ภาคเหนือ เป็นอีกภูมิภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติสูง
และมีกลิ่นอายความเป็นล้านนา ไม่ว่าจะเป็นทางศิลป์หรือทางวัฒนธรรม
ทริปนี้ หมู่เฮาขอนำทางทุกคนมาแอ่วที่ จังหวัดเจียงฮาย กันเน้อ
‘เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง’
คำขวัญประจำจังหวัดเชียงราย
‘เชียงราย’ เป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย เป็นดินแดนแห่งขุนเขา มีดอกไม้เมืองหนาวที่งดงาม เป็นเมืองแห่งพุทธศิลป์ที่รวมผลงานมากมายของเหล่าศิลปินแห่งชาติ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหลงเสน่ห์ล้านนากัน ออกเดินทางไปพร้อมหมู่เฮากั๋นเต๊อะเจ้า ~!
Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเชียงราย 4 วัน 3 คืนDay 1 : ออกเดินทางจากกรุงเทพ > อำเภอเมือง > ดอยแม่สลอง
Day 2 : ดอยแม่สลอง > อำเภอแม่ฟ้าหลวง > อำเภอแม่สาย > เมียร์มาร์ > อำเภอแม่จัน
Day 3 : อำเภอแม่จัน > อำเภอเมืองเชียงราย
Day 4 : อำเภอเมืองเชียงราย > เดินทางกลับกรุงเทพ
วันแรกของการเดินทาง : 24 กันยายน 2562
ขอออกตัวก่อนเลยว่าทริปนี้เป็นที่ตั้งหน้าตั้งตารอมานานมาก ทริปนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม .. เริ่มต้นจากการมือลั่นในโปร 0 บาทของแอร์เอเชีย .. จุดเริ่มต้นของเราเลยไม่พ้นที่จะเริ่มต้นจากสนามบินดอนเมือง .. ไฟลท์บินของเราออกเดินทางในเวลา 9.00 น. และจะไปถึงสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงในเวลา 10.25 น. ใช้เวลาเดินทาง 1.25 ชั่วโมง ..
เมื่อถึงสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เรามารับรถยนต์ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าไว้ ครั้งนี้ เราเลือกใช้บริการของ AVIS Thailand โดยจองผ่านโปรโมชั่นของ AIS Serenade โดยรถที่เราเลือกเป็น Toyota Vios 1.5 Auto พร้อมประกันภัยชั้น 1 ค่ะ ..
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เรามาตะลุยเชียงรายกันดีกว่า .. เริ่มต้นทริป เรามาสักการะพ่อขุนเม็งรายเพื่อความเป็นสิริมงคลกันก่อน เราปักหมุดใน google map สถานที่แรกที่เราจะไป คือ อนุเสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ตั้งอยู่บริเวณห้าแยกพ่อขุน .. อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช สร้างขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณของพ่อขุนเม็งราย ทรงสถาปนาอาณาจักรล้านนาไทยให้เป็นปึกแผ่น และยังเป็นกษัตริย์ที่ทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้น
ถึงเวลาอาหารกลางวัน เรามาฝากท้องกันที่ ร้านข้าวซอยพอใจ อยู่ใกล้ๆหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นร้านข้าวซอยและน้ำเงี้ยวเก่าแก่ของจังหวัดเชียงราย เปิดร้านมานานกว่า 30 ปี ข้าวซอยทานพร้อมกับเครื่องเคียง หอมแดงซอย มะนาว และผักกาดดองปรุงรสที่รส ร้านเปิดบริการทุกวัน เวลา 8.00 น. – 16.00 น. ที่ร้านนอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวยังมีอาหารอย่างอื่นให้เลือกทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่าง ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม มื้อนี้จ่ายไป 95 บาท ความคิดเห็นส่วนตัวนะสำหรับร้านนี้ ไม่ว้าวเท่าไหร่ เราตามมาจากรีวิวหลายๆที่ว่าต้องมาทาน หาที่จอดรถยาก การบริการไม่ค่อยโอเค ไม่สนใจลูกค้าเท่าที่ควร ขอให้คะแนนร้านนี้ 6/10 ค่ะ
เติมพลังเรียบร้อย เราจะพาไปไหว้พระในเมืองเชียงรายกันต่อ เราเลือกมา 4 ที่ วัดแรกที่เรามา คือ วัดร่องขุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ต้องไปเยือนเมื่อมาถึงจังหวัดเชียงราย มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยสถาปัตยกรรมที่ละเอียดละออ แฝงไปด้วยคติธรรมคำสอนต่างๆ ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ ซึ่งอาจารย์เฉลิมชัย ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างวัดมาจาก 3 สิ่งต่อไปนี้ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ .. คนไทยเข้าชมฟรีค่ะ
วัดที่สอง วัดพระแก้ว เป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญของจังหวัดเชียงราย และวัดนี้เองที่ได้ค้นพบพระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้วหรือวัดศรีรัตนศาสดาราม ที่กรุงเทพมหานคร .. ปัจจุบัน วัดพระแก้วที่เชียงราย เป็นที่ประดิษฐาน พระหยก ที่สร้างขึ้นใหม่ ในวาระที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุครบ 90 พรรษา
ภายในพระอุโบสถ มีพระประทานชื่อว่า พระเจ้าล้านทอง เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย นอกจากนี้ภายในวัด ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น โฮงหลวงแสงแก้ว เป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 17.00 น.
วัดที่สาม วัดร่องเสือเต้น ใช้เวลาก่อสร้าง 11 ปีจึงแล้วเสร็จ โทนสีที่ใช้เป็นโทนสีน้ำเงินฟ้าตัดกับสีทองเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับวิหาร ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ สีขาวมุก บริเวณพระเศียรก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้
ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของวัดร้าง จากคำบอกเล่า ในสมัยนั้นยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนอาศัยอยู่มากนัก สัตว์ป่าจึงมีจำนวนมากโดยเฉพาะเสือ ชาวบ้านที่ผ่านแถวนั้นมักชอบเห็นเสือกระโดดข้ามร่องน้ำไปมา จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ร่องเสือเต้น” วัดร่องเสือเต้นถูกสร้างขึ้นเนื่องจากชาวบ้านร่องเสือเต้นไม่มีที่ทำบุญในหมู่บ้าน เวลาทำบุญในวันสำคัญต้องไปทำบุญที่วัดอื่น จึงได้ร่วมกันบูรณะวัดร้างแห่งนี้ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านร่องเสือเต้น และเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาใน วันสำคัญ จึงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นและให้ชื่อว่า “วัดร่องเสือเต้น”
และวัดสุดท้าย วัดห้วยปลากั้ง เป็นวัดที่ถือเป็นจุดกำเนิดพุทธศาสนาในเชียงรายแห่งหนึ่งที่สำคัญ ภายในวัดยังมีพระมหาพบโชคธรรมเจดีย์ 9 ชั้น ภายในมีพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมจำลองแกะสลักจากไม้หอม และแต่ละชั้นจะมีพระพุทธรูปประจำชั้นประดิษฐานอยู่
สิ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นเมื่อได้มา คือ องค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ สามารถขึ้นไปชมภูมิทัศน์ที่สวยงามของเชียงรายได้ด้วยลิฟท์ที่ชั้น 25
เสร็จจากการไหว้พระ เราจะเดินทางมุ่งตรงสู่ดอยแม่สลอง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องธรรมชาติสวยงาม มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีไร่ชาชั้นดี เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวจีนยูนนาน ชุมชนชาวจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง มีชื่อว่า หมู่บ้านสันติคีรี และยังเป็นที่อยู่ของชาวอาข่าและชาวเขาท้องถิ่นอีกหลายเผ่า
เราแวะเข้าไปเช็คอินที่ที่พักกันก่อน ที่พักคืนแรกของเราบนดอยแม่สลอง คือ 101 ที กรีน วิว (101 Tea Green View) เราทำการจองผ่าน Agoda มาในราคา 996 บาท รวมอาหารเช้า .. เราเลือกห้องพักประเภท Deluxe Double เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ มีระเบียงห้องพักที่เห็นวิวไร่ชาที่สวยที่สุด ตกแต่งสไตล์ Loft เช็คอินเวลา 14.00 น. เช็คเอ้าท์ 12.00 น. พนักงานตอนรับอยู่บริการถึง 21.00 น.
เก็บสัมภาระเรียบร้อย เราขับรถมุ่งหน้าต่อไปยังพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี เป็นสัญลักษณ์สำคัญประจำดอยแม่สลองและเป็นจุดสูงสุดของดอยแม่สลอง กว่าจะขึ้นมาถึงที่นี่ได้บอกได้คำเดียวว่ายากเหมือนกัน หนทางขดเคี้ยว สูงและชัน แนะนำให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่สมเด็จย่าเมื่อปี พ.ศ. 2539 องค์พระธาตุมีความสวยงาม บริเวณรอบๆ มีจุดชมวิวมุมสูงสวยงามที่สามารถเห็นพื้นที่ในเขตดอยแม่สลองได้โดยรอบ เป็นที่ชมพระอาทิตย์อุทัยที่สวยงามอีกแห่ง
ขับรถลงมาอีกหน่อย จะพบกับจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินบนดอยแม่สลอง เราอยู่กันที่นี่จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนกลับลงมายังที่พัก เพื่อทานอาหารเย็น
มื้อเย็นของเรา เราสั่งเป็นชุดสุกี้หมูกระทะ มีให้เลือก 2 ชุด ชุดเล็ก 600 บาท ชุดใหญ่ 1,000 บาท มีบริการตลอดไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือใครจะสั่งเป็นกับข้าวหรือข้าวจานเดียวก็มีให้บริการ ครัวปิดประมาณ 3 ทุ่ม .. นั่งทานกันตรงบริเวณด้านนอกริมไร่ชา แต่กลางคืนมองไม่เห็นไร่ชาค่ะ แต่อากาศเย็นสบาย กับหมูกระทะ ฟินอย่าบอกใครเลย
วันที่สองของการเดินทาง : 25 กันยายน 2562
อรุณสวัสดิ์ ~ ยามเช้ากับวิวไร่ชาจากระเบียงห้องพักนะจ้า .. เรารีบตื่นมาเพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น ขอบอกเลยว่า ห้องของเราสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากระเบียงห้องพักได้เลยค่ะ
หลังจากนั้น เราก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดเพื่อไปโพสท่าสวยๆกับวิวไร่ชายามเช้ากัน ที่ไร่จะมีชุดชาวเขาให้เช่าถ่ายรูปด้วยนะ ชุดละ 100 บาท และมีหมวกกับตระกร้าให้ยืมเพื่อเป็นพร๊อพถ่ายรูปได้ด้วย แต่เราเตรียมชุดไปเองค่ะ ชุดเดียวกันกับที่ซื้อมาตอนทริปสังขละบุรี อยากให้สีเหลืองตัดกับความเขียวของไร่ชาค่ะ ภาพออกมาจะสวยแค่ไหนไปดูกัน
เมื่อถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วท้องก็เริ่มร้อง เราเดินไปยังห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้ากันค่ะ อาหารเช้ามีหลายสไตล์ เช่น ผัดหมี่ ข้าวต้ม ข้าวผัด ไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง ปาท่องโก๋ ฯลฯ สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบค่ะ อาหารเช้าจะเปิดให้บริการเวลา 7.00 น. - 10.00 น.
มาถึงไร่ชาจะไม่ให้ชิมชาได้ไง จริงมั้ย? .. ไร่ชา 101 เป็นไร่ชาชื่อดังบนดอยแม่สลอง เป็นไร่ชาที่คว้ารางวัลชนะเลิศในการประกวดสุดยอดชาระดับโลกมาครอบครอง เราจะได้เห็นความสวยงามของต้นชาที่เรียงรายเป็นขั้นบันไดสลับกับวิวภูเขา
ไร่ชาแห่งนี้มีการปลูกชาจีนชั้นดีอยู่ 3 ประเภท คือ ชาอู่หลงก้านอ่อน ชาอู่หลงเบอร์ 12 และชาสี่ฤดู เราสามารถแวะเข้าไปชมวิวไร่ชา ชมขั้นตอนการเก็บและการผลิตชา ชมการสาธิตการชงชาที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมหอมอร่อยที่สุด และแน่นอนว่าต้องไม่พลาดการร่วมชิมชาขนานต่างๆ (ชิมฟรี) และแวะซื้อชาเป็นของฝากกลับบ้านได้ที่นี่เลยค่ะ
วันนี้ชาที่เราได้ชิมมีอยู่ 5 ตัวด้วยกัน คือ ชาอู่หลงเบอร์ 12, ชาอู่หลงก้านอ่อน, ชาแดง, ชาหอมหมื่นลี้ และชาเขียวนม 3in1 .. ระหว่างการสาธิตพี่ๆก็จะให้ความรู้เรื่องการชงชา และบรรยายสรรพคุณของชาแต่ละชนิด
ชาอู่หลงเบอร์ 12 : จะมีความเข้มกว่าชาอู่หลงก้านอ่อนและมีความหอมของตัวชา
ชาอู่หลงก้านอ่อน : เป็นชาที่โด่งดังที่สุดของเมืองไทย ขึ้นชื่อในเรื่องความหอม และรสชาติชาที่นุ่มชุ่มคอ
ชาหอมหมื่นลี้ : เป็นชาอู่หลงผสมดอกหอมหมื่นลี้ ทำให้ได้รสชาติชาหอมเข้ม และมีรสหวานหอมที่ได้จากดอกหอมหมื่นลี้
ชาแดง : เป็นชาอู่หลงที่ไม่ใส่คาเฟอีน
หลังจากที่เราเชคเอ้าท์ออกจากที่พักแล้ว ระหว่างทางเราแวะที่ ลานพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประจำปี ‘ประเพณีโล้ชิงช้า’ ประเพณีที่สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่มีความงดงามและเรียบง่ายของชาวอาข่า เพื่อฉลองการเติบโตของพืชพันธุ์ธัญญาหาร และเป็นการบวงสรวงเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าแห่งสายฝนตามความเชื่อของชาวอาข่า .. เราแวะที่นี่เพราะอยากจะลองโล้ชิงช้าดูสักครั้ง แต่โล้ได้ไม่สูงเท่าชาวอาข่านะ กลัวตกแล้วเจ็บจ้า อิอิ
จากนั้น เรามุ่งหน้าต่อไปยังดอยตุง .. ดอยตุงจะมี 4 สถานที่หลักๆให้เราเที่ยวชม คือ พระตำหนักดอยตุง, สวนแม่ฟ้าหลวง, หอแห่งแรงบันดาลใจ, สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง(ดอยช้างมูบ) แต่ละสถานที่มีค่าบริการสถานที่ละ 90 บาท เราจึงตัดสินใจว่ามาทั้งทีอยากเก็บให้ครบเพราะเราไม่ได้มากันบ่อยๆ เราจึงเลือกซื้อบัตรแบบเหมาในราคา 220 บาท
เมื่อได้บัตรมาแล้วจุดแรกที่เราจะไปชม นั่นคือ พระตำหนักดอยตุง ที่เราเลือกมาที่นี่ก่อนเพราะเดี๋ยวเค้าจะปิดทำความสะอาดตอน 11.40 น. ค่ะ .. พระตำหนักดอยตุง เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า พระตำหนักผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับชาเลย์ของสวิสฯ มีการแกะสลักไม้ตามกาแล ภายในพระตำหนักไม่ให้ถ่ายรูปแบะวีดีโอ บริเวณทางเข้าจะมีเครื่องบันทึกเสียงพร้อมหูฟังบรรยายถึงประวัติและเรื่องราวต่างๆในแต่ละจุดของพระตำหนัก พระตำหนักดอยตุง เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.00 น. - 17.30 น. โปรดแต่งกายด้วยชุดสุภาพนะคะ นุ่งสั้นแขนกุดมาต้องสวมเสื้อคลุมที่เค้าเตรียมไว้ตรงจุดตรวจบัตรนะ
เที่ยงพอดี เราแวะทานข้าวกันที่ห้องอาหารดอยตุงกันก่อนที่จะไปต่อ หรือใครจะแวะทานกาแฟดอยตุงก็ได้นะคะ ห้องอาหารที่นี้รสชาติอาหารใช้ได้เลยค่ะ แถมราคาไม่แพง
จุดที่สองที่เข้าไปชม คือ สวนแม่ฟ้าหลวง อยู่บริเวณเดียวกันกับที่จำหน่ายตั๋ว เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว ถือเป็นไฮไลต์ในการมาเที่ยวดอยตุง ที่จะได้เก็บภาพความประดับใจกับทุ่งดอกไม้สีสีนสดใส ตามพระราชดำริของสมเด็จย่า ที่ต้องการให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศ ได้เห็นไม้ดอกเมืองหนาว สวนแม่ฟ้าหลวง เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.30 น. - 18.00 น.
นอกจากดอกไม้สวยๆแล้ว ภายในสวนแม่ฟ้าหลวงก็มีอีกหนึ่งกิจกรรม Adventure ที่ต้องลอง นั่นคือ Doitung Tree Topwalk & Zipline ทางเดินบนเรือนยอดไม้ มีค่าธรรมเนียมในการเล่น 150 บาท มีเป็นรอบๆรอบละครึ่งชั่วโมง สะพานมีความยาว 300 เมตร สูงจากพื้นดินกว่า 40 เมตร จะสูงจะเสียวแค่ไหน ไปดูกัน .. แอบเสียวกว่าการเล่น zipline ตรงที่สะพานมีความโยกเยกอยู่ตลอดเวลา บวกกับจินตการความกลัวว่าจะตก แต่ก็มีอุปกรณ์เซฟตี้เราไว้อยู่ สบายใจได้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.00 น. - 17.30 น.
ช่วงการเดินช่วงสุดท้ายมีความขาสั่น สะพานไม้ที่เราเดินจะลดขนาดความกว้างของแผ่นไม้ลง จนมองทะลุลงไปเห็นเบื้องล่างได้ และเป็นจุดที่มีความสูงจากพื้นดินมากกว่าทุกจุดด้วย .. ฐานสุดท้ายเป็นการโหน Zipline ฐานนี้ใครจะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ แต่มาทั้งทีก็ไม่ควรพลาดนะ
จุดที่สามไม่ใกล้ไม่ไกลจากสวนแม่ฟ้าหลวง คือ หอแห่งแรงบันดาลใจ เป็นหอที่ถ่ายทอดพระราชจริยวัตรในการทำงานของสมเด็จย่า และแนวพระราชดำริของสมาชิกทั้งห้าพระองค์ในราชสกุลมหิดล หอแห่งแรงบันดาลใจนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 17.00 น.
ต่อจากนั้น เรามาเอารถที่จอดไว้บริเวณ กาดดอยตุง เป็นตลาดสินค้าของชาวเขามาขายเอง ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า สินค้าพื้นเมือง ผลไม้ต่างๆ
จุดที่สี่ที่เราจะไปนั้นต้องขับรถขึ้นไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตร คือ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง (ดอยช้างมูบ) เป็นสถานที่ที่รวบรวมพันธุ์ไม้ตระกูลกุหลาบพันปีไว้มากที่สุดในประเทศ และเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สวนกุหลาบพันปี แห่งดอยช้างมูบ’
นอกจากนี้ มาถึงดอยตุงก็ควรจะมากราบไหว้พระธาตุดอยตุง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงราย และเป็นพระธาตุประจำปีกุน .. เป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กสององค์ เป็นที่บรรจุพระรากขวัญเบื้อซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้า
สถานที่ต่อไปเราจะขับรถเลียบชายแดนไปบ้านผาฮี้กันค่ะ แต่ระหว่างทางเรามาแวะตรงฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ ซึ่งเป็นหน่วยป้องกันชายแดนไทย-เมียนมาร์ ทางเดินขึ้นสู่ยอดจุดชมวิวนั้นมีลักษณะเหมือนค่ายเฉลยศึกเลย แต่เมื่อเดินพ้นมาก็จะเจอกับวิวพาโนราม่าของเทือกเขาในประเทศเมียร์มาร์ ใครอยากจะสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ลองแวะมาชมวิวที่ดอยช้างมูบกันได้นะคะ
เมื่อเรามาถึงบ้านผาฮี้ หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาของชนเผ่าอาข่า มีการปลูกกาแฟเป็นอาชีพหลัก จึงทำให้หมู่บ้านนี้มีร้านกาแฟอยู่หลายร้าน แต่เราจะพาทุกคนไป 2 ร้านดังที่ชื่อใกล้เคียงกัน .. ร้านแรก ชื่อว่า กาแฟผาฮี้ ซึ่งเป็นร้านที่อยู่ต้นๆของหมู่บ้าน มีสัญลักษณ์เป็นร่มสีแดง มีโซนให้นั่งห้อยขาชมวิวบรรยากาศของหมู่บ้านผาฮี้ เบื้องหน้าคือช่องเขาที่เรียกว่า ‘กิ่วคอนาง’ ร้านกาแฟผาฮี้จึงเป็นร้านที่ชมวิวกิ่งคอนางได้สวยที่สุด
เดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกสักหน่อยจะเป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งร้านกาแฟ ชื่อว่า กาแฟภูผาฮี้ มีสัญลักษณ์เป็นร่มสีเขียว เป็นร้านที่มีจุดถ่ายรูปมุมมหาชนเลยก็ว่าได้ แถมมีชุดชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่าให้ใส่ถ่ายรูปกับวิวสวยๆ ฟรีอีกด้วย ..
ใครชอบมุมแบบไหนก็เลือกได้ตามใจเลยค่ะ หมู่บ้านผาฮี้เป็นที่นิยมมากขึ้นที่นักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมจากเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำในปี 2561 ที่ผ่านมา เหมาะสำหรับเป็นจุดแวะพักระหว่างทางที่ดีทีเดียว
มาเที่ยวกับเราทั้งทีต้องไปในสุด ครั้งนี้ เรามีโอกาสได้มาที่จุดเหนือสุดในสยาม ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของถนนพหลโยธิน .. ก่อนที่เราจะไปถึงจุดเหนือสุดในสยามเรามาแวะที่หอประชุมพรหมมหาราช ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ก่อนเพื่อทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา
หนังสือผ่านแดนชั่วคราว เปรียบเสมือน วีซ่า ใช้สำหรับเดินทางข้ามแดนไปได้ครั้งเดียว หนังสือฉบับบนี้มีอายุ 7 วัน เอกสารที่ใช้ใช้แค่บัตรประชาชนเพียงใบเดียว และเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30 บาท และพอจะผ่าน ตม. เสียค่าธรรมเนียมอีก 10 บาท .. เราข้ามด่านชายแดนไทย-พม่า ที่เรียกว่า "ด่านแม่สาย" ไปยังตลาดท่าขี้เหล็ก ของฝั่งเมียร์มาร์
เมื่อมาถึงจุดเหนือสุดในสยามแล้ว อย่าลืมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับป้ายเหนือสุดแดนสยามกันด้วยนะคะ เพื่อเราจะได้ระลึกว่าเราได้มาถึงจุดสูงสุดของประเทศเรากันแล้ว
ถึงเวลาเข้าที่พักกันแล้ว คืนที่สองนี้เราพักกันที่ ดอยตุง วิว รีสอร์ท (Doitung View Resort) เราทำการจองผ่าน Agoda มาในราคา 811.90 บาท ราคานี้ไม่รวมรวมอาหารเช้า .. เราเลือกห้องพักแบบ Villa King เลือกเป็นห้องพักสไตล์ยุโรป มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ใช้ระบบคีย์การ์ดในการเข้าห้อง
ที่พักแห่งนี้เป็นอีกทางเลือกดีๆสำหรับคนที่จะมาเที่ยวดอยตุงหรือแม่สาย มีห้องให้เลือกหลายแบบและราคาไม่แพง มีทั้งสไตล์ยุโรปและล้านนา เงียบและสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนมากๆค่ะ
ช่วงที่เรามาพักนั้น ไม่มีบริการของห้องอาหาร จากที่เราสอบถามที่พักจะมีให้บริการอาหารในช่วงเดือนตุลาคมค่ะ มื้อเย็นเราจึงต้องออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารแถวๆรีสอร์ท ชื่อว่า ครัวฮิมเขื่อน อาหารรสชาติดีทีเดียว ราคาไม่แพง มื้อนี้ค่าเสียหายอยู่ที่ 480 บาทค่ะ (ถ่ายภาพอาหารมาแค่เมนูเดียว ส่วนบรรยากาศของร้านเราไปตอนมืดแล้วทำให้มองบริเวณโดยรอบไม่เห็นเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม ขออภัยด้วยนะคะ)
วันที่สามของการเดินทาง : 26 กันยายน 2562
สวัสดีตอนเช้าจ้า ~ วันนี้เราจะอยู่เที่ยวเชียงรายกันเต็มอีกหนึ่งวันนะคะ วันนี้ก็จะชิลล์ๆหน่อย โปรแกรมเที่ยวไม่แน่นเหมือนสองวันที่ผ่านมา .. ก่อนทำการเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักในตอนเช้า เราขอมาถ่ายรูปเล่นกับบรรยากาศที่พักสักหน่อย ก่อนจะออกไปที่ไร่ชาฉุยฟง
ไร่ชาฉุยฟง เป็นที่ปลูกไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่ง คือ ไร่ชาฉุยฟง อ.แม่จันกับไร่ชาฉุยฟงบ้านพญาไพร อ.แม่ฟ้าหลวง .. แต่ไร่ชาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ อ.แม่จัน ..
เรามาถึงที่ไร่ตอน 8.30 น. เป็นเวลาเปิดไร่พอดี มาช่วยเค้าเปิดไร่ซะเลย เรานำรถมาจอดตรงอาคารด้านในโซนที่มีโรงงาน อาคารนั้นจะมีอาหารขายด้วย เราตั้งใจมาฝากมื้อเช้าไว้ที่นี่ .. เราสั่งเป็นข้าวผัดไส้อั่วและบะหมี่ซอสหมูยูนนานมาทาน รสชาติโอเคเลยค่ะ ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 255 บาท
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ เราก็ไม่พ้นที่จะมาถ่ายภาพสวยๆกับไร่ชา หากใครแวะมา ทางไร่ชาเปิดเข้าชมฟรีทุกวัน 8.30-17.30 น. ค่ะ
เมื่อกินคาวเสร็จแล้ว ไม่กินหวานก็คงผิดคอนเซป เราเลย Move มาอีกอาคาร อาคารนี้จะมีขายแค่เครื่องดื่มและขนมเค้กค่ะ
เราสั่งเป็นชาเขียวปั่นและโรลชาเขียว เมนูยอดฮิตที่คนมาที่นี่ต้องสั่งมาทาน และเราได้สั่งเค้กเมนูใหม่ของที่ร้านมาทาน คือ ฮันนี่โทสเลม่อนชีสเค้ก มาลองทานด้วยอีกหนึ่งเมนู .. เค้กของที่นี่มีหลายรสชาติ น่าทานทั้งนั้นเลย ถ้าสั่งมาลองหมดคงเหลือแน่ๆ ใครลองเค้กอันไหนอย่าลืมมาเล่าให้ฟังบ้างนะจ๊ะ .. สำหรับมื้อนี้เราจ่ายไป 315 บาทค่ะ
อีกหนึ่งอาคารอยู่โซนด้านหน้าเลยค่ะ แต่ไม่เปิดให้ใช้บริการ แต่จะมีทางโซนทางเดินให้เดินออกไปใต้ต้นไม้แบบในภาพด้านล่างนี้ .. ใครเป็นสายชาเขียว ต้องห้ามพลาดที่จะมาที่นี่ ไร่ชาฉุยฟง ขอบอกเลยว่าฟินจริง ๆ มีมุมถ่ายรูปเยอะด้วย ได้ภาพสวย ๆ กลับไปพร้อมกับความประทับใจแน่นอน
จากนั้น เรามาแวะที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ สร้างขึ้นโดยศิลปินแห่งชาติ อ.ถวัลย์ ดัชนี ลักษณะของบ้านดำ บ้านเกือบทุกหลังจะทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นสีโปรดของ อ.ถวัลย์ ดัชนี .. ค่าเข้าชม 80 บาท ราคาเดียว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 17.00 น.
พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ประกอบไปด้วยบ้านทั้งหมด 36 หลัง สามารถเดินเข้าชมในบ้านได้เพียง 2-3 หลัง ส่วนหลังอื่นๆ มองเข้าไปได้จากหน้าประตูเท่านั้น
ตามเส้นทางเราจะผ่านที่พักของคืนนี้กันก่อน เราจึงแวะเช็คอินเลย คืนนี้เราพักกันที่ The loft @chiangrai รีสอร์ทชั้นเดียว ระดับ 2 ดาว ตกแต่งสไตล์ลอฟท์ ห้องใหม่ สะอาด ราคาถูก อยู่ใกล้สนามบินนานาชาติเชียงราย เราทำการจองผ่าน Agoda มาในราคา 539.62 บาท ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า .. เราเลือกห้องพักแบบ Budget Double Bed เตียงแข็งไปหน่อย แต่ก็นอนได้ สามารถนำรถมาจอดที่หน้าห้องได้เลย
โอเค! พักผ่อนพอประมาณ ท้องก็เริ่มร้อง เอาออกรถเพื่อไปลิ้มลอง ข้าวมันไก่หลิบบุ๊ง ข้าวมันไก่ร้านนี้เด็ดตรงที่ใช้เตาถ่านในการหุงข้าว บรรยากาศของร้านไม่เหมือนร้านข้าวมันไก่ที่เคยเจอมาเลยจ้า แถมคนขายยังแต่งตัวเต็มยศเหมือนมาจากเชฟในโรงแรม .. ร้านเปิด 6.30 น. - 15.00 น.
ที่นี่ มีขายทั้งไก่ต้ม ไก่ทอด ไก่ย่าง น้ำจิ้มรสชาติกลางๆ สามารถเพิ่มขิงหรือพริกเองได้ นอกจากข้าวมันไก่แล้ว ยังมีอีกหลายเมนูให้เลือกทาน อย่างเช่น หมูสะเต๊ะ สลัดไก่ย่าง ปอเปี๊ยะทอด เป็นต้น เราเลยสั่งหมูสะเต๊ะมาลองทาน คือ ดีย์มากอ่ะ โดยรวมๆ เราชอบร้านนี้มากเลย ลอง?แวะมาลองทานกันดูนะคะ
ลุยกันต่อที่ สิงห์ปาร์ค หลายคนรู้จักในนาม ‘ไร่บุญรอด’ ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 8,000 ไร่ โดยหัวใจหลักของที่นี่คือ การมุ่งเน้นทำเกษตรแบบผสมผสาน รักษาสมดุลของธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกับชุมชน .. ที่ไร่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย เราสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเลยค่ะ .. ส่วนงาน Singha Park Chiangrai Farm Festival on The Hill 2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 พ.ย. - 1 ธ.ค. และงาน International Balloon Fiesta 2020 จะจัดขึ้นวันที่ 12-16 ก.พ. 63 นี้ค่ะ
จุดแรกของไร่สิงห์แห่งนี้ เราจะพลาดไม่ได้กับ ‘รูปปั้นสิงห์สีทองตัวใหญ่’ จุดนี้จะเรียกว่าเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ก็ว่าได้ เพราะ ใครที่ผ่านไปผ่านมาต้องแวะเวียนมาแชะภาพคู่กับเจ้าสิงห์ตัวนี้ไม่เว้นว่างกันเลยทีเดียว แต่การที่จะได้รูปสวยๆสักรูปนึงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องยืนตากแดดเพื่อรอให้คนที่นั่งหลบแดดบริเวณฐานสิงห์รู้ตัวว่าไม่ใช่ที่นั่ง หลบฉากออกไป ไหนจะต้องเล็งมุมกดลั่นชัตเตอร์เพื่อไม่ให้ติดคนอีก ก็ต้องใช้เวลาและจังหวะที่เหมาะสม ยิ่งเย็นบริเวณนี้ก็ยิ่งคับคั่งไปด้วยผู้คน เราจึงยอมตากแดดตอนตะวันตรงหัวเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามนี้
หากใครอยากเที่ยวชมไร่สิงห์แบบครบถ้วน ทุกซอกทุกมุม แนะนำใช้บริการฟาร์มทัวร์จะสะดวกที่สุด เพราะ เราสามารถขับรถส่วนตัวเข้ามาได้เฉพาะโซนร้านอาหารภูภิรมย์และโซนบ้านแดงเท่านั้น .. สามารถติดต่อซื้อตั๋วได้ตรงจุดประชาสัมพันธ์ โดยรถรางบริการของที่นี่จะออกเป็นรอบๆ ทุกๆครึ่งชั่วโมง รอบนึงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาค่าตั๋วคนละ 100 บาท เด็กความสูงไม่เกิน 110 ซม. ราคา 50 บาท หากมาในช่วงเวลา 8.30 น. - 15.30 น. รถรางจะแวะ 5 จุดๆละ 10 นาที หากมาในช่วง 16.00 น. - 17.00 น. จะเหลือแค่ 4 จุดค่ะ จุดที่จะไม่ได้ไป คือ จุดชมชีวิตสัตว์ เรามาทันรอบ 15.00 น. โชคดีที่รอบนี้คนไม่เยอะมากเลยไม่เจ๊าะแจ๊ะจอแจ แวะที่ไหนกันบ้างตามเราไปดูเลยค่ะ
Station 1 จุดทะเลสาปฝูงหงส์ : ตรงจุดนี้มีหงส์อยู่กว่า 50 ตัว แต่วันนี้หงส์ออกมาให้เราเห็นเพียงแค่ 5เท่านั้นเองค่ะ
Station 2 จุดถ่ายรูปไร่ชาอู่หลง เบอร์ 12 : จุดนี้จะมีบริการชุดชาวเขาให้ยืมมาสวมพร้อมตระกร้าเก็บใบชามาเป็นพร๊อบสำหรับการถ่ายรูปกับไร่ชาที่ทอดตัวยาวกว่า 600 ไร่ และยังมีจุดบริการให้เราชิมชาฟรีๆได้อีกด้วย
Station 3 จุดเพาะเห็ดถั่งเช่าสีทอง : จุดนี้เป็นโรงเพาะเห็ด มีชาถั่งเช่าให้ชิมและจำหน่าย แต่สตรีมีครรภ์ให้นมบุตร และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ควรรับประทานนะคะ
Station 4 จุดชมชีวิตสัตว์ : เป็นฟาร์มสัตว์เล็กๆ ภายในประกอบไปด้วย ยีราฟ ม้าลาย วัววาตูซี่ และเชทแลนด์ ให้ชมค่ะ
Station 5 จุดศูนย์กีฬาสันทนาการ (บ้านแดง) : มีบริการเช่าจักรยาน และลงทะเบียนเพื่อโรยตัวโหนไร่ชา หรือที่เรียกว่า Zip Line อัตราค่าบริการคนละ 300 บาทต่อรอบ แต่ถ้าเป็น Zip Line ที่ผ่านไร่ชา จะมี 4 ฐาน อัตราค่าบริการคนละ 800 บาทต่อรอบ .. บริเวณนี้รถยนต์สามารถขับมาตรงบริเวณนี้ได้
แล้วตอนนี้ทางไร่มีกิจกรรมใหม่ล่าสุด คือ Scooter Tour สามารถติดต่อได้ตรงจุดเช่าจักรยานหรือศูนย์กิจกรรมและสันทนาการบ้านแดงได้เลยค่ะ ค่าบริการเช่า 250 บาทต่อชั่วโมงค่ะ .. ส่วนใครอยากออกกำลังสามารถเช่าจักรยานปั่นไปตามเส้นทางอันสวยงามภายในไร่ได้ อัตราค่าบริการเช่าจักรยาน สำหรับค่าบริการเช่าจักรยาน แบ่งเป็น ดังนี้
• แบบ 2 ที่นั่ง Tendum Bike
1 hr 150 บาท
2 hrs 200บาท
6 hrs/1day 400บาท
• แบบปั่นคนเดียว เสือภูเขา Mountain Bike
1 hr 100บาท
3 hrs/ 1/2 day 250บาท
6 hrs/ 1 day 400บาท
แพลนวันนี้ค่อนข้างหลวม เรามีเวลาเหลือราวๆ 2 ชั่วโมง กว่าเชียงรายไนท์บาซาร์จะเปิด เราจึงทิ้งตัวอยู่ Farm Design เพื่อรอเวลาที่เชียงรายไนท์บาซาร์เปิด .. และเลือกดูของฝากจากไร่สิงห์ปาร์คซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าไม่ไกลจาก Farm Design
เชียงรายไนท์บาซาร์ เป็นตลาดนัดยามค่ำคืน อยู่กลางตัวเมืองเชียงราย ติดกับสถานีขนส่งแห่งที่ 1 .. มีสินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า เครื่องประดับ อาหารพื้นเมือง ของฝาก ให้เลือกซื้ออย่างมากมาย เปิดตั้งแต่เวลา 18.30 น. จนถึง 23.00 น.
เราเริ่มต้นด้วยการลิ้มชิ้มรส ป้าอ้วนบัวลอยมือถือ ซึ่งตั้งอยู่หน้าตลาดไนท์บาร์ซาร์ ขายทุกวันตั้งแต่ 18.00 น. ร้านนี้มีลักษณะเป็นแผงลอย ไม่ทีที่นั่ง คนที่มาซื้อต้องยืนโซ้ยกันบริเวณนั้น จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘บัวลอยมือถือ’ .. เมนูที่ขายมีหลากหลายเมนู แต่ที่เราขอลองทานบัวลอยแบบออริจินัล เราเลยสั่งบัวลอยงามะพร้าว ราคา 20 บาทค่ะ รสชาตินั้นมีความหวานมันปนเค็มกะทิเล็กน้อย แป้งบัวลอยมีความเหนียวนุ่ม มีความหอมของงาที่ใส่มาอย่างชัดเจน แต่รู้สึกเดี๋ยวนี้จะไม่ได้ใส่ในถ้วยกะลาหรือใบตองตามที่เคยอ่านรีวิวมาแล้วนะคะ ใส่เป็นถ้วยกระดาษแทน ความคิดเห็นส่วนตัว ยังไม่ถึงกับว้าวเพราะเคยไปทานบัวลอยป้านิ่มที่จังหวัดน่านมา ว้าวกว่าค่ะ
เชียงรายไนท์บาซาร์จะมีการแสดงอยู่ 2 เวที คือ บริเวณลานเบียร์ไนท์บาซาร์ เป็นลานกว้างไว้สำหรับนั่งดื่มเบียร์เย็นๆกับอาหารหลากหลายเมนู แต่จะดูมีความวุ่นหน่อยๆ เพราะ เจอทัวร์จีนลง เรื่องเสียง เรื่องความสะอาดไม่ต้องพูดถึงเป็นที่รู้กัน คิดอีกอย่างเราอาจจะไปในช่วงจังหวะที่ไม่ค่อยดี
และอีกเวทีอยู่บริเวณลานกลางเวียง เวทีนี้จะมีการแสดงดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง และตรงบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ลานกลางเวียง ร้านอาหารร้านใหญ่อยู่ใจกลางไนท์พลาซ่า ร้านนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ภายในร้านเน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ ตกแต่งแบบไทยล้านนา พนักงานก็มีค่อนข้างมาก ให้การบริการแบบทั่วถึง ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ ก็จะให้ความรู้สึกสงบๆกว่าโซนแรกเป็นอย่างมาก เราเลยตัดสินใจทานอาหารเย็นกันที่นี่ มื้อนี้เสียเงินไป 550 บาทค่ะ ลำขนาดเจ้า ~
ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดินย่อยกันสักหน่อย เราเดินไปที่ หอนาฬิกาเชียงราย .. หอนาฬิกาแห่งนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น หอนาฬิกาเปลี่ยนสีหรือหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน หอนาฬิกาแห่งนี้ก็ออกแบบการสร้างโดย อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ความพิเศษของหอนาฬิกาแห่งนี้ ในเวลา 19.00 น. , 20.00 น. , 21.00 น. ของทุกวัน หอนาฬิกาจะเปลี่ยนสีพร้อมกับมีเสียงเพลงบรรเลงและเพลงเชียงรายรำลึก ดังอยู่บริเวณสี่แยกนี้ .. นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติต่างก็มายืนรอ นั่งรอ เพื่อจะเก็บภาพความประทับใจนี้กลับไป
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 27 กันยายน 2562
วันนี้ไม่มีแพลนไปไหน มีแต่กำหนดกลับอย่างเดียว หลังจากเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักพร้อมรับเงินค่ามัดจำกุญแจคืน ระหว่างทางที่มาสนามบินเราต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังเพื่อนำรถมาคืน .. เราแวะซื้อของฝากร้านก๋องคำซึ่งอยู่ระหว่างทางมาสนามบิน ถ้าตาม google map จะขึ้นว่า ‘ร้านของฝากนันทวัน’ นึกว่าจะเป็นร้านของฝากยอดฮิตที่ไหนได้ เจ้าของชื่อ นันทวัน ฮ่าๆ
ขากลับเราเลือกกลับสายการบิน Air Asia .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 10.55 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 12.15 น. ค่ะ .. ขออำลาทริปนี้ด้วยภาพปีกเครื่องบินตำแหน่งที่นั่ง 22F ค่ะ
ที่นี่ยังคงมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายให้เราได้มาสัมผัส บอกได้เลยว่า 'เชียงราย' ควรค่าแก่การมาเยือนจริงๆค่ะ .. อ่านจบแล้วลองลาพักร้อน แล้วเก็บกระเป๋าออกเดินทางตามรอยเชียงรายกับทริป 4 วัน 3 คืนแบบนี้ได้เลยนะเจ้า .. เที่ยวเมืองรอง ลองวันธรรมดา คุณจะสนุกกับธรรมชาติและความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่
ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm F/4 , SONY A6000 + Lens 50 F1.8
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr และ Snapseed
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
รับชมในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ (อย่าลืมกด HDด้วยนะ)
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริป 4 วัน 3 คืน
ค่าเช่ารถ Avis 2,697 บาท
ค่าน้ำมันรถ 850 บาท
ค่าเครื่องบิน (ไป-กลับ) 2,651.60 บาท
ค่าที่พัก 101 Tea Green View 996 บาท
ค่าที่พัก DoiTung View Resort 811.90 บาท
ค่าที่พัก The loft @Chiang rai 539.62 บาท
ข้าวซอยพอใจ 95 บาท
หมูกะทะ 790 บาท
ครัวตำหนัก 145 บาท
ครัวฮิมเขื่อน 480 บาท
ค่าอาหารไร่ชาฉุยฟง 255 บาท
ค่าของหวานไร่ชาฉุยฟง 315 บาท
ข้าวมันไก่หลิบบุ๊ง 210 บาท
ค่าอาหารร้านลานกลางเวียง 550 บาท
ค่าลิฟต์วัดห้วยปลากั้ง 40 บาท
ตั๋วดอยตุง 440 บาท
Tree TopWalk 300 บาท
ค่าเครื่องดื่มร้านกาแฟผาฮี้ 50 บาท
ค่าเครื่องดื่มร้านกาแฟภูผาฮี้ 60 บาท
ค่าเครื่องดื่ม Farm design 85 บาท
ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว 60 บาท
ค่าผ่านแดน 20 บาท
ค่าที่จอดแม่สาย 50 บาท
ฟาร์มทัวร์ 200 บาท
ค่าแท็กซี่มาสนามบิน 300 บาท
ค่าแท็กซี่กลับบ้าน 160 บาท
รวมทั้งสิ้น 13,151.12 บาท (ตกคนละ 6,575.56 บาท)
In My Eye
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 12.24 น.