Day 4

สวัสดีเบตงยามเช้า ครั้งนี้ตื่นขึ้นมาด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ พยายามฟังเสียงจากหน้าต่างว่าฝนจะตกไหม พอไม่มีเสียงฝนเท่านั้นเราก็วิ่งไปล้างหน้าแปลงฟังอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นยังไม่ถึงตี 4 ดี หยิบกล้องกับขาตั้งรีบออกไปเพื่อจะไปให้ถึง จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงให้เร็วที่สุด ในใจคือเราต้องการจะถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังขึ้นผ่านหมอกให้ได้ และไม่อยากไปเบียดกับหลายๆคน เลยขอออกเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ระยะเวลาในการเดินทางเป็นชั่วโมงครับ ขี่ออกไปจากตัวเมืองประมาณ 35 กิโล ตลอดทางพบแต่ความมืดมิดสนิทและความหนาวเย็น ใช่ครับหนาวมากครับมือสั่นเลยละ พยายามขี่ให้ช้าที่สุดเพราะทางมีหมอกเยอะมาก ขี่ไปเรื่อยๆทำไมตัวเราเปียกเหมือนใครเอา Foggy มาฉีดใส่หน้าเราตลอดทาง จนไม่ไหวเลยจอดที่ด่านทหารขอพี่ทหารพักซักแปบ ก่อนจะเดินทางต่อไป เราขี่ไปรู้สึกทำไมมันไกลมากๆไกลจริงๆ แถมสัญญาณมือถือก็ไม่มี ขี่ไปจนเจอบ้านหลังนึงเลยหยุดถาม พี่เค้าบอกกับเราว่า เลยแล้วครับน้อง เลยมาไกลมากเกือบๆ 20 กิโล โอ้ว มิน่าละ แล้วมันจะเหลือหมอกให้เราเห็นไหมเนี้ย เรารีบ ขี่กลับ แต่ก็ไปเร็วมากไม่ได้ด้วยสิ เพราะน้ำมันจะหมด แล้วที่นี้หาปั้มยากมากครับ ต้องหาร้านขายน้ำมันขวดซึ่ง ณ เวลานี้ ยังไม่เปิด ช่วงที่น้ำมันกำลังจะหมด ได้เจอพี่ชาวบ้านท่านนึงน่าจะเป็นชาวอิสลาม ยืนเติมน้ำมันอยู่เลยขอให้พี่เค้าช่วยเติมน้ำมันให้หน่อย พี่เค้าใจดีมากแบ่งน้ำมันให้เราเติมแล้วบอกทางให้เราไปที่ จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง อีกด้วย

กว่าจะขึ้นมาถึงเวลาก็ล่วงไปเกือบ 9 โมงได้ ขนาดที่เรากำลังจอดรถแล้วเดินขึ้นไปคนที่ไปชมทะเลหมอกกฎเดินลงสวนเรามา ใจเราก็คิดนะว่าจะเหลือให้เราได้ดูไหมเนี้ย พอไปถึงจุดชมทะเลหมอก โอ้ววว มันสวยมาก ขนาดขึ้นไปสายขนาดนี้มันยังสวยขนาดนี้ เลยได้ถ่ายเก็บภาพเอาไว้เยอะเลยละ

ลงจากทะเลหมอกก็ได้เวลาที่เราจะต้องรีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะเหลือเวลาไม่มากที่จะต้องเช็คเอาท์แล้วเดินทางต่อไปยัง ปีนัง ประเทศมาเลเซีย ขี่มอเตอร์ไซค์ไปก็ชมความสวยงามของข้างทางไป จนก่อนเข้าตัวเมืองเบตง



เราต้องตกใจกับหมอกที่อยู่ตรงหน้า คือสรุปว่าเมื่อเช้านี้เราขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหมอกหนาขนาดนี้เลยหรอ หากเพื่อนๆคิดภาพไม่ออกลองนึกถึงนิยายแฟนตาซีนะครับ คือสุดยอดจริงๆ แต่พอผ่านช่องเขาจะเข้าเมืองกลับไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิด เหมือนเราขี่ผ่านประตูมิติออกมาอีกโลกนึง

พอเข้าเมืองมาได้ก็ต้องหาข้าวทานสิครับ ครั้งนี้เราเลือกเป็นร้านที่ๆนี้แนะนำ บะหมี่เบตง ครับ ร้านที่พี่เจ้าของ Hostel แนะนำคือ ร้าน ยิ้ม ยิ้ม บะหมี่เกี๊ยว ที่ร้านบอกเป็นสูตรของชาวจีนฮกเกี้ยน ตัวเส้นบะหมี่ทำเอง ร้านนี้ขายดีมากๆร้านเปิดตอนเช้าแปบเดียวก็หมดแล้ว

ตัวร้านอยู่หลังตลาดสดเบตงครับ หาง่ายมากๆ รสชาตถือว่าอร่อยดีครับ สำหรับคนที่ไม่ทานรสจัดแบบผม พี่ๆที่ร้านนี้น่ารัก ยืนคุยเล่นกับผมสนุกสนานมาก จนผมกินไป 2 จาน ราคาจานละ 60 บาท เท่านั้นเองครับ


หลังจากกินข้าวเป็นที่เรียบร้อย ยังพอมีเวลาเดินเล่นอีกเล็กน้อยผมเลยเดินเข้าไปในซอยหลังตลาด จนไปพบกับร้านกาแฟเล็กร้านนึงน่าสนใจมากครับ ชื่อร้าน อำเพอเบตง ไม่ต้องตกใจนะครับผมไม่ได้เขียนผิด ชื่อร้านที่นี้เขียนตามป้ายอำเภอเบตงในสมัยก่อน ตามหลักฐานรูปถ่ายที่มีมา ซึ่งเราเองก็กำลังหาอ่านเหตุผลของมันเช่นกัน แต่เอาเหอะเราไปต่อในแบบของเราดีกว่า ร้านนี้เราเข้าไปได้เจอกับ โกไข่ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านนี้


ได้เล่าให้ฟังว่าเค้าแค่อยากเก็บรูปเก่าๆของอำเภอเบตงเอาไว้ ช่วงแรกก็แค่เก็บเล่นๆเท่านั้น แต่เก็บไปเก็บมาตอนนี้มีมากถึง 300 กว่ารูป ซึ่งทุกรูปล้วนเล่าถึงประวัติศาสตร์ในสมัยแรกเริ่มของอำเภอเบตงนี้ ถือเป็นอีกสิ่งนึงที่น่าเข้าไปศึกษามาก เรากับ โกไข่ นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงได้ความรู้มากมาย จนสัญญาว่าครั้งหน้าจะขอกลับไปที่นี้อีกครั้งเพื่อไปนั่งคุยกันต่อ เพราะเมืองนี้น่าสนใจกว่าแค่มาถ่ายรูปเฉยๆ และที่สำคัญ ใครได้ไปถ่ายรูปตู้ไปรษณีย์เบตงที่อยู่กลางเมืองกันใช่ไหมครับ เคยสังเกตไหมว่าด้านบนตู้มีรู้ดำๆรอบเลย ครับนั้นคือลำโพงกระจายข่าวของเบตงนั้นเอง เพราะเมื่อก่อนเบตงอยู่ไกลจากตัวเมืองยะลามาก การเข้าถึงข่าวสารนั้นเป็นไปได้ยาก เลยได้คิดสร้างตู้นี้ขึ้นมาครับ


พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังมีอีกเรื่องนึงที่น่าสนใจคือ เบตงเป็นอำเภอเดียวที่มีป้ายทะเบียนรถเป็นของตัวเอง เหตุเพราะกว่าเบตงจะเข้าไปยังตัวเมืองยะลานั้นยากลำบากมาก ทำให้สมัยก่อนนั้นเลยให้ออกป้ายละเบียนรถที่นี้เองและไม่ได้ออกที่ขนส่งด้วยนะ สมัยโบราณสามารถขอทะเบียนรถได้ที่สถานีตำรวจเลยจ้า แต่สมัยนี้มีข่นส่งเบตงแล้วต้องไปขอที่นั้นนะ หลังจากคุยกับโกไข่มานานก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางต่อไปยังฝั่งมาเลเซียแล้วเลยขอตัวกลับก่อนเพื่อไปเก็บกระเป๋าและเดินทางกันต่อ

การมาครั้งนี้ตอบคำถามในใจมากมายที่เราตั้งขึ้นก่อนที่จะเดินทางมา เบตงไม่ใช่แค่ ok แต่คุณมาแล้วจะรักมัน

ทั้งความสวยงามของธรรมชาติ ความหลากหลายของพื้นที่ ส่วนเรา ประทับใจที่สุดกับความมีน้ำใจของที่นี้ ความใสซื่อ ความน่ารัก เป็นกันเอง ตลอด 3 วัน ที่เราอยู่ที่นี้มันทำให้เรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ยังมีอีกหลายๆอย่างที่อยากสัมผัส มีอีกหลายๆอย่างที่อยากค้นหา เราต้องเจอกันอีกแน่ เบตง...

ความคิดเห็น