เฟิ่งหวง สายรุ้งเหนือสายน้ำ

แต่ละคนกำลังนั่งมองเข็มนาฬิกาให้เคลื่อนตัวสู่เวลา 22 นาฬิกา เพื่อจะได้ขึ้นไปหลับใหลในตู้นอนของรถไฟ เพราะคืนนี้เรามีเวลานอนเพียงแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น ในการเดินทางจากอู่หลงไปท่งเหริน

เหมือนเสียงเสียดสีของล้อรถไฟกับรางเหล็กจะกลายเป็นเสียงดนตรีขับกล่อมให้พวกเราหลับใหลบนเตียงนอนแคบๆ ในตู้โดยสารของขบวนรถไฟ เวลาราวตี 3 เจ้าหน้าที่ประจำตู้เดินมาปลุกผู้โดยสารที่จะลงสถานีท่งเหริน (Tongren) ให้ล้างหน้าล้างตา และเตรียมสัมภาระให้พร้อม อีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเราพร้อมผู้โดยสารชาวจีนอีกไม่กี่คนก็ก้าวลงจากรถไฟเมื่อขบวนรถจอดเทียบชานชลา

นอกจากบรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดแล้ว สายฝนยังโปรยปรายมาจากฟากฟ้า นำมาซึ่งความชุ่มฉ่ำและหนาวเย็น จากที่คิดว่าจะนั่งรอให้ฟ้าสาง เราจึงตัดสินใจว่าจ้างแท็กซี่ให้ไปส่งเราที่เฟิ่งหวง (Fenghuang) เมืองโบราณที่กลิ่นหอมแห่งอดีตไม่เคยจางหาย

หลับๆตื่นๆบนรถได้ 1 ชั่วโมง คนขับรถก็หันมาถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหนในเฟิ่งหวง เราตอบกลับไปว่าให้ไปส่งที่ยูธโฮสเทลที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าเมืองเก่า ซึ่งในเวลากลางวันจะพลุกพล่านไปด้วยนักท่องโลก แต่เวลาดึกดื่นเช่นนี้เราไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆนอกจากเสียงสายฝนที่ยังคงโปรยปรายอย่างไม่ขาดสาย

เราหอบเป้จากรถแท็กซี่ แล้ววิ่งตรงเข้าไปเปิดประตูของยูธโฮสเทล แต่ไม่สำเร็จ เพราะประตูถูกล็อคไว้จากด้านใน พวกเราพยายามเคาะประตูและเรียกเจ้าหน้าที่หรือใครสักคนในนั้นให้มาเปิดประตูเพื่อรับเราเข้าไปข้างใน แต่ไม่มีเสียงตอบรับหรือแม้แต่เงาผู้ใดให้ได้เห็น การหลับใหลยังคงแผ่ปกคลุมราตรีอันมืดมิด

เมื่อไม่มีหนทางใดๆที่จะทำให้เราได้เข้าไปภายใน และคงไม่เป็นความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ที่จะเดินตากฝนไปหาที่พักอื่น เหมือนคนไม่มีที่ไป เราจึงนั่งเบียดกันบนม้านั่งที่ความยาวน้อยไปสักนิดสำหรับ 4 คน แต่ละคนจึงเอาเป้วางไว้บนตัก และกอดมันแทนผ้าห่ม เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บที่ยังคงแผ่ตัวตามความแรงของสายฝน ในเวลานี้ความหนาวและความทรมานได้แวะเวียนมาทายทักเราอีกครั้งบนการเดินทางอันแสนไกล

ฟ้าเริ่มสางในเวลา 6 โมงเช้า เสียงเปิดประตูจากด้านในเป็นเหมือนเสียงสวรรค์ที่ดังมาให้ได้ยิน เราจึงไม่รอช้าที่จะพาตัวเองเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นในนั้น โชคดีที่วันนี้ยูธโฮสเทลมีห้องว่าง แต่นั้นต้องหลังจากที่แขกเมื่อคืนเช็คเอ้าท์ออกไปแล้ว ในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้โซฟาในล็อบบี้จึงกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับเรา ให้พอบรรเทาความอ่อนล้าจากค่ำคืนที่แสนทรมาน

ด้วยความอยากก้าวเดินมีมากกว่าการอยากหยุดพัก หลังจากทิ้งตัวบนโซฟาพอให้คลายความอ่อนล้าได้ไม่นานนัก ผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เพื่อให้ความกระปี้กระเป่ากลับคืนมา จากนั้นก็คว้ากล้องถ่ายรูปคู่ใจออกไปสำรวจเมืองเฟิ่งหวง ในขณะที่เพื่อนๆยังคงหลับใหลบนโซฟา

สายฝนที่เดินทางมากับเราตั้งแต่ท่งเหริน ได้อำลาจากท้องฟ้าไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงอากาศเย็นๆที่คลี่ตัวห่มคลุมเมืองโบราณที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลแห่งนี้ อิ่วจาก้วยหรือที่คนไทยเรียกว่าปาท่องโก๋ตัวยาวที่เพิ่งขึ้นจากกระทะร้อนๆเหมาะยิ่งนักในการเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ในขณะที่มือถืออิ่วจาก้วย สองเท้าก็เดินไต่ความสูงชันของขั้นบันไดเพื่อขึ้นไปบนวัดซาหวังเมียวที่ตั้งอยู่บนเนินเขาหน้าประตูเมืองเฟิ่งหวง บนนี้เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่ดีแห่งหนึ่งในการชมเมือง ภาพหลังคาของบ้านเรือนโบราณที่กระจุกตัวอย่างหนาแน่นเป็นเหมือนการเรียกน้ำย่อย ก่อนที่สองเท้าจะพาสองสายตาไปสัมผัสความงดงามแห่งเงาอดีตนี้อย่างชิดใกล้

เกือบ 1 ชั่วโมงผ่านไป ผมกลับมาหาเพื่อนๆในเวลาที่ทุกคนพร้อมจะออกท่องเมืองเฟิ่งหวงด้วยกัน แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆดูจะเป็นอาหารเช้าที่เข้าท่าไม่ใช่น้อย โดยมีเครื่องทั้งผัดเห็ดหูหนู ผัดหมูสามชั้น และไข่ต้มที่นำไปทอดคล้ายไข่ลูกเขยให้เลือกใส่ได้ตามใจ

แล้วก็ได้เวลาเดินชมเมือง จุดหมายแรกของพวกเราเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจากสะพานสายรุ้ง เพราะความโดดเด่นของเมืองเฟิ่งหวง คือการเป็นเมืองโบราณที่มีแม่น้ำเต๋าเจียง (Tuo Jiang) สีเขียวมรกตไหลผ่านกลางเมือง ทำให้เกิดทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยมีสะพานสายรุ้งที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้าเป็นจุดสำคัญสำหรับการชมทัศนียภาพที่แสนงดงามนี้

สะพานสายรุ้งเป็นสะพานโบราณเพียงหนึ่งเดียวของเมืองเฟิ่งหวง นอกจากจะสร้างได้งดงามตามศิลปะจีนโบราณแล้ว ยังสร้างอย่างยิ่งใหญ่ เพราะตัวสะพานมีถึง 2 ชั้น จนดูเหมือนยกเอาเก๋งจีนขนาดใหญ่ไปไว้บนนั้น

เหมือนถนนทุกสายพุ่งตรงมาที่สะพานสายรุ้ง เพราะในเวลานี้รอบตัวผมเต็มไปด้วยกองทัพนักท่องเที่ยว ที่ต่างจับจองมุมสวยในการถ่ายภาพเมืองเฟิ่งหวงเป็นที่ระลึก ดูๆไปแล้วในเวลานี้มีกรุ๊ปทัวร์ชาวไทยอยู่เกือบครึ่งของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหมด พวกเขาต่างรีบมา รีบถ่ายรูปและรีบเดินตามหัวหน้าทัวร์ตามเวลาที่แสนจำกัด ไม่เหมือนพวกเราที่แบกเป้มากันเองจึงสามารถซึมซับความหอมหวานของอดีตและอ้อยอิ่งกับมุมโปรดได้ตามแต่ใจ โดยไม่มีเงื่อนไขของเวลามากำกับ

ใต้สะพานสายรุ้งทั้งสองฝั่งน้ำ มีทางเดินแคบๆที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ที่เห็นมีมากที่สุดคือ ขนมน้ำตาลเคี่ยว คนทำจะดึงน้ำตาลที่เคี่ยวเป็นเส้นยาวๆ จากนั้นจึงตัดเป็นท่อนๆ คล้ายขนมตังเมบ้านเรา รสที่ได้รับความนิยมเห็นจะเป็นรสขิง ที่ความเผ็ดร้อนของขิงผสมกลมกลืนกับความหอมหวานของน้ำตาลได้อย่างลงตัว

เราเดินข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งของสายน้ำ ทางเดินฟากนี้กว้างกว่าฟากที่เราข้ามมา ทำให้เดินสบายกว่า อีกทั้งสองข้างทางยังดึงดูดใจให้เดินมากกว่า เพราะเต็มไปด้วยขนมของกินเล่นแบบท้องถิ่น ดูแล้วน่าทานไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ขนมลักษณะเดียวกับขนมเทียนบ้านเรา แต่แทนที่จะห่อด้วยใบตอง กลับใช้ใบไม้มาห่อพันไว้อย่างง่ายๆ ตามมาด้วยบรรดาปลาตัวเล็ก ปูตัวน้อยที่เสียบไม้ทอด คล้ายๆกับที่มีขายที่ฉือชี่ โข่ว แต่ที่เห็นแล้วสะดุดตาคือกุ้งชุบแป้งทอดแบบเป็นแพ หรือของทานเล่นชนิดหนึ่งที่นำแป้งผสมไข่ไปทอดบนกระทะเป็นแผ่นบางๆแล้วใส่ไส้ ดูแล้วหน้าตาคล้ายขนมเบื้องญวนในบ้านเรา จนมีความรู้สึกว่า นี่คือตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการกินของคนในภูมิภาคเดียวกันก็เป็นได้

แม้ว่าของกินของที่ระลึกจะมีวางขายเรียงรายไปตลอดทางเดิน แต่ขอบอกว่าอย่าเดินก้มหน้าก้มตาช็อปจนเพลิน เพราะ ณ จุดนี้ยังมีอีกสิ่งที่ไม่ควรพลาด นั่นคือภูมิทัศน์ที่ถูกจัดวางอย่างลงตัว เพราะเพียงแค่เราหยุดยืนนิ่งๆริมฝั่งน้ำ เพียงแค่นี้ภาพอันงามยิ่งของลำน้ำสีเขียวมรกตที่ไหลอย่างแช่มช้าผ่านสะพานสายรุ้ง และหมู่อาคารจีนโบราณที่สร้างเรียงรายไปตามความโค้งของลำน้ำที่ถูกโอบกอดด้วยภูเขามังกรเขียว ก็สร้างความสุขใจโดยไม่ต้องเอื้อมือไขว่คว้าให้ไกลนัก

บนผืนน้ำ เรือไม้ลำน้อยของคุณลุงคนหนึ่งเรียงรายไปด้วยนกกาน้ำสีดำตัวโต นกเหล่านี้ไม่ได้มาเกาะบนเรือโดยไม่มีเหตุผล เพราะพวกมันคือเหล่าพนักงานหน่วยก้านดีที่มีหน้าที่จับปลาในสายน้ำ เมื่อมันเห็นว่าในน้ำมีความเคลื่อนไหว ก็จะโฉบลงไปคาบปลาขึ้นจากผิวน้ำทันที เพียงแค่นี้ผู้เป็นเจ้าของก็จะได้ปลาสดๆกลับไปเต็มลำเรือ ภาพวิถีชีวิตเดิมๆอันเป็นการดำเนินชีวิตจริงๆนี่เองที่ช่วยเติมความงามของภูมิทัศน์ สายน้ำและสิ่งก่อสร้างที่เดินทางผ่านกาลเวลา ให้ยังคงกลิ่นอายแห่งอดีตอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ปลายทางของการเดินเท้าสิ้นสุดลงที่เจดีย์วานหมิ่ง (Wanming) เจดีย์นี้สูง 7 ชั้น ตั้งอยู่ในตำแหน่งมุมโค้งของสายน้ำ โดยเป็นจุดหมายสำคัญของเหล่าเรือไม้ลำน้อยใหญ่ที่พานักท่องเที่ยวเที่ยวชมความงดงามของบ้านเรือนและวิถีชีวิตเดิมๆของชาวเฟิ่งหวงที่ผูกพันกับสายน้ำ ในเวลานี้ชาวบ้านกำลังนำผ้ามาซักอย่างเป็นเรื่องปกติ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจกับเหล่านักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาทุกเช้า แต่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ เมื่อธุรกิจการท่องเที่ยวได้เคลื่อนตัวโหมกระหน่ำ ท่ามกลางการเคลื่อนไปของสายน้ำแห่งกาลเวลา

เราเดินย้อนกลับทางเดิม แต่แทนที่จะข้ามสะพานสายรุ้งกลับไปยังฝั่งเมืองเก่า เรากลับเดินต่อไป เนื่องจากเบื้องหน้ามีสะพานที่ดูแล้วชวนให้เดินข้ามมาก เพราะมีเพียงแท่นปูนโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ การเดินข้ามสู่อีกฝั่งหนึ่งจึงต้องก้าวเดินทีละก้าวไปบนแท่นปูนทีละแท่นอย่างช้าๆ เดินไปตั้งสมาธิไป เพราะหากเผลอเหม่อมองความงามของเฟิ่งหวงจนจิตใจล่องลอยไปตามสายสายน้ำและสายลมแล้วละก้อ อาจจะตกน้ำจนเปียกปอนไปทั้งตัว

ฟากที่เราข้ามกลับมาเป็นฝั่งเมืองเก่า จึงมีป้อมปราการและกำแพงเมืองตั้งสูงตระหง่าน โดยสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์บนป้อมปราการได้ หรือจะเลือกเดินไปตามแนวกำแพงเมือง เพื่อชมทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำก็เข้าที

ลงจากกำแพงเมือง เราเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยในเขตเมืองเก่า ที่มากไปด้วยร้านรวงและความพลุกพล่านของผู้คน แต่ลึกเข้าไปในซอกหลืบที่หลีกเร้นจากนักท่องเที่ยว ยังสามารถพบเห็นวิถีชีวิตเดิมๆของชาวเฟิ่งหวงในมุมที่สงบงามได้ไม่ยากนัก ซึ่งในเวลานี้ไม่ใช่หน้าที่ของสองเท้าที่จะก้าวเดิน หากแต่เป็นหน้าที่ของสองสายตาและหนึ่งหัวใจที่จะเปิดรับความงดงามจากความเรียบง่ายของภาพวิถีชีวิตที่ได้เห็น ให้คงอยู่ในความทรงจำที่ดีของการเดินทาง

ชื่อเมืองเฟิ่งหวงในภาษาจีนมีความหมายว่า นกฟินิกซ์ ซึ่งเป็นนกในเทพนิยายที่สามารถเกิดใหม่ได้จากกองเถ้าถ่าน โดยในเวลานี้สองเท้าพาเราก้าวเดินอีกครั้งสู่จัตุรัสนกฟินิกซ์ จุดศูนย์กลางของเมืองเฟิ่งหวง ที่มากไปด้วยผู้คนและความคึกคัก ในอดีตชาวเมืองนิยมมาพบปะพูดคุยกันที่นี่ แต่ดูเหมือนทุกวันนี้ไม่ได้มีเฉพาะชาวเมืองเท่านั้น แต่นักท่องโลกก็ขอมีส่วนในพื้นที่อันแสนกว้างใหญ่นี้ การเดินทางจึงมีบทบาทในการผสมผสานสีสันของผู้คน จนทำให้นักเดินทางหลายต่อหลายคนต่างหลงใหลในสีสันของการเดินทางจนถอนตัวไม่ขึ้น

หลังจากกลับไปพักแข้งพักขาในยูธโฮสเทล ในเวลาแดดร่มลมตกเราก็กลับมาเดินในเมืองเก่าเฟิ่งหวงอีกครั้ง แม้จะเดินบนเส้นทางเดิมเป็นครั้งที่ 2 ภายในวันเดียว แต่ผมก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับวิถีชีวิตของผู้คนที่ผสมกลมกลืนระหว่างนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่นี่เพื่อเติมเต็มสีสันให้กับชีวิต กับผู้คนท้องถิ่นที่เปิดร้านรวงค้าขายกันอย่างคึกคักเพื่อได้มาซึ่งรายได้ อันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาอี๋ที่มีความสุขกับการทอดกุ้งขายริมทางเดิน อาหมวยที่ขมักเขม่นกับการตัดตังเม อาเจ๊กที่บรรจงสลักชื่อบนป้ายชื่อแผ่นน้อย ซึ่งเป็นของฝากที่นักเดินทางต่างให้ความสนใจที่จะซื้อติดมือเป็นที่ระลึก

เย็นนี้เราเลือกที่จะพาตัวเองเข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารริมแม่น้ำ แม้ราคาอาหารอาจจะสูงสักนิดหากเทียบกับร้านทั่วไป แต่ก็คุ้มค่ากับการได้นั่งมองทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำ ในยามที่แสงอาทิตย์ค่อยๆอ่อนแรง แสงไฟสีอำพันก็ค่อยๆสว่างไสวขึ้นมาแทนที่ สะพานสายรุ้ง เจดีย์วานหมิ่ง และเหล่าบ้านเรือนโบราณต่างถูกอาบไล้ไปด้วยแสงไฟในเวลาที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืดมิด จึงเกิดภาพที่แสนงดงามราวกับแดนสวรรค์ ที่กาลเวลาไม่อาจฉุดรั้งความงามนี้ให้จากไป

ข้อมูลการเดินทาง

หากเดินทางด้วยรถไฟ ให้ลงที่สถานีเมืองท่งเหริน (Tongren) จากนั้นนั่งรถแท็กซี่หรือรถประจำทางสู่เฟิ่งหวง นอกจากนี้มีรถประจำทางจากเมืองฉางชา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน และจางเจียเจี้ยมายังเฟิ่งหวง วันละหลายเที่ยว

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.03 น.

ความคิดเห็น