" น่าน....เมืองเล็กๆที่มีมนต์เสน่ห์ เต็มไปด้วยศิลปะ ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และธรรมชาติ ผมนั้งหาข้อมูลอยู่นาน....เกี่ยวกับจังหวัดน่าน เมืองเล็กๆที่เป็นเมืองรอง จะไปมีอะไร? แต่พอได้อ่านได้หาข้อมูล ยิ่งอ่านยิ่งลงลึก ยิ่งอ่านยิ่งน่าสัมผัส ทุกอย่างมันดูอบอวล ละมุนละไมอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้ค้นหาด้วยตาตัวเอง..."

สุดท้ายแล้ว "การเดินทางเท่านั้น คือคำตอบ"


เราบินด้วยตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด จากเจ้านกเหลือง มุ่งหน้าจากดอนเมือง สู่สนามบินน่านนคร เริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 9.00 น. ไปถึงสนามบินน่านนคร 10.10 น. ใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมง 10 นาที


ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ เรามีสมาชิกผู้ร่วมเดินทาง 6 คน "วัยรุ่นหนุ่มสาว ผู้รักการผจญภัย" บอกก่อนเลยว่า ถ้าคุณอยากจะเที่ยวน่านให้ครบ แนะนำมาเป็นกลุ่มจะดีที่สุด เพราะเราต้องการตัวหารค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปแต่ละที่นั้นใช้เวลา ถึงแม้ว่าระยะทางจะห่างกันไม่มาก แต่ส่วนใหญ่จะขับขึ้นเขา เช่ารถขับเองดีกว่า สำหรับผม 6 คน เป็นอะไรที่พอดีและเพอร์เฟ็ก เมื่อถึงสนามบินน่านนคร เราได้โทรหารถที่จองไว้(เบอร์ติดต่ออยู่ด่านล่างสุดนะจ๊ะ) เป็นรถฟอร์จูนเนอร์ 7 ที่นั้ง มากัน 6 คนนั้งสบาย แถมเก็บกระเป๋าได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องเก็บไว้หลังกระบะตากฝน แถมแอร์เย็นจนแม่คะนิ้งเกาะเหงือกอีกต่างหาก....ว่าแล้ว เรามาเริ่มเดินทางกันดีกว่า


แน่นอนครับ ตามความเชื่อของคนไทย ต่างบ้าน ต่างเมือง ไปไหนมาไหน ที่แรกที่ไป...ต้องเข้า "วัด" เอาฤกษ์เอาชัย ไหว้พระขอพร ทำตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ซึ่งเรามุ่งหน้าสู่ "วัดมิ่งเมือง" เป็นสถานีแรก

วัดมิ่งเมืองนั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดที่เก่าแก่ของจังหวัดน่าน ไม่เพียงแต่เป็นวัดเท่านั้น ยังมีเสาหลักเมืองให้เราได้กราบไหว้สักการะขอพรอีกด้วย มาที่เดียว ได้พรสองชั้น...

ซึ่งการกราบไหว้ศาลหลักเมืองนั้น เราจะต้องร่วมทำบุญ โดยแต่ละคนก็จะได้รับดอกไม้ธูปเทียน เครื่องบูชาเป็นผ้าผูกคนละสีกัน แล้วแต่วันเกิดของแต่ละคน โดยชุดนึง ราคาเพียงไม่กี่บาท ซึ่งเราขอพรให้เดินทางปลอดภัย ไร้อุปสรรค เพี้ยง!!! เพราะแว่วๆมาว่า ถนนหนทางแอบเสียวอยู่นิดนึง...

ศิลปะการตกแต่งไม่ว่าจะลวดลาย การปั้น หรือจิตรกรรมต่างๆ จะเป็นศิลปะเชียงแสนดั้งเดิมขนานแท้ วิจิตรบรรจง อ่อนช้อยสวยงาม สมคำร่ำลือ..

ผมยืนมองอยู่นาน...ด้วยรายละเอียดต่างๆ ความบรรจง ความปราณีต บ่งบอกถึงความตั้งใจและความใส่ใจของช่างได้อย่างชัดเจน...เวรี่ กู๊ดดดดดดดดดดดดดด


อ่าาาาาา............เที่ยงแล้วสินะ ไส้สั่นแล้ววววววว!!!!

เรามาหาของอร่อยๆ กินกันดีกว่า ได้ยินมาว่า ก๋วยเตี๋ยวไร้เทียมทาน แห่งน่านนคร ชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก เปิดGPSปุ๊บ เด้งขึ้นมาปั๊บ.....ลุยสิครับบบบบ


เมื่อถึงร้าน แป่ว!!!!! ร้านปิด น้ำตาไหลพราก แต่เราจะไม่ยอม ตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ต้องหาให้ได้

ขับวนไปสิครับ ชะแว้บบบบบ!!!!!!!!!!! เจอแล้ว ป้ายร้านแสนสะดุดตา ร้าน "ญิ๋ง-จาย ก๋วยเตี๋ยวกะลาโบราณ"

ร้านเล็กๆ ริมทาง สูตรสำเร็จของการเสี่ยงดวงแห่งความอร่อย อย่าถามครับว่าร้านอยู่ตรงไหน ขับวนไปวนมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น อากู๋..เกิ้ล ช่วยคุณได้..

ร้านตกแต่งสไตล์ล้านนา...เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของภาคเหนือ (มั้ง!!!! 555)

ที่นี้มีเมนูเยอะครับ ไม่ใช่แค่ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่งก็มี แต่เราอยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวสิ

น่าตาดูดี น่ารับประทานเลยทีเดียว รสชาติสำหรับผม ถือว่าอร่อยครับ เข้มข้น กลิ่นหอม ลูกชิ้นดี หมูนุ่ม แถมราคาถูก เอาไปเลย 8/10 คะแนน


กินอิ่มแล้วชีพจรลงเท้าพร้อมออกเดินทาง..เตรียมเสบียงกันให้พร้อม

เพราะคืนแรก...เราจะเปิดหัวด้วย "ดอยเสมอดาว"

แวะเซเว่น ร้านค้า มีแรงแบกมาเท่าไหร่แบกให้หมด ขนม มาม่า หรือว่าเครื่องดื่ม เตรียมให้พร้อม.....

เราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองน่าน มายังดอยเสมอดาวประมาน2ชั่วโมง ก่อนเข้าดอยเสมอดาว เราแวะเอาเต็นท์เช่าก่อน ซึ่งที่ผมเช่าไปเองเพราะการโทรจองกับเจ้าหน้าที่ของดอยเสมอดาว โทรติดยากมากกกก

(กอ ไก่ ล้านตัววว) เลยตัดสินใจเช่าข้างนอกไปกางเองดีกว่า...ดีกว่าไปนั้งลุ้นหน้างาน


เอาเต็นท์เสร็จ...ก่อนถึงดอยเสมอดาว ก็มีที่เที่ยวให้แวะตลอดทาง แต่เราเลือกแวะ "เสาดินนาน้อย" สถานที่ยอดฮิต ติดอันดับ อินสตาแกรม ใครมาน่านต้องแวะ...แล้วเราจะพลาดได้ไง

เสียค่าเข้าคนละ25บาท แต่เราเสียครั้งเดียว เราสามารถเที่ยวอุทยานแถวนั้นได้หมดเลย เหมือนราคาเหมาๆ เพียงแค่แสดงบัตร...

ตามชื่อสถานที่เลยครับ เสาดินนาน้อย ภาพที่เห็นก็คือ ที่กว้างโล่งๆ ที่เต็มไปด้วยเสาดินที่โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด เป็นอีกหนึ่งความอะเมซิ่งของธรรมชาติ อารมณ์คล้ายๆหินย้อยในถ้ำแต่อันนี้ย้อยขึ้นฟ้า

แสงดี เงาได้ เลือกมุมได้ตามสบาย..

บางพื้นที่ก็เป็นหลุมเป็นบ่อ พอให้ลงไปยืนถ่ายภาพได้...

พลาดไม่ได้กับแอ็คชั่นยอดฮิต....อารมณ์เหมือนลอยอยู่บนดาวอังคาร

หรือจะเป็นมุมจูราสิคปาร์ค อารมณ์เหมือนมาสำรวจฟอสซิลไดโนเสาร์ก็ยังได้

ห๊ะ....อะไรนะ ใครเรียก!!!!

พอยังเธอ...แดดมันร้อนนนนนนนนน


เดินถ่ายกันไปเรื่อย อ้าว!!!! นึกขึ้นได้ จะเย็นแล้ว เดี๋ยวไม่ทันกางเต็นท์ รีบเร่งเดี๋ยวจะไม่ได้มุมเทพ

ขับเลยมาไม่กี่ร้อยเมตร ก็ถึงที่หมายคืนแรกของเรา "ดาวเสมอดอย เอ้ย!! ดอยเสมอดาว"

คนน้อย...คือลาภอันประเสริฐ ที่เราเลือกที่นี้เป็นคืนแรก เพราะวันที่เราไปมันตรงกับวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันธรรมดา ซึ่งคนไม่น่าจะเยอะซักเท่าไหร่ และก็เป็นอย่างที่เราคิดเอาไว้..ไม่วุ่นวาย จอแจ ดีเยี่ยม

เดินเล่น หาเหลี่ยมหามุมกางเต็นท์กันไปเรื่อย มุมด้านหลังซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ไม่ใช่ของอุทยาน แต่เป็นที่ของชาวบ้านและผู้ประกอบการต่างๆ มีหลายเจ้าให้เลือกใช้บริการ ผมก็พึ่งมารู้ที่นี่เหมือนกัน...

วิวด้านหลังอีกเช่นกัน ฟ้าโปร่ง มีหมอกนิดๆยามเย็น พอให้มองเห็น

เดินกลับมาด้านหน้า เพื่อหาจุดกางเต็นท์ต่อ จนมาเจอวิวช่องเขา แถมพื้นก็เรียบ พระอาทิตย์ขึ้นฝั่งตรงข้าม ตอนเช้าจะได้ไม่ร้อน นอนได้ยาวๆ เหมาะสำหรับกางเต็นท์พอดี..ภารกิจกางเต็นท์ เริ่ม!!!

ชะแว็บ!!!...กางเรียบร้อยราวกับมืออาชีพ เต็นท์ตึงเปรี้ยะ อยากจะบอกว่า เต็นท์ที่เช่ามาดีมาก เป็นเต็นท์ใหญ่นอนได้4คน แต่เรานอนแค่2คนต่อเต็นท์ เหยียดแข้ง เหยียดขาสบาย ตีลังกาก็ยังได้ อุปกรณ์ครบ เต็นท์ใหม่ ไม่เหม็นไม่อับชื้น อุปกรณ์เครื่องนอนก็ครบครัน ราคาเช่าเพียง วันละ 350 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากๆ(ราคาแพงกว่าอุทยานไม่กี่สิบบาท) แถมเลือกจุดกางได้เอง เหมาะสำหรับคนที่เช่ารถใหญ่แบบพวกเรานะครับ เพราะตอนเอามามันพะรุงพะรังมาก รัดเชือกมากับแล็คหลังคา (เบอร์เช่าเต็นท์อยู่ด้านล่าง)

กางเต็นท์ของเราเสร็จ ก็ขอเดินดูเต็นท์ของทางอุทยานบ้าง ซึ่งเต็นท์ดีเช่นกันครับ ราคาถูกกว่าเช่าข้างนอกนิดหน่อย แถมไม่ต้องกางเอง เหมาะสำหรับคนที่ไม่ถนัดกางเต็นท์ หรือไม่สะดวกในการขน และยังดวงดีในการโทรจอง(โทรติดยากมาก ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการเยอะ) แนะนำเลยว่าดีไม่ต่างกัน เพียงแต่จะถูกจัดเป็นโซนให้นอนติดๆกัน ซึ่งไม่เหมาะกับเรา สายบันเทิงยิ่งนัก...

ถึงเวลาเดินขึ้นมาชมวิวด้านบนบ้าง อากาศสดชื่น เลยยืนฟอกปอด..

ด้านบนมีจุดให้นั้งชมวิว โคตรชิวบอกเลย ลมเย็นปะทะหน้า ข้างหน้าเป็นเนินเขาสลับกันไปมาโล่งตา ดูแล้วสบายใจ คลายความเหนื่อยล้า หลังจากที่นั้งรถฝ่าฟันกันมาถึง 2 ชั่วโมง

มีแม่น้ำตัดผ่านแนวเขา แสดงถึงความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ..

แดดอ่อนๆ ยามเย็น สายลมที่รายล้อมไปรอบตัว พร้อมกับแนวเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา...

เดินเล่นกันซักพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มตก แยกย้ายกันไปอาบน้ำ บอกก่อนเลยว่าที่นี่เป็นห้องน้ำรวม แยกชาย-หญิง ห้องน้ำดีมาก สะอาด รองรับนักท่องเที่ยวได้ดีเลยทีเดียว น้ำไหลแรง อาบได้อย่างสบายใจหายห่วง แต่อย่าใจลอย สงสารคนต่อคิว...แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมชมดาว แต่ลืมซะสนิท ว่ายังไม่ได้ทานข้าว ที่นี่ก็มีบริการจากร้านอาหารของชาวบ้าน เบอร์โทรจะอยู่ตรงหน้าที่ทำการ ป้ายเรียงรายเต็มไปหมด ชอบเจ้าไหนสั่งเอา แล้วแต่ดวงว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย และอีกอย่างแนะนำให้พกเพาเวอร์แบ็งค์มา เพราะจุดชาร์ติมือถือคนจะเยอะมาก ขนาดผมไปตอนคนน้อย ยังแย่งกันชาร์ต ว่าแล้วสั่งอาหาร...แล้วขึ้นไปดูดาวรอดีกว่า

ข้อดีของการเช่าเต็นท์มาเองคือ พี่เจ้าของตามขึ้นมาถ่ายรูปให้ เป็นบริการเสริมที่ไม่คิดเงินเพิ่ม ถือว่าเจ๋งมากๆ เอาใจลูกค้าสุดๆ เวรี่...กู๊ดดดดดด มาดอยเสมอดาว ไม่มีรูปคู่กับดาวก็กะไรอยู่เนอะ ฮ่าๆ

กินลมชมดาวเสร็จ ร้านข้าวโทรมาพอดี ท้องร้องโครกคราก ลงไปกินข้าวดีกว่าไม่ไหวแล้ว....

กินข้าวเคียงคู่กับดาว เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกว่าดอยเสมอดาว เพราะมันมืดจนเห็นดาวแบบชัดทั้งหมด แบบพาโนรามา คือมองไปทางไหนก็ดาว นั้นก็ดาว โน้นก็ดาว กินข้าวไปเพลินๆ กินเสร็จก็นั้งบ้าง นอนดูดาวบ้าง อากาศก็เย็นพอให้สบายตัว ฟินและชิวระดับ 10 คะแนนเต็มเลยทีเดียว

ถึงเวลาปาร์ตี้เล็กๆ เครื่องดื่มที่เตรียมมา.....ได้เวลาทำงาน เวลามีน้อย รีบกินรีบนอน

ที่นี่มีกฏสากลที่เหมือนๆกับทุกที่ คือ ห้ามส่งเสียงดังหลังสี่ทุ่ม เราก็เปิดเพลง จิบเบาๆ หลังสี่ทุ่มก็เริ่มทะยอยนอน นั้งคุยกันได้ต่อซักพักก็นอนดีกว่า ยังต้องลุยต่ออีกหลายที่...

ราตรีนี้มีแต่ดาวเท่านั้น ที่คอยเป็นยามให้กับเรา ราตรีสวัสดิ์..


เช้าแล้วจ้าาาาา....นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส

ปลุกตัวเองให้ตื่น เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอก ซึ่งหวังว่าขึ้นไปบนดอยน่าจะมี เพราะอากาศชื้นนิดๆ พอให้มีความหวัง แถมเต็นท์ที่เรานอน มีน้ำค้างเกาะอยู่มาก ข้างบนต้องมีหมอกแน่ๆ

ว้าวววววววว!!!! คือคำแรกที่อุทานออกมา เบื้องหน้าของเราคือทะเลหมอก ทะเลหมอกหนามาก ดูนุ่มนิ่มน่ากิน

เหมือนขนมปุยนุ่น ไม่ผิดหวังที่ตื่นเช้า....เพื่อขึ้นมาดู

หมอกปกคลุมทั่วทุกแนวเขา...และยังไม่มีท่าทีว่าจะจางลง

เย็นๆ คูลๆ แบบบอกไม่ถูก สูดอากาศให้เต็มปอดชาร์ตแบทให้กับตัวเองให้เต็มที่

พระอาทิตย์เริ่มทอแสง..เพื่อให้เราเตรียมพร้อมกับวันใหม่

นั้งลุ้นไม่กี่นาที...พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมา เซย์ ฮัลโหล...

แสงอุ่นๆ ทอดผ่านกายให้คลายลมหนาว...ได้กาแฟซักแก้วคงจะดี

ดอกหญ้าชูช่อ...ขึ้นรอรับอรุณแรกของวัน

มองไปทางไหนก็เหมือนปลุกพลังใจให้กับตนเอง..

ผาหัวสิงห์ อีกหนึ่งแลนด์มากที่อยู่ไกล้ๆกัน ยื่นเด่นออกมาจากหน้าผา ให้ทุกคนได้ยลโฉม(ต้องมีจินตนาการนิดนึงนะ ว่าคล้ายกับ หัวสิงห์)


ชมวิวเสร็จก็ถึงเวลาลงมาอาบน้ำ ระหว่างที่รอแต่ละคนอาบน้ำ เราก็สั่งอาหารจากร้านด่านล่างให้มาส่งเหมือนเคย รองท้องกันซักนิด เพราะเราไม่รู้ว่า ข้างหน้าจะไปเจออะไร กินไว้ก่อน อุ่นใจ..อิ่มท้อง และแน่นอนเมนูยอดฮิต คงไม่พ้น ไข่กระทะ สิ่งหนึ่งที่สังเกตุคือ ที่นี่จะใช่กล่องกระดาษชานอ้อยแทบจะ100เปร์เซนต์ ย่อยสลายง่าย เป็นมิตรกับธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ปรบมือให้กับทุกภาคส่วนเลยครับ มีจิตสำนึกรักบ้านเกิดที่เข้มข้นจริงๆ


กินอิ่ม...อาบน้ำสดชื่นเก็บกระเป๋า เก็บเต็นท์ พร้อมเดินทาง...

จุดหมายปลายทางของวันนี้คือ "อาโป เดอ มาง" นั้นเอง ซึ่งเราจะต้องวิ่งกลับเข้าไปในตัวเมืองและขับเข้าเส้นสันติสุข เข้าบ่อเกลือ....

ก่อนอื่นก็แวะคืนเต็นท์ แล้วเราก็วิ่งเข้าตัวเมือง ระหว่างทางก็แวะไหว้พระที่ "วัดพระธาตุเขาน้อย" อีกหนึ่งแลนด์มากที่สำคัญอีกหนึ่งที่ ว่ากันว่า ที่นี่....เป็นวัดที่วิวสวยที่สุด

จอดรถด่านล้างเมื่อเดินขึ้นมาถึงบริเวณวัดก็จะเห็น รูปเหมือนองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งเด่นเป็นสง่า ให้ทุกท่านได้กราบไหว้เคารพบูชาขอพรกันเป็นที่แรก..

เดินถัดมาอีกนิด ก็จะเป็นพระธาตุเขาน้อย พระธาตุเก่าแก่ที่อยู่คู่กับจังหวัดน่านมาอย่างช้านาน เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ด้านในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรด้วยเช่นกัน...

พระอุโบสถเก่าแก่ ก็เป็นอีกจุดนึงที่คนนิยมมากราบไหว้ขอพร..


ภายในพระอุโบสถ มีพระประธานตั้งอยู่ตรงกลาง องค์สีขาวห่มจีวรสีทอง ไม่แน่ใจเรื่องที่มาที่ไปเหมือนกัน

ไหว้พระขอพรเสร็จ....เดินออกมาด้านนอก ไม่ว่าจะมุมไหนๆของวัดของจะต้องมีโคมรังมดส้มตามแบบฉบับของล้านนา...แขวนห้อยเรียงรายตกแต่งประดับประดา อยู่เต็มไปหมด

การแขวนโคมของภาคเหนือนั้น ก็เพื่อบูชาไฟ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เราเคารพนับถือ

เสมือนให้ไฟนั้น ช่วยนำทางส่องแสงสว่างให้กับชีวิต และให้โคมนั้นช่วยป้องกันมิให้ไฟในโคมนั้นดับลง

เปรียบดั่งมีสิ่งมาคุ้มครองผู้แขวนบูชานั่นเอง...นานๆทีจะมีสาระ

"พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน" ซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดชมวิวแบบพาโนรามา ซึ่งสามารถมองเห็นตัวเมืองน่านได้อย่างชัดเจนแบบรอบทิศทาง บอกตรงๆเลยว่า สวยมาก สวยจริงๆ ครับ


องค์พระท่าน เมื่อโดนแดดสีทองอร่าม เมื่อตัดกับวิวท้องฟ้า สุดจะบรรยายครับ ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ พอมองออกไปแล้วรู้สึกโล่งอก สบายใจแบบบอกไม่ถูก...

องค์พระท่านเงางามมาก สังเกตุดูได้เลยครับ ว่า องค์พระท่าน เงาจนสะท้อนกับก้อนเมฆ

วิวเมืองน่านนคร มองไปสบายตา อย่างน้อยรถลา ก็ไม่วุ่นวายจอแจอย่างในที่ๆเรามา เดินเล่นกันอยู่ซักพัก ไข่กะทะเมื่อเช้าเริ่มละลายจางหายไป เข้าเมืองไปหาข้าวกินกันดีกว่า...

ไม่มีอะไร แค่อยากจะบอกว่า ใบไม้แห้งตรงลานจอดรถมันใหญ่ดี วิถีฮิปสเตอร์เลยต้องมา..


ด้วยความที่ว่า อยากกินอาหารพื้นเมือง สองสิ่งที่นึกถึงไม่น้ำเงี้ยวก็ข้าวซอย เพราะเป็นคนที่ชอบกินมาก เรียกว่าเลิฟเลยก็ว่าได้ หาร้านกันอยู่นาน ด้วยความบังเอิญขับผ่านร้าน "ป้าวันดาข้าวแกง"รถจอดอยู่เพียบ ซึ่งเราขับรถเลยร้านไปแล้วด้วยซ้ำ ความที่คาใจและสงสัยในความอร่อย ถึงคิวยาวแค่ไหนก็จะรอ อยากรู้ว่าเด็ดตรงไหน ทำไมคนถึงเยอะ...วนรถกลับมาที่ร้านทันที


คิดถูกแล้วครับ ไม่เสียใจเลยที่วนกลับมา เพราะว่าได้กินทั้งสองอย่างเลย แถมมีอาหารพื้นเมืองให้เลือกอีกเพียบ บอกเลยว่า อร่อย (สำหรับผม) เบิ้ลน้ำเงี้ยวไปสอง ข้าวซอยอีกหนึ่ง สบายใจ


กินอิ่มแล้วพร้อมออกเดินทาง...เรามุ่งหน้าสู่ตำบลบ่อเกลือ ซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือแห่งเดียวในโลก ที่ผลิตเกลือบนภูเขา ได้ยินครั้งแรก ผมถึงกับร้อง ฮะ!!! ผลิตเกลือบนเขา มันจะเป็นไปได้หรอ ส่วนใหญ่เห็นแต่ทะเล.....อิส สะ แมจิก

และแล้วเราก็มาถึง "บ้านบ่อเกลือ" ใช้เวลาการเดินทางจากตัวเมือง ลัดเลาะภูเขาที่คดเคี้ยว เป็นเวลา2ชั่วโมงนิดๆ

บอกเลยว่าใครเมารถพกยามาด้วย เส้นทางไม่ลำบาก แต่คดเคี้ยวใช้ได้...โค้งๆพออาเจียน

ลงมาถึงก็ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก....(ว่าแล้ว..ว่าต้องเล่นมุขนี้) ยืดเส้นยืดสายจากการนั้งรถเป็นเวลานาน

บ้านแต่ละหลังถูกปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่เป็นส่วนใหญ่ มุงด้วยหลังคาจาก คงไว้ซึ่งวิถีชีวิตดั่งเดิม

บรรยากาศดูคลาสสิคน่าหลงใหล...มองไปทางไหนก็มีแต่สีน้ำตาล

ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะทำธุกกิจค้าขายเกลือเป็นหลักทั้งเกลือสำหรับรับประทาน แปรรูปเป็นเกลือสปาขัดผิว แล้วแต่คนจะถนัด ซึ่งแต่ละบ้าน ก็จะมีเตาดินเหนียว ก่อขึ่นมาแล้วนำกะทะมาวางด้านบน นำน้ำจากบ่อเกลือมาใส่ ต้มจนตกตะกอน ต้มจนกลายเป็นเกลือ แล้วค่อยตักขึ้น ซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมตั้งแต่สมัยนู้นนนนนน!!!

คุณลุงเจ้าของบ้านเล่าให้ฟังประวัติความเป็นมาอยู่นาน ฟังไปก็ชิมไป แต่เกลือที่นี่ไม่เค็มเกินไปนะครับ เค็มกำลังดี ถ้าถามความเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่มกับผม บอกเลยว่ากูเกิ้ลง่ายกว่า เพราะมันยาวมากกกก เอามาลงในนี้ อ่านไปหลับไปกันพอดี...

ชาวบ้านยังคงดูแลรักษาบ่อน้ำเกลือ สืบทอดวิธีการต้มเกลือแบบโบราณ ประเพณีแบบดั้งเดิมไว้ มันเป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ ทุกคนรู้หน้าที่ของตน สำนึกรักในบ้านเกิด อย่างที่ผมทิ้งท้ายไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า คนที่นี่เค้ามีวัฒนธรรมและการปฎิบัติที่เคร่งครัดจริงๆ

เดินลัดเลาะตามบ้าน เข้าออกได้อย่างสบาย ชาวบ้านที่นี่เค้าใจดี อยากถ่ายตรงไหนก็ให้ถ่าย แต่ขออย่างเดียวอย่าซนไปหยิบจับโยกย้ายของก็พอ

บ่อต้มเกลือเก่า....กลายเป็นห้องเก็บฟืนไปซะแล้ว

แสงแดดกับไม้ไผ่ เป็นอะไรที่น่าหลงใหลอีกเช่นกัน

ถึงแดดจะแรง...แต่ก็ไม่ร้อนเลยซักนิด เพราะที่นี่อยู่บนเขา อากาศเย็น

ไม่รู้..เห็นฮิปสเตอร์เค้าทำกัน เลยเอาบ้าง ฮ่าๆ

แสงแดดที่แยงตา หรือจะสู้สายตาที่แยงใจ (เพื่อ!!!)

เดินลัดเลาะจนถึงบ่อเกลือโบราณ ซึ่งตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน..

มีบันไดให้ขึ้นไปดูด้านบนได้ เน้นย้ำนะครับว่า แค่สุดบันไดก็พอนะครับ ไม่ต้องถึงกับขนาดปีนป่ายขึ้นไปดู ขึ้นได้เท่าที่เค้าให้ขึ้นก็พอครับ

บ่อลึกลงไปพอสมควร ไม่แนะนำให้เด็กๆขึ้นไปดูตามลำพัง

หลังหมู่บ้านมีลำธารอยู่ ใสแจ๋วเห็นตัวปลา แหวกว่ายกันเพลินตาเต็มไปหมด ใครจะให้อาหารก็ถุงละ10บาท

ดูปลาแถมได้บุญอีกต่างหาก

ลำธารกับนางแบบ มักเป็นของคู่กัน...


ออกจากหมู่บ้านขับเลยมานิดนึงก็ถึงที่พัก "อาโป เดอ มาง" ยอมรับตามตรงว่า จริงๆแล้วเราอยากพักกันที่อุ่นไอมาง แต่โทรจองยากมาก ยากสุดๆ หนักกว่าอุทยานดอยเสมอดาวอีก แอบเสียใจเล็กน้อย เพราะคิดไว้มาตั้งหลายปีแล้ว..ว่าจะมาให้ได้ สุดท้ายตัดใจ เลือก อาโป เดอ มาง ดีกว่า ไม่ไหวจะแข่งโทรจอง...

ขับมาต้องสังเกตุนิดนึง เพราะทางเข้ากลมกลืนกับธรรมชาติมาก แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติเลยด้วยซ้ำ...ชอบการตกแต่งและไอเดีย เฉียบ!!!

ใช้เวลาในการเดินซักพัก ทางลงค่อนข้างชัน ใช้พลังขาอย่างมาก เล่นซะบ่นกันแทบทุกราย สุดท้าย อ่าว!!! มีลานจอดด้านล่าง แล้วทำไมไม่บอก ทางเข้าลานจอดด้านล่างต้องเข้ามาทางซอยตรงข้ามเยี่องๆ บ้านบ่อเกลือที่เราไปเที่ยวมา จะมีทางลัดเลาะพามา ถามชาวบ้านแถวนั้นเอาก็ได้ จอดเสร็จข้ามสะพานไม้ถึงที่พักเลย ไม่ต้องเดินลงเขา เชื่อผมเถอะว่ามันเมื่อยขาจริงๆ

เก้าอี้ริมธาร รอคอยการมานั้งของใครซักคนนึง...

เรื่องห้องพักไว้ทีหลัง แสงจะหมดแล้ว เรื่องรูปต้องมาก่อน ฮ่าๆ

แดดดี นางแบบได้ อีกเช่นเคย...

เรานอนพักเต็นท์กระโจมใหญ่ วิวหน้าห้องมันก็จะชิวๆ ประมาณนี้..

ภูเขา ต้นไม้ สายน้ำ...

อาบน้ำเรียบร้อย...ทางที่พักมีบริการบาบีคิวให้ แถมมากับแพ็คเกจห้องพัก ถามว่าอิ่มไม๊....อิ่มแน่นอนครับ

แต่ถ้าใครไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้ และยังมีบริการอีกหลายเมนูครับมานี่ไม่ต้องห่วง ไม่อดแน่นอน

ได้เวลาก็ขึ้นเตาเลยจ้าาาา....กลิ่นหอมคลุ้งไปทั่ว บาบีคิวอร่อยมาก ผมยืนยัน

*ทริกเล็กๆ : ตรงสามแยกที่เข้าบ้านบ่อเกลือ มีร้านไก่ย่างห้าดาว ถ้าอยากประหยัด ซื้อติดมือมาซักตัว..

กินเสร็จเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืน กับอากาศที่เย็นสบายตัวกันดีกว่า...

สะพานไม้ไผ่ ทอดยาวเหนือลำธาร จะนั้งเล่นเอาเท้าแช่น้ำก็ชิวไปอีกแบบ..

บ้านแต่ละหลังก็จะมีที่...ให้นั้งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ

หรือจะนั้งริมลำธาร จิบเบียร์เบาๆ ฟังเพลงคลอๆ

บรรยากาศแบบบ้านๆ ท่ามกลางธรรมชาติ

ใครจะพักแบบบ้านเป็นหลัง ที่นี่ก็มีให้บริการ

มุมปิ้งย่าง...ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องครัว

เต็นท์ที่เราพัก...ใหญ่มาก กว้างขวาง นอนได้สบาย

ลานจอดรถที่เราเดินลงมาตอนแรก สูงพอสมควร....

เดินจนย่อย ได้เวลาเข้านอนแล้ว เก็บแรงและพักผ่อน เพื่อเดินทางต่อในวันใหม่ ฝันดีราตรีสวัสดิ์...


เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น....ตื่นเช้าขึ้นมารอดูพระอาทิตย์ อากาศสดชื่นเกินคำบรรยาย

หมอกลงหนา...เต็มไปหมด ไหนหล่ะพระอาทิตย์ที่เฝ้ารอ..

ที่พักข้างๆ น่าจะกำลังสร้างใหม่ น่าสนใจไม่แพ้กัน

ต้นไม้ ขุนเขา สายหมอก โอบกอดเราอยู่

ยืนมองแล้วรู้สึกเย็นสบายตา...สดชื่น

ใครจะลงน้ำก็ลง...อากาศอย่างนี้มีไข้ขึ้นแน่นอน

ซึมซับบรรยากาศ สูดอากาศให้เต็มปอด...สมองโล่งปลอดโปร่งดีจัง ฟังเสียงน้ำไหล นกร้อง ชาร์ตแบทให้ร่างกาย

เดินเล่นเสร็จก็กลับมาเก็บกระเป๋า...พร้อมออกเดินทางไปยัง...จุดหมายใหม่

ก่อนกินข้าว...ก็เก็บบรรยากาศอีกซักหน่อย

มื้อเช้าแบบบ้านๆ แต่แฝงไปด้วยความอร่อย จัดมาแบบปิ่นโต พร้อมผลไม้ รองท้องได้เป็นอย่างดี เพิ่มพลังก่อนออกเดินทาง

ขนาดคนยังต้องกินอาหาร...วัวของชาวบ้านก็ออกมาหากินเหมือนกัน บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกันและกัน เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกัน

หมอกจางลอยหายไป ทิ้งไว้แต่น้ำค้างที่ปลายหญ้า แสงแรกของวันสร้างความสดชื่นแจ่มใส

น้ำใสไหลเย็น เสียดายที่อากาศเย็นไปนิด ไม่งั้นได้ลงไปว่ายแล้ว

แอ็คๆ คูลๆ ที่สะพานไม้...

ตรงลานจอดรถด้านล่างก็มีชิงช้าให้นั้งเล่น...

ก่อนกลับก็แวะเข้าบ้านบ่อเกลืออีกซักรอบ แวะซื้อของฝาก ช่วยอุดหนุนชาวบ้าน

ของขึ้นชื่อ แน่นอนครับ ต้องเป็นเกลือแน่นอน ราคาไม่แพง เกลือขัดผิดและเกลือสปาก็ดีไม่แพ้กัน แต่ถ้ามาแล้วต้องลองชิมขนมหวาน ไม่รู้ชื่อเรียกเหมือนกัน อร่อย แถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ขนมกล้วย ร้อนๆ เพิ่งออกจากเตา โรยด้วยมะพร้าว หอมหวาน อร่อย

รวมมิตรธัญพืชต่างๆ ไม่รู้ชื่อเรียกว่าอะไร จะมีข้าวบาเล่ห์ งาดำ มันม่วง และอื่นๆ แล้วนำมาโรยด้วยน้ำตาล ท็อปปิ้งด้วยมะพร้าว อร่อยมากกกก ข้าวบาเลห์นี่สุดยอดเลย กลิ่นหอม กรึบๆ เคี้ยวเพลิน มีร้านเดียวในบ้านบ่อเกลือหาได้ไม่ยากครับ...

ซื้อของฝาก....กินอิ่ม ก็พร้อมออกเดินทางต่อ...ขับเลยหมู่บ้าน มุ่งสู่ตำบลศิลาเพชร เลยมาไม่ไกลมากนัก ขับผ่านอุ่นไอมาง(ไม่ลงไปดูด้วย เพราะงอลที่จองยาก) ตามทางไปเรื่อยๆ แวะ "น้ำตกสะปัน" อีกหนึ่งน้ำตกชื่อดังของจังหวัดน่าน ที่ยังคงความชุ่มช่ำ ธรรมชาติที่แสนอุดมสมบูรณ์

เฟิร์นป่า(มั้ง) สะท้อนกับแสงอ่อนๆ ของแดด มันทำให้รู้สึกอบอุ่น ในยามที่อากาศหนาวยังไงไม่รู้

หลงดีใจว่า...หึ้ย!!! ทำไมมันถึงไวจัง ที่ไหนได้ ชั้นแรกเท่านั้น

อารมณ์แบบป่าดิบชื้นในญี่ปุ่น ฮ่าๆ

ระหว่างทางก็จะมีมอสขึ้นตลอดทาง บ่งบอกถึงความชุ่มชื่น

โขดหินที่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเป็นธารน้ำไหลเบาๆ

ต้นไม้รายล้อม...ธรรมชาติบำบัด

เดินจนสุดทาง...น้ำตกสะปันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว

ทางค่อนข้างที่จะเดินยากนิดๆ เพราะความชื้นทำให้พื้นลื่น ต้องมีสติในการเดินทุกย่างก้าว

อากาศเย็น ไอน้ำจากน้ำตกกระจายมาปะทะหน้า สดชื่นสุดๆ

ทุกอย่างเขียวขจีไปหมด ความเหนื่อยล้าที่แบกมาจากรุงเทพหายไปหมดสิ้น

ขอภาพคู่ซักทีนะจ๊ะพี่จ๋า...(นานๆที จะเป็นคนโดนถ่ายบ้าง)

นั้งพักจนหายเหนื่อย...ระหว่างทางเราก็เดินดูธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย

ใบไม้แปลกๆ มีให้เราพบเห็นได้ตลอดทาง อารมณ์คล้ายๆกับ จูราสิคปาร์ค

จริงๆแล้วความสุขไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง...มันอยู่ระหว่างทางมากกว่า

ต้นไม้ ให้ชีวิต...


ซึมซับกับธรรมชาติกันอย่างเต็มที ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ ขับรถมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอ "ถนนลอยฟ้า" ที่กำลังดังอยู่ในโลกโซเชี่ยล ที่ใครไปใครมาก็ต้องแวะถ่ายรูป...

ต้นไม้บังมิดปิดสองข้างทางไปหมดแล้ว...หรือว่า ผมมาผิดที่ก็ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะใช่

ถ้าถนนมันไม่ลอย..เราก็ลอยเองซะเลย จะไปยากอะไรเนอะ..

เอาจริงๆผมมองว่า..ที่มันสวยเนี้ย เพราะว่าใช้โดรนถ่ายจากมุมท็อป มันจะเห็นแนวเขาที่สลับไปมา ถนนที่คดเคี้ยวสวยงามมากกว่า ถ้าระดับภาคพื้น ผมมองว่าก็เป็นถนนที่อยู่บนเขาทั่วไป

*ขอเตือนซักนิด ใครที่จะถ่ายรูปก็ระวังกันด้วยนะครับ รถมาเร็ว มีความอันตราย แนะนำว่า ถ้าช่วงเทศกาลอย่าลงไปถ่ายจะดีกว่า ดูด้วยตาก็พอครับ


ขับรถมาได้ซักพัก เราก็มาถึง อ.ปัว หาร้านฝากท้องกันซักนิด ก่อนที่เราจะเข้าที่พัก...เลยแวะร้าน "ปลาร้าหอม ณ ปัว แซ่บนัวผัวหลง"

ไม่มีอะไรมากเลยครับ แค่ชอบสโลแกน เลยแวะ...ไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง แต่พอเข้ามาในร้านก็แอบๆเซงนิดนึง ที่พนักงานร้านไม่ค่อยคุยกัน อีกคนบอกโต๊ะจอง อีกคนบอกนั้งได้ พอมาอีกคนก็บอกมีคนจอง เราเลยไม่รู้ว่ายังไงแน่ ยังไงก็คุยๆกันก่อนะครับ ดีที่เราใจเย็นพอจะยืนฟังเค้าเถียงกัน...

เราสั่งมาหลายเมนูมาก แต่ตัวชูโรงต้องยกนิ้วให้กับ แกงฮังเล เลยครับ มาเหนือทั้งทีนึกว่าจะหากินง่าย หากินยากมาก แถมร้านทำได้ออกมาอร่อยจนหายอยากเลย คือกลมกล่อม หอมหวาน หมูนุ่ม อร่อยเวรี่กู๊ดด..

ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้ว ว่าปลาร้าหอม หอมจริงๆ หอมมากกก นัว แซ่บ อร่อย

ต้มแซ่บกระดูกอ่อนก็เป็นอีกหนึ่งเมนู อากาศหนาวๆ ซดไปโล่งคอเลยทีเดียวเชียว

คาวเสร็จ มาตบหวานด้วยชาพีชร้านข้างๆ ชื่อร้าน "ฮ่อมดอย" หอมหวาน เหมือนเอาพีชมาปาหน้า อร่อยมากครับ มีหลากหลาย กาแฟก็เยี่ยมเช่นกัน...


อิ่มแล้วเตรียมเสบียงให้พร้อม....ถึงเวลาเข้าที่พักซักที ขับรถมาตามทางตำบลศิลาเพชร คืนนี้เราจะนอนกันที่

"โรงเรียนชาวนา ต.ศิลาเพชร"

ทุ่งนาที่เขียวขจี...ออกช่อ เต็มรวง รอคอยการมาถึงของเรา..

เราได้เรือน การะเกด นอนได้ 6ท่าน มีสองชั้น หลังใหญ่ ติดริมนาพอดี เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ

ห้องด่านล่าง เปิดโล่ง มองเห็นทุ่งนา เหมือนว่านอนอยู่ในทุ่งนาเลยด้วยซ้ำ ใกล้มากๆ

ห้องใต้หลังคาก็ชิวไม่แพ้กัน มองออกไปก็เป็นวิวทุ่งนา

มีระเบียงให้นั้งเล่นยื่นขา....มองเห็นทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตา

เปิดตัวอ่างจากูชี่แบบบ้านๆ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ...ถือว่าเป็นจุดเด่นของที่นี่เลยครับ อาบน้ำริมทุ่งนา..มุมมองต้นข้าวแบบพาโนรามา เป็นอะไรที่..ที่สุดของแจ้.

แต่วันนี้กว่าจะเดินชมห้อง กว่าจะจัดของเสร็จก็เย็นแล้ว...เอาเป็นว่าแค่เดินเล่น ชมทุ่งนาดีกว่า...ที่นี่ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็จะมีทุ่งนารายล้อมตัวเราเต็มไปหมด...เจ้าดอกไม้มารอรับเราที่หน้าประตู

บ้านแต่ละหลังก็จะมีชื่อเรียกและการออกแบบที่ต่างกัน มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมเก่าแก่กับวิถีชีวิตพื้นบ้านของชาวน่าน ผสมผสานกันอยู่ อย่างลงตัว...

สะพานไม้...ยอดฮิต ของที่นี่

เสื้อผ้า..เข้ากันกับบรรยากาศได้ดีจริงๆ ใครว่าเรามาซั่วๆ มีตรีมนะจ๊ะ 555

นั้งโง่ๆ หยุดคิดแล้วปล่อยวาง ดูต้นข้าว ฟังเสียงนก....ก็สบายใจดี

ถึงเวลาแก็งค์ "แฟนฉัน" ออกอาละวาด ใครชอบปั่นจักรยาน ก็มีให้บริการ ค่าเช่าก็แล้วแต่จะให้...ให้มากให้น้อยไม่เกี่ยง ถือว่าเป็นค่าบำรุงรักษา..ใช้แล้วเก็บเข้าที่ด้วยเด้อ

อ้ายคนจน..จำต้องทน ปั่นรถถีบ

จะไปจีบอีน้องคนงาม....

พระอาทิตย์ลาลับ...แล้วพรุ่งนี้พบกันใหม่

ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม แสงไฟอ่อนๆ เริ่มส่องสว่างให้เห็น.

กลิ่นลมหนาวพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นทุ่งนา...

เรือนการะเกดปลายนาในยามดึก...ก็สวยไปอีกแบบ

ท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นใจ..ให้ดวงดาวได้ส่องแสง พร้อมกับส่งตัวเราเข้านอน เพื่อชาร์ตพลังแล้วลุยในวันใหม่..

เสียงไก่ขันปลุกเราแต่เช้า.....เปิดประตูห้องออกมายืนที่หน้าชานบ้าน สายหมอกก็พร้อมมาตอนรับ..

อากาศเย็นสบายตัว...พาสมองโล่ง ทิ้งความกังวล แล้วสูดหายใจให้เต็มปอด

เดินไปตามทาง....เปิดเพลงหมอกหรือควัน คลอๆ ไปเป็นเพื่อน...

ฟ้าเริ่มเปิด...เตรียมตัวตักบาตร แสวงบุญ เดินทางสายมู กับเค้าบ้าง

พระท่านมาถึงในที่พักเลยครับ เราสามารถแจ้งกับทางที่พักได้เลยว่า เราอยากจะใส่บาตร ทางที่พักจะจัดชุดใส่บาตรมาให้ มีค่าใช้จ่ายนิดๆหน่อยๆ เป็นค่าทำบุญ แต่พอดีวันที่ไปเป็นวันเกิดผมพอดี เลยได้ฟรีมา1ชุด สาธุ

ทำบุญแล้วก็จะอิ่มอกอิ่มใจ....แต่ยังไม่อิ่มท้อง เดินเล่นซักพักแล้วไปหาข้าวกินดีกว่า

แท๊น...แท่น...!!! มือเช้าของเรา ซึ่งทางที่พักเตรียมไว้ให้ เป็นแบบบุฟเฟ่ห์บริการตัวเอง เป็นเมนูเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความอร่อยอีกแล้ว ข้าวสวยร้อนๆกับผัดกะเพราหมู ซึ่งที่นี่ใช้กะเพราป่า จะมีความหอมและชูรสชาติแห่งจิตวิญญาณของความเป็นผัดกะเพราได้อย่างดี ต้มจืดที่ซดทีโล่งคอ ข้าวต้มหมูที่กลมกล่อม บางครั้งกินอะไรง่ายๆบ้างก็ดี สไตล์มินิมอลสุดๆ

อิ่มแล้วก็นั้งจิบกาแฟ..ชมวิวทุ่งนา พาเจริญหู เจริญตา เจริญใจ เจริญอาหาร..

กินอิ่มก็ลงอ่างสิครับ...นุ่งผ้าถุง แช่น้ำไป ชมบรรยากาศทุ่งนาไป สบายจริงๆเลยแม่คุณ

เอาเกลือสปาที่ซื้อมาจากบ้านบ่อเกลือ มาขัดตัวซะเลย....บรรยากาศมันได้


อาบน้ำเสร็จเก็บกระเป๋ากลับเข้าไปพักในเมือง เพื่อไปนอนในคืนสุดท้าย...

เดินทางกันต่อ แต่ก็ยังอิ่มๆอยู่ หาทีเดินเล่นกันดีกว่า ขับไปขับมา มาโผล่ที่ "วังศิลาแลง" ธารน้ำตกที่กัดเซาะกอนหิน จนเหมือนเหมือนงานศิลปะแกะสลัก....

ก็อย่างที่บอกแหละครับ....ธรรมชาติ บันดาลศิลป์จริงๆ แล้วแต่คนจะมอง...

นั้งนิ่งๆ แล้วป่าจะรักษาใจเราเอง...

น้ำให้ชิวิต....ธรรมชาติให้จิตวิญญาน อาหารให้พลัง...ใช่ พวกเราหิวกันอีกแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง


หลังจากที่เมื่อวานมาเซอร์เวย์ไปแล้วหนึ่งรอบ ซึ่งคนเนืองแน่นมาก ราวกับว่าชาตินี้ไม่เคยกินพิซซ่าหน้าเห็ดกัน เราจึงหยุดโปรเจ็คไว้ แล้วเลือกที่จะมาวันนี้แทน และนั้นก็คือ "ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ" ร้านพิซซ่าหน้าเห็ดที่ดังที่สู๊ดดดดด!! คือถ้ามาน่านแล้วไม่ได้กิน ถือว่าร้านปิด!!! เห้ย แสดงว่ามาไม่ถึงน่าน

บรยากาศแบบไม้ๆ อารมณ์ญี่ปุ่นๆ น่ารักๆ

วิวรอบข้างเป็นวิวทุ่งนา แบบพาโนรามา

ไหนบอกว่าหิว.....พอเห็นชิงช้าเท่านั้นแหละ วิ่งไปเล่นเป็นเด็กน้อยเลย

ปลอดภัย แข็งแรง คงทนไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเด็กเล็กเล่น แนะนำให้มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยนะจ๊ะ

หมดเวลาเล่น...ได้เวลาเอาจริงกับการกินบ้างแล้ว เริ่มจากน้ำหวานแสนสดชื่น ล้างคอก่อนเป็นอันดับแรก ใครชอบแบบไหนก็สั้งมาลองกันเอาเองนะจ๊ะ...

อย่างที่บอกที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเห็ด เมนูหลักๆก็จะต้องเป็นเห็ดแน่นอน และที่สำคัญที่นี่ไม่ใส่ผงชูรส โคตรคลีนบอกเลย เรามาเริ่มกันจากเมนูแรกดีกว่า ผัดเห็ดออริจินใส่กุ้ง

ผักโขมอบชีสสสสส กินได้ยันถ้วย....

ยำเห็ดรสแซ่บ....

เห็ดหอมทอดซีอิ้ว(ส่วนตัวชอบอันนี้มาก)

ยำเห็ดใส่น้ำปู๋ (หน้าตาขัดแย้งกับรสชาติมาก โคตรอร่อยบอกเลย)

และแล้วพระเอกของเราก็มาถึง "พิซซ่าเห็ด" ที่โด่งดัง อร่อยดี...พอกินแล้วรู้สึกอ้วนแต่คลีนอะ เข้าใจป๊ะ!!!

เป็นคนที่ทำรีวิวไม่ถนัดเรื่องอวยร้านอาหารเท่าไหร่นัก เพราะเป็นคนที่กินไรก็อร่อย ถ้าอร่อยก็คืออร่อย ไม่อร่อยก็บอกไม่อร่อย แต่ที่ชอบที่นี้สุดๆคือ บรรยากาศและต้นไม้ มันให้อารมณ์แบบเมืองหนาว จะมองไปมุมไหนก็น่าถ่ายไปหมด..มุมนี้ก็สวย มุมนั้นก็ดี

แนวต้นไผ่ที่พอจะมีพื้นที่ให้แทรกตัวเข้าไปได้ ก็เป็นอีกมุมนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมยังมีใยแมงมุมมาเป็นโฟร์กลาวด์ให้อีก ได้อารมณ์ภาพไปอีกแบบ...

กำแพงหินที่มีมอสขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความชุ่มชื้น...

อารมณ์ไม้ๆ ญี่ปุ่นๆ หน่อยๆ


กินอิ่มก็ว่าจะหากาแฟกินกัน "บ้านไทลื้อ" คือเป้าหมาย เห็นเค้าว่าดี ก็เลยไปตามรีวิว..

ถึงแล้วจ้า ทัวส์ลงจ้า คนแน่นเต็มร้านจ้า จบกันเรื่องกาแฟจ้า งั้นขอเดินเล่นชมวิวหน่อยนะจ๊ะ...

สั้งกาแฟแล้วไปนั้งกินกันตรงกระท่อมกลางนาก็ชิวไปอีกแบบ..แต่แดดร้อนได้เรื่อง

นานๆจะมีรูปคู่ก็ต้องเอาซะหน่อย...เดี๋ยวจะเกิดการน้อยใจ

ไม่ไหวแล้วจ๊ะพี่จ๋า....คือทุกอย่างโอเคร ทุกอย่างดี ผ้าปลิวสวยไสว แต่แดดร้อนจนคอแทบไหม้เลยจ้าาา นี่ก็บ่ายแล้ว รีบกลับไปเช็คอินที่พักในเมืองดีกว่า.....


ระหว่างทางไปตัวเมืองน่าน สายบุญอย่างเรา...เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่แวะวัด ไหนๆจะผ่านก็ต้องแวะซะหน่อย นั้นก็คือ "วัดภูเก็ต" นั้นเอง อย่าถามว่าทำไมอยู่น่านถึงตั้งชื่อวัดภูเก็ต ถ้าท่านมีโอกาศมา ลองเดินไปถามเจ้าอาวาสเอาเองเลยจ้า ฉันก็ไม่รู้....

สาธุๆ งวดนี้ขอรางวัลที่1กับเค้าบ้างเถอะจ้า.....

ตกแต่งแบบล้านนา...เอกลักษณ์ท้องถิ่น

ที่ถ่ายไว้เพราะไม่เคยเห็นปางนี้....อิ่มบุญกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลยจ้าาาาา


และแล้วเราก็มาถึงที่พักคืนสุดท้ายของเรา ก็คือ "พราวน่าน คอทเทจ" นั้นเอง

บอกแล้วครับ ว่าแก็งค์เราไปไหนก็ต้องกิน ลงรถปุ๊บ หาของกินปั๊บ เรื่องห้องพักไว้ทีหลัง

ข้าวเหนียวสังขยา ที่เอาไว้ต้อนรับแขก กลายเป็นสมบัติของเราโดยทันที

บรรยากาศคลาสสิค จนขั้นออกแนววังเวงนิดๆ ฮ่าๆ

ห้องนอนดี มีทีวี มีแอร์ ให้อารมณ์เหมือนมานอนบ้านเพื่อนดีๆนี่เองครับ อบอุ่น เป็นกันเอง สบายๆ

ในความเรียบง่ายมีความดีไซน์ซ้อนอยู่...ห้องน้ำปูนเปลือย ถูกจัดสันปันส่วนได้อย่างลงตัว

เก็บกระเป๋าเสร็จก็ล้างหน้าล้างตา แล้วเดินเล่นเยี่ยมชมที่พักกันดีกว่า ฆ่าเวลาระหว่างรอไปเดินถนนคนเดิน

บอกเลยว่าที่นี่ออกแบบได้ดีมาก มีการทำตาข่ายนั้งเล่น เพื่อเพิ่มพื่นที่ใช้สอย ใครจะอ่านหนังสือ หรือนอนเล่นก็แล้วแต่คนจะชอบ

ถึงจะเป็นที่พักที่ไม่ใหญ่มากนัก...แต่ก็มีมุมให้นั้งเล่น ซ่อนอยู่เต็มไปหมด

โคมไฟที่แปลกตา....เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบ

พื้นไม้ขัดมัน...เดินต้องระมัดระวังนิดนึง ระวังลื่น แต่ผมก็ลื่น เพราะ "หล่อลื่น"

นั้งชิว นอนชิว ส่วนตัวผมไม่กล้าลงไป เพราะเป็นคนกลัวความสูง

กระจกหลากสี ทำให้นึกถึงอารมณ์แบบในโบสถ์คริสต์

มุมส่วนตั๊วววว...ส่วนตัวจริงๆ อยู่ใต้หลังคา

จังหวะถ่ายรูปนี้...ไม่อยากจะเล่า อยู่กันสองคน มีคนมาสะกิดหลัง นึกว่าเพื่อน แต่พอหันไปเจอใคร เจอแต่ความว่างป่าวไม่มีใคร นั้นไงโดนเข้าแล้ว (หรือคิดไปเอง 555 )

นางแบบเราไม่งอแงแม้กระทั้งถ่ายในห้องน้ำ...

เดินจนทั่ว..ชาวแก็งค์ก็ยังนอนพักกันอยู่ เราเลยลงมาหาไรกินดีกว่า

ขนมปังรองท้องซักแผ่นสองแผ่น ก็โอเคดี แถมกินฟรีอีกต่างหาก

จะไปกันรึยังงง...ตื่นได้แล้ว หิวแล้วจ้าาาาาาา


เรียกรวมพลเสร็จ...ก็ออกเดินทางมายัง "ถนนคนเดินหน้าวัดภูมินทร์" ซึ่งที่นี่จะรวบรวมของกินไว้มากมาย ทั้งอาหารพื้นเมือง เสื้อผ้า ของที่ระลึก ของฝากที่นี่ก็มีหมด แถมเราได้ยินมาว่า อร่อยทุกอย่าง

ไม่พูดให้เสียเวลา เมนูแรก ยำขนมจีน บอกเลยแซ่บเวอร์...

หมูทอดมะแขว่น อีกหนึ่งอย่างที่มาแล้วต้องกิน หมูทอดหอมๆ กับข้าวเหนียว เวี่กู๊ดดดด

ของฝากกระจุกกระจิกก็มีเยอะแยะให้ท่านเลือก...

พอได้ของกินก็หน้าบานเป็นกระด้ง...

บอกเลยว่าเด็ดมาก ข้าวแกงพื้นเมือง อร่อย ราคาไม่แพง ไม่งกเครื่อง

ลาบคั่วก็อร่อย...เป็นอีกหนึ่งเมนูสุดโปรด

ไข่ป่ามหน้าต่างๆ กินกับซอสแม็กกี้ เพลินๆ

ลูกชิ้นหมูที่หน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แต่ถ้าได้ลองชิม คุณจะรูดกินไม่หยุด...

นี่มัน ใส้อั๊ว นะ!!! ไม่ใช่ใส้ลื้อ แฮร่!! เดี๋ยวๆ นี่มันใส้อั่ว จะบ้าหรอ เอาเป็นว่าอร่อยจ้าาาา

น้ำเงี้ยวร้อนๆ เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ ของโปรดเลยจ้าาา

ได้เวลาที่หมู่เฮา...จะเอาของกินมารวมกันแล้วววววว ชอบในความเป็นขันโตก ชอบในความนั้งชิว

ทุกคนสามารถมานั้งได้หมด แต่ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด กินเสร็จแล้วก็เก็บ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้จัดจุดคัดแยกไว้ให้ ช่วยกันดูแลความสะอาดด้วยนะจ๊ะ

กินก่อนไม่รอแล้วน้าาาาา....อเมริกันแชร์ สรุปซื้อมาซ้ำกันเพียบ 5555

ฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศเริ่มชิว มีดนตรีสดเล่นให้ฟัง บอกเลยว่าเลิฟที่นี่มากกกกก


แต่จะให้มันจบง่ายๆได้อย่างไร คืนสุดท้ายก่อนกลับ น่านจะต้องลุกเป็นไฟ....

เรามาปิดจ็อบกันที่ร้าน "วันวาน90" ด้วยว่ามีคนแนะนำกันเยอะ..ว่าร้านนี้ดี

รูปมีเพียงน้อยนิดเพราะหลังจากรูปนี้ แต่ละคนกลายร่าง4ร่าง5 ร่างมารกันเลยทีเดียว เจ้าของร้านใจดี ร้านน่ารัก ราคาไม่แพง ใครมาแนะนำเลยครับ....แดนซ์ขาขาด


หลังจากศึกหนักเมื่อคืน เป็นเหตุผลให้ในตอนเช้าแฮงค์อย่างมาก แถมตาขวาก็บวมและเจ็บอีก เลยต้องยกกล้องให้แฟนผมถ่ายแทน ร่างกายขาดน้ำตาล ฉันขอของหวานหน่อย..นั้งจิบชาเขียวไป น้ำแข็งประคบตาไป

และแล้วมื้อเช้าของเราก็ออกมาให้ยลโฉม ที่พักจัดเตรียมข้าวต้มทรงเครื่อง พร้อมด้วยไข่ลวกยางมะตอย เฮ้ย!! ยางมะตูม เฮ้ย!!! ถูกแล้ว...เหมือนรู้ว่าเมื่อคืนเราหนักกันมามาก อยากโดนอะไรร้อนๆ


เก็บกระเป๋า....เฮ้อ พูดแล้วใจหาย วันสุดท้ายแล้วหรอ...อยากอยู่ต่อออออ!!!

ออกเดินทางมายัง ซุ้มต้นลีลาวดี ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนคนเดินเมื่อวาน เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มาแล้วจะต้องถ่ายรูป

ในระหว่างที่ทุกคนถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข...ผมก็ยังคงนั้งเอาน้ำแข็งประคบตาอยู่ 555

ซึ่ง "ซุ้มลีลาวดี" นั้น จะตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดน่านนั้นเอง...

แต่เราไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในเลยไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง..

เดินถัดมาหน่อยเราจะเจอกับ โบราณสถานวัดน้อย หรือเรียกโดยย่อว่า วัดน้อย สร้างตามพระประสงค์ในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช มีชื่อเสียงจากการเป็นวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย (ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมหาอ่านกันเอาเองนะ เอามาให้ดูเฉยๆ)


ว่ากันว่า มาน่านแล้วไม่ได้มา "วัดภูมินทร์" เค้าว่าเหมือนมาไม่ถึงเพราะที่นี่ มีภาพเขียน"กระซิบรักบันลือโลก" ซึ่งไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนในจังหวัดน่านคุณจะต้องเห็นภาพนี้ ภาพนี้เปรียบเสมือนจิตวิญญาณแห่งน่านเลยนะจะบอกให้....

พอเดินเข้ามาภายในรู้สึกได้ถึงความขลัง ความเก่าแก่ ความเป็นโบราณสถาน กลิ่นอายแบบเก่าๆ อบอวนไปทั่ว

ภายในจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ตรงกลาง มีสี่องค์ หันหน้าออกทางทางประตู....

ที่นี่คนจะเยอะเป็นปรกติ เพราะใครมาน่านก็ต้องมา...กรุณาใจเย็นๆกันซักนิด เพราะที่มันแคบ บางคนก็อยากถ่ายรูปบางคนก็อยากจะไหว้ แบ่งปันกันไป ใจเย็นๆ

ตามผนังจะมีงานภาพเขียนต่างๆ มากมาย ซ่อนไว้ซึ่งวิถีชีวิตต่างๆ ของชาวน่าน

*กรุณาอย่าเอามือไปลูบ ไปจับที่ภาพเขียนเลยครับ เพราะงานมันมีคุณค่ามากๆ ให้มาวาดใหม่มันก็ไม่เหมือน ผมด่าว่านักท่องเที่ยวไปหลายคนเลยครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พอคุณจับ ลูบ แล้วคุณจะถูกหวยรางวัลที่1กันหรอ ศิลปะบ้านเรา ช่วยกันอนุรักษ์สิครับ กับผมนี่....เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เลย..

และแล้วเราก็ได้พบกับ ภาพวาด "กระซิบรัก บันลือโลก" แล้วครัมผม

ปู่ม่านย่าม่าน หรือ หนุ่มกระซิบ เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน อันเป็นผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ปราณีตและเป็นภาพที่โดดเด่นประจำวัดภูมินทร์ โดยเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกระซิบสนทนา และมีชื่อเสียงว่าเป็นภาพ "กระซิบรักบันลือโลก"

-วิกิพีเดีย ได้กล่าวเอาไว้

(อยากรู้เพิ่มเติมก็ไปหาอ่านกันเอาเองนะจ๊ะ)

ท่ายอดฮิตติดลมบนที่ใครไปใครมาจะต้องท่านี้ และมุมนี้เท่านั้น ว่ากันว่าใครที่ได้มาถ่ายรูปท่านี้

จะครองรักกันไปตลอดกาลลลลลล (ล้อเล่น ผมมั่ว 555)

บอกแล้ว ว่ามาน่าน เดินไปทางไหนก็จะเจอแต่กระซิบรัก..


ไหว้พระถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว...ท้องก็ร้องทันที อยากกินอะไรร้อนๆอีกแล้ว ซึ่งร้านที่เรามานั้นเป็นร้านที่เราอยากกินกันตั้งแต่วันแรกที่ลงเครื่องแล้ว แต่ร้านปิด วันนี้เลยต้องกินให้ได้

นั้นก็คือ....ร้านเตี๋ยวไร้เทียมทาน ก๋วยเตี๋ยวซุปกระดูกหมูไร้เทียมทาน เจ้าแรกในเมืองน่าน

ไม่ต้องปรุงบอกเลย...เพราะไม่มีเครื่องปรุงให้ แฮร่!!! จะบ้าหรอ เค้าปรุงมาให้แล้ว ชิมก่อนปรุงนะจ๊ะ สำหรับผมอร่อยโอเคแล้ว ไม่ต้องปรุง....เส้นนุ่มๆ กับน้ำต้มยำรสแซ่บ ทานคู่กับกระดูกหมูสันหลังมังกรต้มจนเปื่อยนุ่มลิ้น เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็ค อร่อยยกนิ้ว...


กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่...อย่างที่โบราณว่าไว้

เราจึงออกเดินทางตามหาร้านขนมหวานเจ้าดังเจ้าอร่อยยอดฮิตที่สุดในจังหวัดน่าน เปิดGPS แล้วขับตรงไปที่ "ร้านของหวานป้านิ่ม" โดยทันที...

ก่อนอื่นเรามาเลือกไอศครีมกันก่อน แน่นอน หน้าตาวัยรุ่นๆอย่างผม ต้องไอศครีมกะทิไข่แข็ง 555

ตามด้วยท็อปปิ้งต่างๆ มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สาคู ถั่วแดง บัวลอย แล้วแต่ท่านจะชอบ

หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้...ไอศครีมกะทิไข่แข็งบัวลอย อร่อยสมคำล่ำลือ ไม่หวานเกินไป รสชาติพอดี


นึกขึ้นได้ จะขึ้นเครื่องอยู่แล้ว ลืมของฝาก เวลายังมี เปิดGPS หา "ร้านละมัยพร" สุดยอดของฝากไส้อั่ว ของเค้าดีจริงๆครับ ราคาไม่แพง อร่อย แพ็คเกจก็สวยเหมาะสำหรับเป็นของฝากอย่างยิ่ง จัดไปครับ คนละ5กล่อง แบกขึ้นเครื่องกันบ้าคลั่งเลยทีเดียว....


เฮ้ออออ....ทุกครั้งที่จบรีวิวก็จะใจหายแว็บๆ วันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราต้องกลับมาเจอกับชีวิตการทำงานที่เมืองกรุงอีกแล้วหรอเนี้ย


ภาพที่อยู่บนเขา ภาพที่อยู่ในป่า เรื่องราวต่างๆที่เราได้พบได้เจอ มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเราอยู่เลย ได้แต่บอกตัวเองว่า ยังไม่อยากกลับ....!!!


" น่านเป็นเมืองเล็กๆที่สุดแสนประทับใจ ผู้คนที่นี่ใจดี น่ารัก อยู่กันอย่างเรียบง่ายไม่วุ่นวาย ไม่ต้องทำตัวให้หวือหวา ไม่ต้องใช้ชีวิตที่โลดโผน รักในบ้านเกิด รักในถิ่นที่อยู่อาศัย รักในขนบธรรมประเพณี ยึดถือการใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ที่นี่สอนให้ผมรู้จักคำว่าเรียบง่าย รู้จักคำว่าพอเพียง รู้จักคำว่าน้อยแต่มาก ทุกอย่างมันถูกปรุงแต่งให้ผสมผสานกันอย่างกลมกล่อมและลงตัว มันสวยงามมากจริงๆ ผมโคตรรักที่นี่เลย เมืองน่านนคร... "

#ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี


ผมไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ แต่ผมอยากให้ทุกคนได้ออกไปตามหาชีวิต ออกไปสัมผัสมันด้วยตาตัวเอง

เราจะรู้ว่าโลกมันกว้างก็ต่อเมื่อเราออกเดินทาง จริงๆแล้ว เราเป็นแค่เพียงจุดเล็กๆบนโลกใบนี้เท่านั้น

แล้วคุณจะหลงรักมัน หลงรักน่านนคร หลงรักเหมือนกับที่ผมหลงรัก....



*ขอบคุณชาวแก็งค์ถ้ำเสือ ฝน(แฟนผม) พี่ต่าย ลักษณ์ น้องปอ ตัวโน็ต

ที่ร่วมกันขีดเขียนเรื่องราวดีๆของการเดินทางครั้งนี้ เจอกันใหม่ในทริปหน้า...



ขอบคุณที่รับชมและสนับสนุน

-ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี-




โฆษณาฟรี!!! เบอร์ติดต่ออยู่ทางนี้จ้าาาาาาาา

1. เต็นท์เช่าดอยเสมอดดาว/พี่วีระ - 0897557039

2. อาโป เดอมาง - 06956264851

3. โรงเรียนบ้านชาวนา - 0899997737

4. พราวน่าน คอทเทจ - 054050061

__________________

รถเช่า คุณกิ๊ฟ - 0979738446




ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี

 วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.35 น.

ความคิดเห็น