สดีครับผู้อ่านทุกท่าน หลายคนเคยได้ยินคำประโยคที่ว่า "งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา" การเดินทางก็เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อการเดินทางเริ่มต้นขึ้น สุดท้ายก็ต้องมีจุดสิ้นสุดลงในแต่ละทริป เหมือนทริปตะลอนเวียดนามใต้ของผมกับระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 5 วัน 4 คืน ก็ดำเนินมาถึงสองวันสุดท้ายกับภารกิจเดินชมเมืองหลวงของอดีตเวียดนามใต้ นามว่า "ไซกอน" หรือ "นครโฮจิมินห์" นั่นเอง

เดี๋ยวก่อนแต่เห็นภาพขึ้นหน้านี่มิได้มารีวิวของกิน นะ 555 เพราะของกินที่โพสได้รีวิวไปแล้วในรีวิวดาลัด ตอนที่ 2 ส่วนบางส่วนอยู่ในรีวิวตอนจบตอนนี้นั่นเอง (เอามาเรียกแขกเฉย ๆ 555)

ปอลิง สามารถติดตามตอนก่อนหน้านี้สำหรับทริปตะลอนเวียดนามใต้ตรงลิงค์ข้างล่างครับ

ตอนที่ 1 xin chào >< FIRST TIME @ SOUTH VIETNAM เพราะชีวิตคือการเดินทาง

ตอนที่ 2 DALAT สวิสเซอร์แลนด์แห่งเวียดนามกับวันที่ฟ้าหม่นหมอง

การเดินทางจากดาลัดมายังนครโฮจิมินห์ใช้ระยะเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง พูดง่าย ๆ เกือบไปครึ่งวันเลยทีเดียว ลองเปรียบเทียบแผนที่การเดินทางที่ผมได้ทำไว้ในตอนที่ 1 และ 2 นะครับว่าขาไปและขากลับไปคนละเส้นทางกัน เมื่อรถบัสมาถึงโฮจิมินห์ตรงสถานที่ที่ผมคุ้นเคยนั่นคือ ย่านฟามงูเหลา ย่านที่เต็มไปด้วยบริษัททัวร์ รถบัสโดยสารไปยังที่ต่าง ๆ หลากหลายบริษัท สิ่งหนึ่งที่เมื่อมาถึงนั่นคือ การไปที่พักที่ได้ทำการจองไว้นั่นเอง โดยที่พักของผมที่จองมานั้นอยู่ใกล้กับตลาดเบนถัน เพื่อง่ายต่อการไปตลาดและการนั่งรถบัสกลับสนามบิน

ที่พักที่ผมได้พักนั้นคือ the Town HOUSE 23 ครับ เอาตามจริงผมเดินผ่านที่พักผมไปหลายรอบ เพราะมองไม่เห็นป้ายครับ คือโรงแรมข้าง ๆ ยังมีป้ายแขวนด้านข้าง ทำให้เห็นชัดเจน แต่ที่นี่ไม่มีป้ายด้านข้าง แถมตัวเองก็ขี้เกียจเงยหน้ามอง ดูใน Google map ก็บอกว่าถึงแล้วเราก็บอกไหนหว่า ตรงไหน แถมเดินเลยไปอีกเลยตัดสินใจถามพี่รปภ.ตรงโรงแรมตรงข้ามกับที่ผมพัก เค้าก็เลยชี้นิ้วมาฝั่งตรงข้าม ผมก็มองตาม อัยยะ มันอยู่ตรงนี้นี่เองตรงข้ามกันเลยนิหว่า อายรปภ.มาก (อยู่เบื้องหน้าฉัน ๆ ถ้าหอกทิ่มตาคงตาบอด)

หลังทำการเชคอินเสร็จแล้ว พนักงานก็บอกว่าห้องพักแบบ Dorm อยู่ชั้นที่ 6 นะค่ะ แต่คุณต้องกดลิฟต์ไปชั้น 5 แล้วเดินขึ้นบันไดไปค่ะ ตอนนั้นหัวสมองกับทักษะการฟังก็ดีเยี่ยมเลยเบลอ ๆ จนพี่ฝรั่งผู้ชายชาวแคนาดามาสปีดอิงลิชให้ฟังอีกรอบ เลยเข้าใจ (แหม ที่คนเวียดนามพูดทำเป็นฟังไม่ออก ที่แคนาดามาสปีดนี่ฟังออกบ้าง (เน้น บ้าง))


ที่พักที่ผมเลือกก็พักแบบ Dorm ครับนอนรวมกับชาวบ้านนั่นแหละ ประหยัดตังค์ต้องการเซฟมันนี่ไปทำอย่างอีก รวมทั้งอยากฝึกพูด ฝึกเข้าสังคม 555 พอเข้าไปตกใจเล็กน้อย คนที่มาพักก่อนหน้าชาร์ตแบต ทิ้งกระเป๋า ไว้แบบไม่กลัวโดนขโมยเลยรึ ไว้ใจกันมาก เอาหล่ะมาพูดถึงห้องพักแบบ Dorm ก็มีทั้งหมด 6 เตียงครับ ห้องหนึ่งบรรจุได้ 12 คน ซึ่ง Dorm จะต่างจากดาลัดที่ผมไปพักตรงที่ว่าแต่ละเตียงเปิดโล่งครับ เห็นทุกการกระทำเสมือนช่องแพนด้าหลินปิง ช่วงช่วง (อยากให้มีม่านมาปิดบ้างนะ) เตียงก็จะมีผ้าห่ม มีหมอนให้ครับ รวมทั้งมีลอคเกอร์ให้ด้วย โดยลอคเกอร์นี้มีที่ล็อคมาให้เลยครับ


อันนี้คือสภาพห้องน้ำและอาบน้ำครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายห้องน้ำกับห้องสุขาให้ชมนะครับ แต่สะอาดครับ โดยห้องน้ำจะมี 2 ห้อง ห้องสุขา 1 ห้องครับโดยมีแชมพูและสบู่เหลวบริการให้พร้อม โดยขณะอาบน้ำสามารถเปิดหน้าต่างชมย่านวงเวียนตลาดเบนถันได้เลยครับ ติดกันเลย (ไม่ได้ถ่ายมามันฟินมากอ่ะ)


หลังจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปดูห้องต่าง ๆ ดีกว่าเดินไปห้อง COMMON ROOM ครับโดยห้องนี้จะเป็นห้องนั่งดูทีวี นั่งเล่น พูดคุย รวมถึงเป็นห้องที่ไว้จัดอาหารเช้าสำหรับแขกผู้เข้าพักด้วยครับ โดยบอกก่อนว่าถึงแม้ว่าจะมาพักแบบ Dorm หรือห้องส่วนตัวทุกคนได้รับสิทธิกินอาหารเช้าเหมือนกันนะ อิอิ


สภาพภายในห้อง common room ครับเงียบสงบดีครับ เพราะไปถึงโฮจิมินห์ก็เย็นแล้ว คาดว่าคนอีกคนตะลอนเที่ยวอยู่เสร็จเรา


ขอเล่าก่อนว่าบรรยากาศจากดาลัดมาโฮจิมินห์มีแดดสลับกับฟ้าครึ้มครับ รวมถึงฝนตกเป็นระยะ ๆ ตอนออกจากที่พักเพื่อไปตลาดเบนถันฟ้าครึ้มอีกแล้วครับ สักพักฝนตก เลยคิดว่าเอาไงดีจะกลับเอาที่พักไหมหรือเดินหน้าต่อ สายตาไปสะดุดร้านที่แสนจะคุ้นเคย ไปหลบฝนที่นั่นก่อนดีกว่า อิอ

จะไปนั่งเฉย ๆ ก็เสียมารยาทก็ต้องสั่งอาหารเป็นพิธี ประกอบกับหิวมากข้าวที่กินตอนเที่ยงย่อยหมดแล้ว ฝนตกพรำ ๆ ในเมืองใหญ่ ๆ สถานที่ไม่คุ้นเคยมันช่างเหงาเหลือเกิน พอได้กินแล้วรู้สึกรสชาติแปลก ๆ เฟรนซ์ฟรายก็ไม่เหมือนไทย ซอสพริกหลังชิมแล้วของไทยอร่อยกว่า (จริง ๆ นะ) เลยคิดว่านี่คืออาหาร Local food มัน Local food ไง (ก็ไปกินในถิ่นเวียดนาม ถือว่าเป็นอาหารท้องถิ่นแหละกัน คิดเองเออเอง) ซึ่งผมก็นั่งกินที่นี่ไปสักพักครับจนฝนเริ่มซา

หลังฝนได้หยุดตกแล้วความมืดในคืนสุดท้ายการมาเยี่่ยมเยียนเวียดนามก็มาถึงแล้ว หลังจากนี้ก็มาเดินเล่นยามกลางคืนในย่านฟามงูเหลาและตลาดเบนถันกัน

ลังฝนได้ผ่านไปกับชะตาชีวิตที่ต้องข้ามถนนหลายถนนเหลือเกินกว่าจะถึงตลาดเบนถัน แต่อย่างที่บอกครับ ข้ามได้ครั้งหนึ่งแล้วเราจะมีภูมิต้านทานหลังจากนั้นก็สนุกเลยครับ ข้ามจนชินจนเผลอมาติดที่ไทย จากนั้นก็เดินไปยังศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ครับ

ศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ (จัตุรัสโฮจิมินห์)

เป็นสถานที่พักผ่อนเดินเล่นของนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนาม ยังเป็นที่ตั้งรูปปั้นอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของนครโฮจิมินห์

ตรงข้ามศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ก็จะเป็นลานกว้าง ๆ ครับโดยคนเวียดนามเรียกว่า จัตุรัสโฮจิมินห์ หรือ Ho chi Minh Square นั่นเองครับ บรรยากาศตอนกลางคืนสวยไหมครับ

บรรยากาศศาลาว่าการตอนกลางคืนกับรูปปั้นลุงโฮครับ ถ้าตามรีวิวเก่า ๆ ก็จะเป็นลุงโฮนั่งอุ้มเด็กใช่ไหมครับ ตอนนี้จะเป็นลุงโฮทำท่ายืนโบกมือครับ

บรรยากาศยิ่งมืดเท่าไหร่คนก็จะมาเยอะมากขึ้นเท่านั้นครับ บรรยากาศก่อนหนึ่งทุ่มครับ เดี๋ยวเรามาดูบรรยากาศหลังหนึ่งทุ่มกันว่าต่างกันไงดีกว่าครับ

ระหว่างเดินเตร็ดเตร่สายตาก็ก้มมองพื้นเห็นรูปเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ มันคืออะไรนั่นไอ้สีพวกนี้ ช่างเถอะเดี๋ยวค่อยกลับมาดูอีกทีแหละกัน

เดินไปสักพักก็จะเจอสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของนครโฮจิมินห์ นั่นคือ โรงละคร หรือ Opera House เป็นโรงละครที่จะจัดแสดงศิลปวัฒนธรรม

บรรยากาศตอนกลางคืนของบริเวณจัตุรัสนครโฮจิมินห์ ถ้าเทียบกับในประเทศไทยก็เปรียบเสมือนย่านธุรกิจ การเงิน การค้า ก็คือย่านสีลม สยามแสควร์ พารากอนประมาณนั้นครับ

ระหว่างที่เดินก็เจอกับการแสดงของกลุ่มเด็กเวียดนามครับกำลังนั่งร้องเพลงกันครับ ซึ่งได้รับความสนใจทั้งจากคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างมุงดูกันสร้างความเพลิดเพลินในตอนกลางคืนหลังฝนตกได้อย่างดี หลังจากนั้นผมก็เดินไปยังตรงบริเวณที่เป็นรูปพระอาทิตย์ที่ส่องแสงที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นเดินไปสักพัก ได้ยินเสียงเป่านกหวีดดังมา แล้วเจ้าหน้าที่ก็กวักมือประมาณว่า ออกจากตรงนั้นนะ ใช้เวลาเป่าไล่คนที่เดินอยู่ตรงบริเวณนั้นพอสมควรครับ ผมเลยคิดว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ เลยนั่งรอตรงบริเวณนั้นและแล้วก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ความจริงก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า

เตรียมตัวชมแสงสี ไม่มีเสียงแต่มีเสียงน้ำพุ มันสวยงามมากครับทำให้คนบริเวณนั้นต่างเดินมากันบริเวณนี้กันเต็มเลย ไหนมองไปทางศาลาว่าการสิว่าเป็นยังไง

แสงสียามกลางคืนบริเวณจัตุรัสแห่งนี้ ทำให้บริเวณลานแห่งนี้ดูสวยงามสร้างแรงดึงดูดให้กับคนที่ผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี

หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศตอนกลางคืนแถวจัตุรัสโฮจิมินห์แล้ว ก็เดินต่อไปยังโบสถ์นอธเทอดามและไปรษณีย์กลาง ซึ่งพบว่าโบสถ์มืดมาก เลยถ่ายไปรษณีย์กลางแทน (ไว้เก็บตกตอนมาตะลอนรอบเช้าแทน)

พอเดินได้สักพักความเพลียกับความเหนื่อยเข้าครอบงำ จึงคิดว่าสมควรแก่เวลาไปนอนเล่นที่ที่พักดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ทริปเดินตะลอนไซกอนเยอะมากหลังจากนอนอย่างเต็มอิ่มตอนนอนจำได้ว่า มีอยู่คนเดียวอยู่ภายในห้อง ส่วนอีกคนชาวแคนาดานั่งเล่นอยู่ห้อง common room แต่พอตื่นมาตกใจเต็มทุกเตียงมากันตอนไหนเนี่ย ????


หลังจากทำภารกิจยามเช้าเสร็จเรียบร้อยก็ลงไปหาของกินดีกว่า ลงไปพร้อมกับความสะพรึงเฮ้ยเนี่ยเหรออาหารเช้า ให้กินพืชผักแต่เช้าเลยเหรอไม่มิใช่สไตล์ผมนะ ในใจคิดพักแค่นี้ยังจะเอาอะไรอีก เลยนั่งตัดสลัดกินไปพลาง ๆ แบบประวิงเวลา


หลังจากนั้นสักพักก็เริ่มมีผลไม้มาตั้ง เฮ้ย นั่งกินแบบสโลว์ไลฟ์ดีกว่า รอรอเพราะอาจตื่นเช้าเกินไปก็ได้ สักพักพนังงานที่จัดการอาหารเช้าก็เดินมาทางผมพร้อมหยิบเมนูมาให้ว่า คุณจะกินอะไร เครื่องดื่มอะไรมาให้ครับ

ผมเลยเลือกเมนูดังภาพข้างบน พร้อมกาแฟเย็น (กาแฟเย็นเวียดนามนี่ต่างจากไทยมากเลย นมข้นอยู่ข้างบนคน ๆๆๆ หวานปนขมอร่อยดี) พอกินไปสักพักอาหารก็เริมทยอยมาเรื่อย ๆ ครับ

ในนี้ก็มีซาลาเปา มีไส้กรอกนึ่งอร่อยมากครับ พร้อมทั้งมีน้ำผลไม้ กับน้ำเปล่าตั้งอยู่ใกล้ ๆ กินจนอิ่มเลยทีเดียว สำหรับผมคุ้มนะครับเพราะส่วนใหญ่แบบห้อง Dorm มักจะไม่ค่อยมีอาหารเช้าบริการ (รึเปล่า)หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปตะลอนนครโฮจิมินห์ หรือไซกอน ที่มีฉายาว่า "ไข่มุกตะวันออก" ภารกิจแรกสำหรับวันนี้ (ซึ่งเป็นวันสุดท้ายสำหรับทริปเวียดนามใต้) คือการเดินทางไปยังสถานที่เดิมในเวลาเช้า เพื่อดูว่าบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อเดินจากโรงแรมที่ผมพักเดินมาสักประมาณ 5-6 นาทีก็จะเจอป้ายรถเมล์ใหญ่ตรงตลาดเบนถันครับ ใกล้กับป้ายรถบัสสาย 152 ที่จะไปสนามบินครับ

ป้ายรถบัสสาย 152 จะอยู่ริมสุดเลยครับ พอสำรวจทิศทางว่าป้ายรถเมล์อยู่ตรงไหนเสร็จแล้ว (เตรียมพร้อมตอนเดินทางกลับจะได้ไม่หลง) ก็เดินทางต่อไปยังจัตุรัสโฮจิมินห์ ไปดูกันดีกว่าว่ายามเช้าเป็นยังไง


บริเวณตรงนี้ศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ และรูปปั้นลุงโฮในตอนเช้าครับ บรรยากาศเงียบมากครับทั้ง ๆ ที่เป็นวันจันทร์ คงเพราะคนไปทำงานกันหมดมั้งครับ แต่ตอนเย็น ๆ ตรงนี้จะคึกคักเป็นพิเศษเลย

หลังจากนั้นก็เดินไปยังบริเวณไปรษณีย์กลางและโบสถ์นอธเทอดาม ก่อนไปขอหันหลังแวปถ่ายรูปศาลาว่ากลางก่อนแปบบบ

สภาพการจราจรในนครโฮจิมินห์ยามเช้าวันจันทร์ รถติดแล้ว เราไม่แคร์เพราะเราลาพักร้อนมาเที่ยวจะเห็นได้ว่าเนืองแน่นด้วยสองล้อมอเตอร์ไซค์

ในที่สุดก็มาถึงโบสถ์นอธเทอดาม อันเป็นโบสถ์โรมันแคทอลิค อันเป็นแลนมาร์คสำคัญของโฮจิมินห์ครับ

บรรยากาศโฮจิมินห์วันนี้อย่าแปลกใจนะครับ ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่นแบบภาพซีด สีซีดจริง ๆ น ะ วันนั้นสภาพท้องฟ้าของเมืองแห่งนี้เป็นแบบฟ้าปิดทั้งวันเลยครับ ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์เลย แต่ผมก็รู้สึกดีนะครับแบบได้มุมมองโฮจิมินห์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนใหญ่เห็นแต่ฟ้าสดใสกันช่ายมะ

อันนี้คือภายในโบสถ์นอธเทอดาม แต่ตอนที่ไปเค้ายังไม่เปิดให้เข้าไปชมตรงบริเวณด้านในกับไฟยังปิดมืดอยู่ เลยได้ภาพประมาณนี้อ่ะครับ

จากนั้นข้ามถนนไปยังไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ โดยได้รับการออกแบบผลงานระดับโลกของกุสตาฟ ไอเฟล (ผู้ออกแบบหอไอเฟล นั่นเอง)

ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (HO CHI MINH CENTRAL POST OFFICE)

- ออกแบบและก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอธิคผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก ผู้ออกแบบคือ กุสตาฟ ไอเฟล ที่ออกแบบผลงานระดับโลกนั่นก็คือ หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง

แต่เดิมบริเวณไปรษณีย์กลางโอจิมินห์จะเป็นตึกทาสีชมพูครับ ภายหลังก็มีการปรับปรุงเลยมีการทาสีเหลืองแทนสีชมพูครับ (ลองดูกระทู้รีวิวเก่า ๆ เปรียบเทียบดูนะครับ)

ภาพภายในไปรษณีย์กลางครับ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คนมาใช้บริการไปรษณีย์กัน

ตรงข้ามกับไปรษณีย์กลางก็เป็นโบสถ์นอธเทอดามครับ ถ่ายภาพกับสมุดมือนำเที่ยวนครโฮจิมินห์ของน้องนกแอร์ซะหน่อย ขอบคุณคู่มือเล่มนี้ครับทำให้เดินทัวร์เมืองแห่งนี้ได้อย่างสะดวก (ได้รับแจกบนเครื่องเนื่องจากเป็นไฟล์ทปฐมฤกษ์ครับ)

ร้านกาแฟ HIGHLAND COFFEE

- เป็นร้านกาแฟระดับไฮเอนด์ของเวียดนาม นอกจากจะมีกาแฟยังมีขนมปัง ของว่างต่าง ๆ ให้เลือกมากมายจะพบได้ทั่วในเมืองโฮจิมินห์

ระหว่างทางเดินจากโบสถ์นอธเทอดามไปยังทำเนียบอดีตประธานาธิบดีก็จะมีสวนสาธารณะตั้งอยู่ความรู้สึกเหมือนกับสวนลุมพินีที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสีลม ศาลาแดงประมาณนั้นครับ

ทำเนียบอดีตประธานาธิบดี (INDEPENDENCE PALACE)

- ทำเนียบประธานาธิบดีตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ปัจจุบันเป็นพิพิทธภัณฑ์ให้เข้าชมโดยเมื่อเดินขึ้นไปชั้นบนสุดก็จะมองลงมาเห็นสนามหญ้าสีเขียวและน้ำพุ รวมถึงสภาพของเมืองด้านนอกรั้วอย่างชัดเจน

วันทำการ : ทุกวัน เวลา 8.00 - 11.00 น. และ 14.00 - 16.00 น.


อันนี้คือตรงบริเวณด้านในอดีตทำเนียบประธานาบดีครับก็จะมีห้องต่าง ๆ มากมาย ทั้งห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ห้องทำงาน

เดินออกมาตรงระเบียงด้านนอกก็จะเห็นตรงบริเวณน้ำพุและถนนด้านหน้าอดีตทำเนียบประธานาธิบดี ฟ้าครึ้มเลยครับแต่ดีที่ฝนไม่ตก แดดไม่ออก

ส่วนบริเวณตรงนี้จะเป็นทางเดินด้านนอกครับสำหรับชมห้องต่าง ๆ ในทำเนียบอดีตประธานาธิบดี

บริเวณด้านนอกของทำเนียบอดีตประธานาธิบดีทางด้านซ้ายมือของตึกจะมีรถถังจอดเท่ห์ให้ถ่ายรูปกันด้วยครับ หลังจากชมสถานที่เสร็จเรียบร้อย ผมก็ออกไปเดินเล่นละแวกแถวทำเนียบ

จากตึกทำเนียบฯ จะข้ามถนนไปอีกฝั่งใช้เวลาพอสมควร ดูการจราจรกับปริมาณรถยนต์และมอเตอร์ไซค์สิครับ ถนนก็เล็กแต่กว่าจะข้ามได้นี่เหงื่อแตกเลยทีเดียว (แต่สนุกดีนะ)

ร้าน THE COFFEE FACTORY

- เป็นร้านกาแฟยอดนิยมในโฮจิมินห์ ด้วยการออกแบบคล้ายกับโรงงาน มีการนำถังแกลลอนมาเป็นโต๊ะกาแฟ และเปิดบริการ 24 ชั่วโมงพร้อมเมนูกาแฟ

(หมายเหตุ ผมไม่ได้เข้าไปชมบรรยากาศครับ แต่เอาข้อมูลมาให้เเบบคร่าว ๆ )

จากร้าน The Coffee Factory เดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับโบสถ์นอธเทอดามซึ่งถ้าเดินตรงมาก็จะเจอเลยครับ แต่ผมเดินหลงทางหาทางไปทำเนียบไม่ถูก พอมาเจอทางนี้แบบไว้อาลัยกับตัวเองทันที


จากทำเนียบอดีตประธานาธิบดีก็ตรงมาย่านตลาดเบนถันก็ทำภารกิจข้ามถนน สนุกตื่นเต้นมากเลยทีเดียว

ร้านคาเฟ่ที่ผมจะแวะก่อนกลับก็คือ ร้าน HIGHLAND COFFEE (ข้อมูลร้านดูจากด้านบนได้เลยครับ) แต่สาขานี้เป็นสาขาที่อยู่ตรงย่านฟามงูเหลา ใกล้กับเวียตซีและบริษัท FUTA BUS ครับ

เมนูที่สั่งก็คือ โอรีโอปั่นกับเค้กใบเตยครับ รสชาติเครื่องดื่มอร่อยใช้ได้ครับ ส่วนเค้กเฉย ๆ ครับ จุดประสงค์ที่มานั่งเพราะมาชาร์ตแบตมือถือกะนั่งพักเหนื่อย อิอิ

บรรยากาศช่วงเที่ยง ๆ ฟ้าก็ยังไม่เปิดทำให้เดินในตัวเมืองโฮจิมินห์ได้อย่างสบายเลยครับ และที่สำคัญอากาศเย็นด้วย (เดือนตุลาคม 2015) จากนั้นก็เลยแวะร้านเบเกอรี่คือร้าน TOUS les JOURS

ขนมปังของร้านนี้จะเป็นสไตล์ฝรั่งเศสผสานกับเอเชีย ซึ่งชื่อของร้านมีความหมายว่า "ทุกวัน" ส่วนผสมในเบเกอรี่ก็เป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงจากเกาหลีใต้ และปัจจุบันก็มีสาขาทั่วโลกครับทั้งในเกาหลี มาเลเซีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ผมก็ยืนเลือกอยู่นานเพราะจะเอาไปกินที่สนามบินด้วยครับจะได้มีอะไรไว้คลายหิวได้บ้าง พอซื้อเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับไปยังโฮสเทลเพื่อเอากระเป๋าและขึ้นรถบัสสาย 152 เพื่อไปสนามบินเตรียมตัวกลับบ้านเกิดตัวเองซะที

ปอลิง ขนมปังร้านนี้ผมว่าอร่อยมากครับไส้เน้น ๆ เลยผมซื้อครัวซองค์ชอคโกแลต ชอคโกแลตเยอะพอควรและโดนัทก็อร่อยดี

เพราะโลกนั้นกว้าง

 วันพฤหัสที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 10.41 น.

ความคิดเห็น