมน้ำพุร้อนอันขึ้นชื่อของไทเป

การเดินทางไป XINBEITOU

- นั่ง MRT สายสีแดงไปลงสถานี BEITOU

- จากนั้นลงบันไดเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าอีกฝั่งที่จะไป XINBEITOU

รถไฟที่จะไปสถานีซินเป่ยโถวออกแนวฟรุงฟริ้ง กิมมิค ล้ำจินตนาการ แต่จากการที่เคยพูดคุยกับคนไปเที่ยวซินเป่ยโถวบางคนก็บอกว่าไปทีไรก็ได้แต่นั่งสายธรรมดา ไม่เคยนั่งขบวนแบบนี้ผมก็เลยงงว่า "สายนี้มีรถแบบธรรมดาด้วยเหรอ ใครรู้บอกหน่อย" แต่ตอนผมไปได้เจอสายฟรุงฟริ้งพอดี

รูปลักษณ์ภายนอกขบวนรถไฟฟ้าสายไปซินเป่ยโถว เห็นการ์ตูนบนรถแล้วอยากกินปาท่องโก๋จิ้มกับนมข้นเลย

ตู้ขบวนคันที่ 1 ออกโทนน้ำตาล-แดง

ตู้ขบวนคันที่ 2

ออกโทนน้ำตาลแบบไม้ ซึ่งจะมีโต๊ะด้วยซึ่งตรงโต๊ะก็จะเป็นหน้าจอให้ข้อมูลเกี่ยวกับบ่อน้ำพุร้อนครับ ลองไปกดเล่นดูได้เลย

ตู้ขบวนที่ 3 ออกแนวความร่มรื่นสีเขียวสบายตาสบายใจ

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานีซินเป่ยโถว บรรยากาศเงียบกริบเพราะเป็นวันธรรมดาและที่สำคัญหนาวมาก ๆ ไม่ได้หนาวเพราะอากาศแต่หนาวเพราะลมพัดแต่ละทีไขมันแทบจะปลิว

บรรยากาศด้านหน้าสถานีซินเป่ยโถ่ว เห็นรูปผู้สมัครหญิงประธานาธิบดีด้วยป้ายแดง ๆ (อ่านจีนไม่ออกหรอกครับ แต่ทำรีวิวนี้หลังจากประกาศผลคนได้ตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน อิอิ)

จากสถานีรถไฟฟ้าก็จะผ่านห้องสมุดเป่ยโถว ซึ่งเป็นอาคารไม้ที่มีรูปหลงแปลกตา (ติดตามตอนท้าย ๆ ครับ)

พิพิทธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว

เดินมาเรื่อย ๆ จากสถานีซินเป่ยโถวเดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอทางตรงไปข้างหน้า กับทางเลี้ยวซ้ายที่จะมีป้านร้าน Hi Life ก็เลี้ยวซ้ายตรงร้าน Hi life ก็เจอกับ Beitou thermal valley แล้ว

เมื่อถึง Beitou Thermal valley ก็จะได้กลิ่นกำมะถันลอยมาแต่ไกล ๆ ทำให้รู้สึกได้ว่ามาถึงบ่อน้ำพุร้อนแล้ว เลยถ่ายรูปซะหน่อยกับมุมมหาชน เห็นใคร ๆ ก็ถ่ายมุมนี้กัน

ไอจากบ่อน้ำพุร้อนพัดมานึกว่าเป็นหมอกเลยทีเดียว ถ้าใครได้มาในช่วงหน้าหนาวคงฟินน่าดูแบบผมเพราะลมหนาวพัดมาเจอกับไออุ่น ๆ ของบ่อน้ำพุร้อนทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาทันใด

บริเวณบ่อน้ำพุร้อน (Thermal valley) นั้นจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนสีเขียว เค้าบอกว่า (ไม่รู้ใครเล่า) ว่าบ่อน้ำพุร้อนสีเขียวมีเพียง 2 แห่งในโลก อีกที่อยู่ที่จังหวัดอากิตะ ของญี่ปุ่่นอีกที่ก็ที่ไต้หวัน การไปวันธรรมดาคนจะน้อยมาก แถมให้กลิ่นอายแบบญี่ปุ่นจริง ๆ เลย

จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังอาคารไม้ที่เด่นสะดุดตา นั่นคือ ห้องสมุดเป่ยโถวครับ บรรยากาศเงียบวังเวงเหลือเกิน

จักรยาน UBike จอดเคียงคู่กันน่ารักจริง ๆ

เดินมาเรื่อย ๆ ตามเส้นทางเดิมเพื่อไปตึก ๆ หนึ่่งที่ผ่านมาแล้วตอนแรก ซึ่งสถานที่นั้นก็คือ BEITOU LIBRARY หรือห้องสมุดสาธารณะไทเป สาขาเป่ยโถว (Taipei Public Library Beitou Branch) ซึ่งตัวอาคารห้องสมุดแห่งนี้ได้ชื่อว่า เป็นห้องสมุดสีเขียวเพราะเป็นห้องสมุดอนุรักษ์พลังงานนั่นเองครับ โดยบนหลังคาจะมีแผงโซลาร์เซลล์และตัวอาคารเป็นไม้อีกด้วยทำให้ห้องสมุดแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี


ในท่ามกลางบรรยากาศดี แดดไม่ออกก็ย่อมมีความโชคร้ายเพราะนั่นคือห้องสมุดปิดทำการ ร้องไห้หนักมากและตะเตือนไตมากได้แต่ยลโฉมภายนอกแต่ไม่สามารถเข้าไปดูภายในได้ ไหนเราลองมาดูเหตุผลกันดีกว่าว่าทำไมห้องสมุดแห่งนี้ถึงปิดวันพฤหัสบดี ทั้ง ๆ ที่น่าจะปิดวันจันทร์ เลยทำการหาข้อมูลสำหรับคนจะไปเข้าชม

- เปิดทำการวันอังคาร - เสาร์ เวลา 8.30 น. - 21.00 น. (Tues-Sat 8:30am-9:00pm)

- เปิดทำการวันอาทิตย์ - จันทร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. (Sun-Mon 9:00am-5:00pm)

และที่สำคัญมากที่สุด ปิดทุกวันพฤหัสแรกของเดือน (พฤหัสแรกของเดือน)

พอกลับมาประเทศไทยก็มาหาข้อมูลเพิ่ม จนได้รู้ความจริงที่คุณจะต้องอึ้ง นั่นคือปิดพฤหัสแรกของเดือน เพราะอย่างนี้วันที่ผมไปคือพฤหัสที่ 3 ธันวาคม มันจึงปิดด้วยประการฉะนี้แล

ข้อมูลอ้างอิง : http://english.gov.taipei/ct.asp?xItem=1100571&ctNode=30280&mp=100002

เมื่อเจอว่าห้องสมุดปิดก็เดินคอตกกลับไปยังสถานีรถไฟฟ้า แต่ก็ขอชะแวบเดินสำรวจแมงดาว (สตาร์บัคส์) และแฟมิลี่มาร์ท แต่แค่สำรวจจากนั้นไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไปตันสุ่ยต่อดีกว่า


อันนี้คือบริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟฟ้าซินเป่ยโถว เอาจริง ๆ คือผมชอบสถาปัตยกรรมสถานีรถไฟฟ้าทั้งฮ่องกง ไต้หวัน เพราะแต่ละสถานีไม่ซ้ำซากจำเจ

การเดินทางไปยังตันสุ่ย

- นั่ง MRT สายสีแดงสุดสายเพื่อลงตันสุยได้เลย

ในที่สุดก็มาถึงสถานีตันสุยแล้ว ตัวอาคารต่างจากไทเปเมนสเตชั่นและซินเป่ยโถวเนื่องจากตัวอาคารเป็นอิฐ หลังคาสถานีรถไฟฟ้าตามสไตล์จีนสวยทีเดียว

มาหม่ำซาลาเปากันก่อนเดินทาง ซาลาเปานี้ร้าน Hi-Life กินเข้าไปซาลาเปาเพื่อยังชีพนิดนึง แล้วก็เดินต่อไปยังบริเวณถนนคนเดินย่านตันสุย

บรรยากาศที่ดูแบบภาพคล้ายภาพพิมฐาเลยทีเดียว

เหล่าบอยแบนด์ไต้หวัน เอ้ย เด็กนักเรียนชายไต้หวันกับชุดสีแดง กางเกงสีดำให้ความรู้สึกเท่ชะมัด แต่ก็ทำให้คิดถึงบรรยากาศคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงเลย

ถนนคนเดินในย่านตันสุยในเวลาสาย ๆ เกือบจะเที่ยงผมว่ามันก็ครึกครื้นดีนะตอนไปเห็นทุกร้านเปิดขายของกันหมดเลย เพียงแต่ว่าคนอาจจะเยอะไม่เท่าช่วงเย็นเพราะเป็นช่วงนักเรียน คนทำงานเลิกงานกันก็เป็นได้

เดินมาต้นซอยก็เจอร้านขาย Red bean cake ซึ่งร้านนอกจากจะมีไส้ถั่วแดงแล้ว ยังมีไส้คัสตาร์ท พอได้ลองกินแล้ว เอิ่ม ไส้มันจืดแฮะไม่หวานตามที่จินตนาการไว้ แต่ถ้าปริมาณให้เต็ม 10 เลยครับ ซึ่งบางคนอาจจะชอบก็ได้เพราะไม่หวานจนเกินไป (จืดอ่าสำหรับผม)

เดินไปมีแต่เด็ก จิตใจกระชุ่มกระชวยอยากย้อนเวลาไปเป็นเด็กจังไม่ต้องคิดอะไร คิดแค่เรื่องสอบยังไงไม่ให้ตก กะติดเอฟพอ แต่วันที่ไปเจอเด็กมาเดินตันสุยเยอะมาก ๆ หลายโรงเรียนเลย

อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ถ้ามาไต้หวันนอกจากไก่ทอดชิ้นใหญ่ ๆ แล้วก็คือปลาหมึก ชิ้นใหญ่มาก (ตอนนี้ได้ข่าวมีขายที่เซนทรัลเวิล์ดแล้ว แต่ไม่เคยไปกิน) ด้วยความที่ชีวิตสตรองมากดันสั่งไปว่า เอาตัวนึง (ตัวนึงราคา 160 NT) แทนที่จะสั่งเอาครึ่งตัว แต่ไม่เป็นไรแบ่งกินในสนามบินต่อ 555 ระหว่างรอก็เลยถ่ายรูปปลาหมึก เห็ดมาด้วยครับ น่ากินไหมหล่ะครับ

บรรยากาศตันสุ่ยยามที่ฟ้าปิดทำให้บรรยากาศคล้ายกับยามเย็นเลยทีเดียว ผู้คนมากมาย นักเรียน คู่รักต่างก็มาปั่นจักรยานชมวิวริมแม่น้ำ ดูแล้วสบายตาจริง ๆ ครับ แต่ตัวเรานั้นกลับโสดสนิท

มองไปสุดลูกหูลูกตาผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นสักเท่าไหร่ เลยหาที่นั่งสำหรับกินปลาหมึกก่อนดีกว่า เอ้ามากินปลาหมึกแดนไต้หวันกันดีกว่า


กินคำที่หนึ่ง กินคำที่สอง พอกินไปกินมากรามเริ่มทำงานหนัก เริ่มเมื่อยกรามแล้วเราขณะที่นั่งกินไปกินมา ก็มีคนไต้หวันสองคนน่าจะเป็นแม่ลูกขอความช่วยเหลือให้ถ่ายรูปให้ ผมเป็นคนไทยแดนสยามก็ช่วยถ่ายให้อย่างไม่เกี่ยงงอน สิ่งที่ได้รับคือ เซียะเซียะ แค่นี้ก็อิ่มยิ่งกว่ากินปลาหมึกซะอีก จากนั้นเดินชมวิวไปเรื่อย ๆ ครับ


ย่านตันสุยในเวลายามเที่ยง ๆ ก็จะเจอคู่รักปั่นจักรยาน รวมถึงเหล่านักเรียนไต้หวันก็พากันมาปั่นจักรยานหรือมาเล่นบริเวณสนามหญ้า ทำให้การกินปลาหมึกของผมเอร็ดอร่อยดูเด็กเล่นไป ปั่นจักรยานไป ตัวผมกินไปฟินเลยกับอากาศที่สบายไม่มีแดดมีแต่ลมเย็น ๆ พัดพาเท่านั้น

ระหว่างเดินเข้าไปที่สถานีรถไฟฟ้าตันสุยก็เจอคนยืนมุงอะไรสักอย่าง ตามประสาคนช่างสังเกตเลยเดินไปดูบ้าง ที่แท้ก็เป็นคุณลุงแต่งตัวเป็นอินเดียนแดงยืนเป่าฮาโมนิกานี่เอง ยืนฟังสักพักไม่ได้การแล้วรีบไปต่อที่อื่นดีกว่า

บรรยากาศแม่น้ำตันสุยจากบนสถานีรถไฟฟ้า

จากนั้นเดินทางกลับไทเปเมนสเตชั่น ระหว่างที่นั่งก็นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ แบบว่าจะไปไทเปเมนสเตชั่นดีไหม สุดท้ายขณะกำลังคิดอยู่ ก็ทำการตัดสินใจลงสถานีนี้กัน

การเดินทางไปยัง TAIPEI EXPO PARK

- นั่ง MRT สายสีแดงลงสถานี YUANSHAN สถานีเดียวกับที่จะต่อรถบัสไปอุทยานหยางหมิงซาน

Taipei expo park เป็นสวนจัดนิทรรศการตอนที่ไปมีนิทรรศการอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้เข้าไปชมครับ แต่เห็นว่าเห็นเครื่องบินใกล้ดีแค่นัน 555

พอเดินเข้ามาเข้าในตรงสเตเดียมลมพัดแรงมาก ตัวแทบจะปลิวแล้วก็สงสัยว่า ไอ้หนูที่นอนอยู่นั่นไม่หนาวหรือไงหนู

รูปแบบพาโนรามาเหมือนว่าปี 2016 ไทเปได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพเมืองแห่งออกแบบโลกประมาณนั้นครับ เดินได้แปบนึงก็ไปเดินเล่นไทเปเมนสเตชั่นต่อดีกว่าว่ามีอะไรน่าสนใจ

ไทเปเมนสเตชั่น ผมจะบอกว่าผมเดินแทบทุกวันแต่โผล่ทางออกนิไม่ซ้ำกันเลยทุกวัน ทุกเวลา หลงอยู่นั่นขนาดจำป้ายจำทิศทางได้แล้วก็ยังหลง เดินไปเดินมาก็เจอ sushi take out ชิ้นละ 10TWD แต่เสียดายไม่ได้กินเพราะอิ่มจากตันสุยพอสมควร ร้านข้าง ๆ ก็ร้านขายเบเกอรี่ ครั้งหน้าจะค่อยมารีวิวร้านในไทเปเมนสเตชั่นดีกว่าเนอะ

ขึ้นมาชั้นสองของไทเปเมนสเตชั่นก็จะเป็นศูนย์รวมร้านอาหาร ขนมต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยกัน เช่น คริสปี้ครีม สตาร์บัคส์ บลาบลาบลา

บรรยากาศบริเวณชั้น 2 ทำให้ไทเปเมนสเตชั่นเหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดย่อม ๆ เลยทีเดียว จากนั้นก็คิดเวลายังเหลือจะไปที่ไหนดีเลยตัดสินใจไปสถานีรถไฟฟ้าหนานกังดีกว่า ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ก่อนไปไต้หวันได้รับคำแนะนำจากเพจแอดมินไต้หวันว่าลองไปดูสถานีรถไฟฟ้าหนานกัง ไปดูภาพวาดของจิมมี่ เหลียวศิลปินไต้หวัน ผมก็เลยตัดสินใจไปดีกว่าเพราะจะไปที่อื่นเวลาก็เหลือน้อยแล้วครับ เพราะเครื่องบินออกเวลาเกือบสี่ทุ่ม

การเดินทางไปยัง NANGANG STATION

- นั่งรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินไปลงสถานีนานกังเลยครับ เกือบจะสุดสายสีฟ้า

สถานีรถไฟฟ้า NANGANG บางคนอาจเรียกว่า สถานีรถไฟฟ้าจิมมี เหลียวก็ได้ครับ โดยสถานีนี้แตกต่างจากสถานีอื่นตรงที่จะมีภาพวาดของจิมมี่ เหลียวให้พบเห็นได้ทั่วสถานีเลยทีเดียว ใครชอบงานศิลป์ งานอาร์ตหรือผลงานจิมมี่ เหลียวสถานที่นี้เหมาะแก่การมาชมเลยทีเดียว

บริเวณด้านนอกสถานีรถไฟฟ้าหนานกัง ส่วนฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟฟ้าก็เป็นสถานีรถไฟหนานกังครับ อาคารสวยใช้ได้ทีเดียวส่วนบริเวณรอบ ๆ สถานีก็ไม่มีอะไรมากครับ เหมือนกำลังก่อสร้างหรือรอการขยายของเมือง

เดินเล่นบริเวณสถานีรถไฟฟ้าจิมมี เหลียวเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวกลับที่พักเพื่อไปเอากระเป๋าสำหรับไปสนามบินดีกว่า เพื่อเวลาหาสถานีรถบัสสำหรับไปสนามบินด้วย

อุณหภูมิไต้หวัน ณ ไทเป ยามเย็น ๆ อุณหภูมิอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียสกับฟ้าครึม ๆ ทั้งวันและลมแรง ๆ แถมเย็นอีกต่างหาก

โอ้ ! ตึกไทเป 101 หายไปเลยเห็นเพียงแค่เงาลาง ๆ ไม่รู้เป็นอะไรข้ามสะพานลอยนี้ทีไรชอบถ่ายรูปมุมนี้ตลอดเลย จากนั้นก็ลากกระเป๋าไปไทเปเมนสเตชั่นเพื่อไปขึ้นรถบัสไปสนามบินเถาหยวน ปรากฏเดินในสถานีหลงเกือบชั่วโมง ขนาดถามเจ้าหน้าที่ผมก็ยังหลง เลยตัดสินใจว่าไม่เอาแล้วไม่เดินข้างในตึกไทเปเมนสเตชั่นแล้วเดินด้านนอกดีกว่า ปรากฏเดินด้านนอกใช้เวลาแปบเดียวเอง แต่ขึ้นมาอีกทีฟ้ามืดเลย (เอิ่ม นี่เราหลงทางนานขนาดนี้เลยหรือ) จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถบัสไปสนามบินไต้หวันเถาหยวน ซึ่งรถบัสก็ขับไปเรื่อย ๆ จนมาถึงสนามบิน ความมันส์ก็เกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าเทอร์มินอล 1 กับ 2 อยู่ตรงไหน คนขับรถบัสก็พูดภาษาจีนอย่างเดียว สักพักคนขับพูด ONE ฟังออกแค่นี้เลยตะโกนในรถครับ ONE สักพักฝรั่งสองคนที่นั่งหลังผมก็ตะโกนบอกว่า TWO ผมกับฝรั่งสบตากันแบบเอาไงกับชีวิต สักพักลุงคนขับก็บอก ONE เอ้าบอกแบบนี้ลงก็ลง

เครื่องบินที่ผมนั่งก็เป็นน้องหมี V-AIR เช่นเดิมมาถึงก็เจอป้ายหางแดง แอร์เอเชีย แต่ก่อนสายการบินนี้เคยเปิดรูทไทย -ไทเป แต่ตอนหลังก็ปิดไป ไม่รู้จะเปิดอีกทีเมื่อไหร่เพราะที่มีก็ต้องไปลงกัวลาลัมเปอร์

ตอนนี้ประตูเกทเปิดแล้ว เอ้ย ผิด ๆ เคาเตอร์เชคอินของน้องหมีวีแบร์เปิดแล้ว ก็ทำการเชคอินและชั่งน้ำหนักกระเป๋าซึ่งสนามบินไต้หวันเคร่งครัดเรื่องน้ำหนักมาก กระเป๋าไม่ว่าจะโหลดหรือ carry on ก็จะต้องนำไปชั่งตรงตราชั่งที่อยู่ข้าง ๆ เคาเตอร์ กระเป๋าขึ้นเครื่องผมผ่านฉลุยแต่ ๆ กระเป๋าสำหรับโหลดซื้อน้ำหนัก 15 kg แต่น้ำหนักเกิน 1 กิโลมองสบตาพนักงานชายว่าจะพูดอะไรไหม ปรากฏไม่พูดครับ พนักงานบอกโอเคให้เดินไปดูกระเป๋าว่าผ่านเอกซเรย์ไหมแล้วก็เข้าตม.ได้เลย สบายเลยเรา ขอบคุณพนักงานวีแอร์ด้วยนะครับ (จริง ๆ คงเป็นพนักงานทรานเอเชียเนอะ)

พอผ่านตม.เข้ามาก็จะเจอกับที่นั่งพักพร้อมที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์ข้าง ๆ ร้านสตาร์บัคครับ

เกทที่ผมได้คือเกท B2 ได้ข่าวเกือบสุดทางเดินเลยนะเนี่ย เล่นเอาเดินเหนื่อยเลยทีเดียว จะเห็นว่าสุดท่างเดินเลย นึกถึงดอนเมืองเกท 70 กว่าเลยทันทีกว่าจะเดินถึงขาลากเลยทีเดียว




บรรยากาศภายในเกท B2 จริง ๆ มันก็เกท B1 ฺฺB3 รวมกันด้วยแหละครับเกทตรงนี้ก็จะมีรูปวาดแผนที่โลกและมีล้อจักรยานรวมถึงจักรยานประดับตรงผนัง เก๋ไก๋ดีเลยทีเดียว

จากนั้นเมื่อถึงเวลาก็ได้เวลาจากลาเกาะมันเทศเวลาแห่งความสุขมันช่างหมดไปไวเสียจริง ไว้เจอกันใหม่ไต้หวันซัมเมอร์นะจ้ะ ตอนนี้ต้องกลับสู่บ้านเกิดของตัวเองซะที ซึ่งไฟล์ทที่กลับนี้คนโล่งมากตอนผมนั่งบนเครื่องไม่มีอะไรทำ เลยนั่งนับหัวคนเล่น ๆ ได้ประมาณ 20 กว่าคนเอง ที่นั่งข้าง ๆ ก็เสร็จผม อิอิ ตอนนี้ก็ขอจบรีวิวไต้หวันชุดปี 2015 เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่ไต้หวันซัมเมอร์ อิอิ

1. ไต้หวันทำให้ผมประทับใจตั้งแต่วันแรกกับความช่วยเหลือต่าง ๆ มากมาย

2. ความน่ารักและมีอัธยาศัยของพนักงานที่พักทั้งในไทเปและ SML กับการยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี หรือขอบคุณ

3. การหลงทางในไทเปเมนสเตชั่นทำให้ตัวเองได้เจอสถานที่ต่าง ๆ มากมายไม่ซ้ำในแต่ละวัน

4. ไม่รู้จะกล่าวยังไงดี รอไปรอบหน้าอีกทีแหละกันนะครับ


SEE YOU AGAIN TAIWAN!!!










































เพราะโลกนั้นกว้าง

 วันพฤหัสที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 07.50 น.

ความคิดเห็น