ฉงชิ่ง เมืองแห่งสายหมอกกับสองสายน้ำ
สายฝนโปรยปรายต้อนรับพวกเราตั้งแต่ล้อเครื่องบินเริ่มแตะพื้นของสนามบินนานาชาติฉงชิ่ง (Chongqing) ทำให้เราเริ่มหวาดหวั่นว่าตลอดการเดินทางจะถูกทายทักจากม่านฝนและเมฆหมอก แต่นั้นคือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่คนเดินทางอย่างเราไม่อาจจะฝืนอะไรได้ เพราะเมื่อการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น สองเท้าจึงต้องพร้อมเดินทางในทุกสภาพอากาศที่เป็นไป
จากสนามบินนานาชาติฉงชิ่ง เราใช้บริการแท็กซี่เพื่อพาไปสู่ย่านเชาเทียนเหมิน (Chao Tian Men) ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแยงซี ทำให้ย่านนี้เรียงรายไปด้วยท่าเรือ ทั้งเรือพาณิชย์ ซึ่งคึกคักไปด้วยเหล่าผู้ใช้แรงงานในการแบกหามสารพัดสินค้าขึ้นลงเรือ และเรือท่องเที่ยว ซึ่งหากใครสนใจที่จะล่องแม่น้ำแยงซี หรือที่คนไทยเรียกกันจนติดปากว่าแยงซีเกียง ก็สามารถซื้อทัวร์ได้จากย่านนี้ โดยมีทั้งแบบ 3 วัน 5 วัน หรือยาวนานเป็นสัปดาห์
แม่น้ำแยงซีมีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งในดินแดนหลังคาโลกทิเบต แล้วไหลไปทางตะวันออกผ่านมณฑลชิงไห่ จนสุดปลายทางที่บริเวณเมืองเซียงไฮ้ โดยมีความยาวถึง 6,300 กิโลเมตร ถือเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเอเชีย ซึ่งการเดินทางของผมครั้งนี้ก็มีปลายทางอยู่ ณ ดินแดนอันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้เช่นกัน
เราเลือกพักยูธโฮสเทลที่ราคาเป็นมิตรต่อชาวแบกเป้เหมือนการเดินทางในหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา ยูธโฮสเทลที่นี่มีชื่อว่า แยงซียูธโฮลเทล เพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซี ทำให้มองเห็นสายน้ำได้อย่างชัดเจน หลังจากติดต่อห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือบไปเห็นว่าทุกวันศุกร์จะมีโปรแกรมพาเที่ยวเมืองฉงชิ่งแบบไม่เสียเงิน โชคดีจริงๆที่วันนี้เป็นวันศุกร์ จากที่คิดว่าจะเดินเที่ยวกันเอง จึงเปลี่ยนความคิด โดยเลือกไปกับยูธโฮสเทลน่าจะดีกว่า
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่จึงได้ความว่า วันนี้จะพาไปเที่ยวสวนอี้หลิง โดยมีเจ้าหน้าที่พาไป หากสนใจก็ให้มารอที่ล็อบบี้ ซึ่งนอกจากเรา 4 คนแล้ว วันนี้มีอาหมวยอีก 3 คน กับหนุ่มชาวแคนนาดาอีกคนชื่อ เชอจีออง ที่จะร่วมเดินทางไปสวนอี้หลิงด้วยกัน โดยมีเหลียงลู่อ่อง นักศึกษาฝึกงานที่ยูธโฮสเทล เป็นไกด์พาไป
เหลียงลู่อ่องพาพวกเราขึ้นรถเมล์เพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟฉงชิ่ง นอกจากเป็นที่ตั้งสถานีรถไฟแล้ว ด้านหน้ายังเป็นสถานีขนส่งรถโดยสาร ซึ่งหลายเมืองในประเทศจีนมักวางผังเมืองให้เป็นเช่นนี้ คือรวมการขนส่งมวลชนไว้ในบริเวณเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการเดินทาง
ทีแรกคิดว่า เหลียงลู่อ่องพาเรามาที่นี่เพื่อต่อรถไฟหรือไม่ก็รถเมล์ แต่กลายเป็นว่าเขาพาเรามาเพื่อให้เราได้ขึ้นบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในเอเชีย!
เพราะฉงชิ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่เชิงเขาริมแม่น้ำแยงซี ทำให้พื้นที่ในเขตเมืองต้องขึ้นเนิน ลงเนินอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ตั้งของสถานีรถไฟแห่งนี้ก็อยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่าพื้นที่โดยรอบค่อนข้างมาก จึงเหมือนอยู่ในหุบที่ลึกลงไป หากไม่อยากเมื่อยขาในการเดินขึ้นบันไดสู่ด้านบน ก็มีบันไดเลื่อนที่ยาวเหยียดไว้ให้บริการ โดยเสียค่าบริการคนละ 2 หยวน จับเวลาคร่าวๆจากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางใช้เวลานานถึง 2 นาที จึงเชื่อแล้วว่าบันไดเลื่อนนี้น่าจะยาวที่สุดในเอเชียจริงๆ
เมื่อบันไดเลื่อนพาเราถึงด้านบน เหลียงลู่อ่องก็พาเราเดินๆๆเป็นเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังสวนอี้หลิง แต่ก็ยังดีที่เดินเลียบเลาะไปตามแม่น้ำแยงซี จึงได้เห็นวิวสวยๆไปตลอดทาง ระหว่างการเดินเหลียงลู่อ่องเล่าให้ฟังว่า ฉงชิ่งเมื่อสิบปีก่อนเป็นเมืองชนบทเล็กๆสังกัดมณฑลเสฉวน แต่ด้วยมีแม่น้ำแยงซีไหลผ่าน ช่วงสิบปีให้หลังจึงถูกพัฒนาให้เป็นเมืองท่า จนกลายเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญยิ่งของจีนตะวันตก ส่งผลให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นเรื่อยๆจนแยกออกจากมณฑลเสฉวน และยกฐานะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเมื่อไม่นานนี้ ปัจจุบันฉงชิ่งถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของจีน รองจากปักกิ่ง เซียงไฮ้ และเทียนสิน
แล้วเหลียงลู่อ่องก็พาเราขึ้นเนินเขา ด้วยเข้าใจผิดว่าแปลงดอกไม้สีสันสวยงามที่ปลูกริมเนินเขานั้นคือทางเข้าสวนอี้หลิง แต่เมื่อเดินขึ้นบันไดสู่ด้านบนจึงพบว่าเป็นเพียงศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา หลังจากที่เดินสำรวจและสอบถามคนที่ขึ้นมาไหว้เจ้า เขาก็เดินมาบอกว่า สวนอี้หลิงนั้นอยู่บริเวณนี้แหละ เพียงแต่อยู่อีกด้านหนึ่งของเขา แต่จากจุดนี้ไม่มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังสวน จึงต้องเดินกลับลงไปด้านล่างใหม่ พร้อมขอโทษเราเป็นการใหญ่ที่พามาผิดทาง เนื่องจากครั้งนี้เป็นการฝึกพาเที่ยวครั้งแรกในชีวิต!
เดินกลับลงมาด้านล่าง แล้วอ้อมเขาลูกเตี้ยๆจนมาพบกับถนนอี้หลิง อันเป็นที่ตั้งของสวนอี้หลิง แต่เนื่องจากเลยเวลาเที่ยงมากแล้ว และยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เหลียงลู่อ่องจึงพาเราเข้าไปกินอาหารในร้านค้าที่ตั้งอยู่หน้าสวน ร้านนี้ลูกค้าแน่นร้านจึงเป็นเครื่องการันตีว่าอาหารร้านนี้อร่อยชัวร์ เขากับ 3 หมวยที่มาด้วยกันสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะ แต่ละอย่างดูน่ากินทั้งนั้น ซึ่งเมื่อได้ลิ้มลองก็ต้องยกนิ้วให้ถึงความอร่อย แถมราคายังแสนถูก นี่ถ้าไม่ได้ชาวจีนท้องถิ่นพามาคงไม่ได้กินอาหารที่ทั้งอร่อยและราคาประหยัดเช่นนี้
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารกันในสวนอี้หลิง (Eling Park) สวนนี้ที่มีเนื้อที่กว้างมาก ตั้งอยู่บนสุดของเนินเขาฟูตูกวน ซึ่งเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำแยงซี กับแม่น้ำเจียหลิง ในเมื่อเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย การขึ้นไปชมวิวบนหอคอยที่สร้างลักษณะคล้ายเจดีย์ 7 ชั้น สูงกว่า 40 เมตร จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่งดงามของสองสายน้ำได้อย่างชัดเจน
เราเดินวนไปตามขั้นบันไดจนขึ้นมาถึงชั้นบนสุด แม้ความสูงขนาดนี้จะมองเห็นทิวทัศน์ของฉงชิ่งได้ทั้งเมือง ซึ่งมีตึกสูงพุ่งขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดจนเต็มพื้นที่ แต่ด้วยม่านหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว ทำให้ภาพทิวทัศน์นั้นพร่ามัวเต็มที ในเวลานี้เราจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใด ฉงชิ่งจึงได้ฉายาว่า “เมืองแห่งสายหมอก”
เราเดินทอดน่องชมพื้นที่ส่วนต่างๆของสวน ซึ่งเขียวครึ้มไปด้วยแมกไม้ บางส่วนมีสระน้ำขนาดใหญ่ บางส่วนสร้างเก๋งจีนไว้อย่างน่าชม หลายพื้นที่ที่แสนร่มรื่นนี้มากไปด้วยชาวจีนที่มาพักผ่อน ด้วยการตกปลา สีไวโอลิน ให้เกิดทำนองไพเราะ สอดประสานกับเสียงพลิ้วไหวของแมกไม้และสายลม แต่ที่มีมากที่สุดเห็นจะเป็นการนั่งล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอก ที่เหล่าอาเจ็กอาอี๊ต่างก้มหน้าก้มตาเล่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง
หลังจากเที่ยวสวนเสร็จ 3 หมวยก็ขอตัวแยกไปเที่ยวกันเอง เหลียงลู่อ่องจะพาเรากลับไปยังยูธโฮสเทล แต่เชอจีอองชวนเรา 3 คนไปเที่ยวกันต่อ โดยเขาอาสาเป็นไกด์ให้ เพราะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ติดต่อกันหลายวัน จึงพอรู้เส้นทางในฉงชิ่ง โดยให้เราบอกสถานที่ที่เราอยากไป
ศาลาประชาคมต้าหลีถัง (Da Li Tang) คือสถานที่ที่เราอยากไปเยือน เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางเมือง โดยการเดินทางนั้นแสนสะดวก เพราะมีรถไฟฟ้าใต้ดินไปถึง เมื่อออกจากสถานีรถไฟฟ้า ก็เห็นศาลาประชาคมตั้งอยู่ลิบๆ แต่เดินจนเมื่อยก็ไปไม่ถึงเสียที แถมที่เห็นอยู่ลิบๆเมื่อครู่ก็หายไปจากสายตา เชอจีอองบอกว่าไม่ต้องกังวล เพราะมือถือมี GPS ซึ่งเขาได้ดาวน์โหลดแผนที่เมืองฉงชิ่งไว้แล้ว เดี๋ยวจะให้ GPS นำทาง แต่สุดท้ายวิธีโบร่ำโบราณด้วยการเอ่ยปากถามคนแถวนั้นกลับได้ผลดีกว่า
ในที่สุด GPS ที่ออกจากปากคนท้องถิ่นก็พาเรามาจนถึงศาลาประชาคม ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ ด้านล่างเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยม ในขณะที่ด้านบนเป็นอาคารทรงกลมสีแดงชาด ตั้งโดดเด่นบนจัตุรัสกลางเมือง โดยลักษณะและการวางตำแหน่งอาคารนั้นล้อมาจากหอเทียนถาน แห่งกรุงปักกิ่ง
จัตุรัสหน้าศาลาประชาคมมากไปด้วยผู้คน เพราะนอกจากจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เขื่อนสามโตรก (Three Gorges Museum) โดยรอบยังเรียงรายไปด้วยแหล่งช็อปปิ้ง และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่มีชาวจีนสูงวัยมาเล่นดนตรี และขับร้องเพลงได้อย่างน่ารื่นรมย์
เราเดินผ่านป้ายประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองฉงชิ่ง โดยสะดุดตากับภาพถ่ายแบบเบิร์ดอายวิวที่มองเห็นตัวเมืองฉงชิ่งถูกโอบล้อมด้วยแม่น้ำแยงซีจนมีลักษณะคล้ายเกาะ จึงบอกเชอจีอองว่าอยากเห็นภาพแบบนี้บ้าง เชอจีอองบอกว่าได้สิ เดี๋ยวไกด์อาสาเช่นเขาจะพาไป ว่าแล้วก็พาเรามุดลงใต้ดินขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อเดินทางไปยังฉงชิ่งเคเบิลคาร์ ซึ่งอยู่ย่านเชาเทียนเหมิน ใกล้ๆยูธโฮสเทลที่เราพักนั่นเอง
จริงๆแล้วเคเบิลคาร์แห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว แต่เป็นเคเบิลคาร์ที่ชาวเมืองใช้สัญจรปกติในชีวิตประจำวันในการข้ามฟาก ฉะนั้นค่าโดยสารจึงแสนถูก ข้ามไป-กลับเพียงแค่คนละ 10 หยวนเท่านั้น ลักษณะเคเบิลคาร์เป็นตู้สี่เหลี่ยมคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ ไม่มีที่นั่ง มีแต่ที่ยืน โดยมี 2 ตู้วิ่งสวนกันเหนือแม่น้ำแยงซี ใช้เวลาข้ามฟากแค่ 5 นาทีเท่านั้น หากแต่เป็น 5 นาทีที่เราได้ตื่นตาตื่นใจกับบรรดาตึกสูงริมฝั่งแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งโลกธุรกิจที่บ่งบอกถึงความเป็นมหานครใหญ่อันดับ 4 ของจีน
เราเดินเลียบเลาะแม่น้ำแยงซี สู่หอนาฬิกานานบิน (Nanbin Clock Tower) ซึ่งเป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองฉงชิ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งได้ดีที่สุด แล้วเมื่อแสงอาทิตย์ค่อยๆดับลง ในขณะที่แสงไฟจากบรรดาอาคารสูงในตัวเมืองฉงชิ่งเริ่มสว่างขึ้น ก็ค่อยๆเกิดภาพอันงดงามของตัวเมืองที่รุ่งโรจน์สว่างไสวโดยมีแม่น้ำแยงซีโอบล้อม จนดูประหนึ่งเกาะสวรรค์ที่ถูกรังสรรค์ด้วยธรรมชาติผสมผสานกับการปรุงแต่งของกระแสแห่งโลกธุรกิจได้อย่างลงตัว
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.17 น.