เทียนเหมินซาน ประตูสู่สวรรค์

การเดินทางเริ่มต้นอีกครั้งในเช้าวันใหม่ จากยูธโฮสเทล เราโบกแท็กซี่เพื่อพาไปส่งที่สถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แม้เราจะมาถึงแต่เช้า แต่เราก็ได้ตั๋วรถไปจางเจียเจี้ยเที่ยวบ่าย 2 หลายชั่วโมงของวันนี้จึงผ่านไปกับการนั่งจับเจ่าอยู่ในสถานีขนส่ง เพื่อรอให้เข็มนาฬิกาเดินทางหมุนวนจนมาถึงเวลาที่ระบุไว้ แต่เมื่อถึงเวลานั้นกลับไม่เห็นแม้เงาของรถโดยสารที่เราเฝ้ารอ ผมเดินไปถามพนักงานในสถานีขนส่งจึงได้ความว่าการจราจรติดขัดมาก ทำให้รถมาช้ากว่าที่กำหนด สิ่งที่ทำได้คือการนั่งรอกันต่อไป เวลาผ่านไปจนบ่าย 3 รถไปจางเจียเจี้ยก็เข้าเทียบชานชลา เราดีใจกันใหญ่รีบยกเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินไปที่รถเพื่อพบว่ารถที่เข้าเทียบชานชลาคันนี้เป็นรถเที่ยวเที่ยง !

รถเที่ยวเที่ยงเพิ่งมาถึงตอนบ่าย 3 แล้วรถเที่ยวบ่าย 2 จะมาถึงกี่โมงหละเนี่ย...

เข็มนาฬิกาค่อยๆเดินผ่านไป พร้อมๆกับอารมณ์ที่ค่อยๆแปรเปลี่ยน ผมมองดูผู้โดยสารในสถานีขนส่งที่มีหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็มีบางคนที่เห็นหน้ากันมาหลายชั่วโมง จึงเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ต้องรับชะตากรรมเหมือนกับเรา เวลาผ่านไปจนเกือบ 5 โมงเย็น รถบัสคันใหม่ก็เข้ามาเทียบที่ชานชลา นั่นคือรถเที่ยวบ่าย 2 ที่เราเฝ้ารอ

รถบัสพาเราผ่านขุนเขาที่แสนสูงชันบนถนนที่แสนแคบ เวลาแห่งการเดินทางผ่านไปเกือบ 5 ชั่วโมง เราจึงมาถึงเมืองจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) คำว่าจางเจียเจี้ยนั่นอาจทำให้เกิดความสับสน เพราะขณะนี้เราอยู่ที่เมืองจางเจียเจี้ย โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้คือ อุทยานแห่งชาติเทียนเหมินซาน แต่สำหรับอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย นั้นตั้งอยู่ที่เมืองเล็กๆที่ชื่อว่า “วู่หลินหยวน” ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 ชั่วโมงทางรถยนต์ วู่หลินหยวนมีฐานะประมาณตำบล ขึ้นตรงต่อจางเจียเจี้ย ภายใต้พื้นที่การปกครองของมณฑลหูหนาน (Hunan)

สายฝนตกพรำลงมาตั้งแต่เช้า วันนี้เราวางแผนที่จะเดินทางขึ้นเทียนเหมินซาน (Tianmen Shan) ภูเขายอดตัดคล้ายๆหลังแปรของภูกระดึง แต่การเดินทางขึ้นไปสู่ด้านบนนั้นไม่ต้องเดินผ่านหลายต่อหลายซำจนเหนื่อยแฮกๆ เพราะทางการจีนสร้างเคเบิลคาร์ขึ้นไปจนถึงยอด จากที่พักเรานั่งรถเมล์สาย 10 เพื่อไปยังสถานีเคเบิลคาร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟและสถานีขนส่งที่อยู่ใจกลางเมือง จากจุดนี้มองเห็นเคเบิลคาร์นับสิบนับร้อยคันกำลังลอยข้ามตัวเมืองไปตามสายเคเบิลที่ทอดยาวนับสิบกิโลเมตรสู่ยอดเขาเทียนเหมิน

เนื่องจากเรามากันแต่เช้า จึงไม่ต้องรอคิวนาน ซื้อตั๋วปุ๊บก็ได้ขึ้นเคเบิลคาร์กันทันที เคเบิลคาร์พาเราลอยผ่านตัวเมือง สถานีรถไฟ แปลงผัก ลำธาร ผืนป่าเขียวขจีที่แผ่ตัวอยู่เบื้องล่าง ยิ่งไต่ระดับสูงขึ้น เราก็ยิ่งเข้าสู่ม่านหมอกสีขาวโพลนจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ในขณะที่สายฝนยังคงเป็นเพื่อนเราไปตลอดการเดินทาง

แม้จะมาถึงสถานีเคเบิลคาร์ด้านบนเขา แต่เราก็ยังไม่สามารถเดินออกไปชมความงามภายนอกได้ เนื่องจากสายฝนยังคงโปรยปราย แถมสายลมยังพัดความหนาวเย็นมาอย่างไม่ขาดสาย จึงต้องนั่งรออยู่ภายในสถานี แม้เวลาจะผ่านไปเกือบชั่วโมง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสายฝนจะโบกมือลาจากท้องฟ้าเสียที ในที่สุดเราจึงตัดสินใจกางร่มออกไปปะทะกับสายฝนและความหนาวเย็นภายนอก

บนเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามหน้าผายังคงมีม่านหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่ว ทำให้เราเห็นทัศนียภาพที่ห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่เมตร แต่แค่นั้นก็พอทำให้รับรู้ว่าบนเส้นทางสายนี้ซ่อนไว้ด้วยความงดงามของดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ที่บ้างก็อวดโฉมแค่เพียงกลีบดอกสีม่วงเล็กๆอยู่เหนือพื้นดิน บ้างก็ออกดอกสีเหลืองอร่ามไปตามกิ่งก้านที่ยื่นออกไปปะทะกับสายลมที่หมุนวนอยู่ในหุบเขา ชักพาเจ้านกตัวน้อยมาเกาะบนกิ่งก้านพร้อมกับเสียงร้องที่เพราะจับใจ

เมื่อจังหวะการก้าวเดินค่อยๆผ่านไปพร้อมการเคลื่อนตัวของเข็มนาฬิกา สายหมอกก็เริ่มบางตาลง พอทำให้ได้เห็นว่า เบื้องล่างทางเดินที่กำลังก้าวเท้าอยู่นั้นเป็นหน้าผาที่สูงชัน มองลงไปมีเพียงหุบเหวที่ไม่สามารถประมาณได้ถึงความลึก เส้นทางที่เราเดินอยู่นี้เป็นเส้นทางที่เลียบเลาะไปตามแนวขอบเขา เพื่อไปยังปลายทางอันเป็นที่ตั้งของวัดเทียนเหมิน ณ ที่ราบปลายสุดของขุนเขา

เคเบิลคาร์ปรากฏให้เราเห็นอีกครั้ง ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการไปถึงวัดเทียนเหมินโดยที่ไม่ต้องการเดินเลียบเลาะไปตามหน้าผาที่สูงชันเหมือนที่เราเดินอยู่ในขณะนี้ แต่การนั่งเคเบิลคาร์ช่วงนี้ ต้องหวาดเสียวกันสักนิด เพราะเป็นแบบเปิดโล่ง ไม่มีประตูปิดเหมือนที่เรานั่งมา แถมต้องนั่งห้อยขาไปตลอดทาง แต่สำหรับพวกเราเลือกที่จะเดินเลียบเลาะไปตามหน้าผากันต่อไป สู่สะพานแขวนที่ทอดตัวข้ามหุบเหว โดยมีดอกไม้สีขาวผลิบานต้อนรับพวกเราตลอดทาง

หมู่อารามวัดเทียนเหมินตั้งอยู่ที่สุดปลายทาง เลยจากนี้ไปเป็นหน้าผาสุดขอบของยอดเขาเทียนเหมิน สายหมอกสีขาวยังคงคลี่ตัวห่มคลุมสีแดงของหมู่อาราม เมื่อเดินเข้าไปสัมผัสอย่างชิดใกล้จึงได้เห็นความละเอียดและงดงามของลวดลายที่ประดับประดาอยู่ตามส่วนต่างๆของอารามซึ่งถูกม่านหมอกซ่อนเร้นไว้

เราเดินผ่านอารามท้าวจตุโลกบาลเพื่อเข้าสู่อารามหลังถัดไป อันเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอารยเมตไตรย ลึกเข้าไปเป็นอารามพระศรีศากยมุนี ที่องค์พระประดิษฐานอยู่บนฐานดอกบัว ฝั่งซ้ายและขวามีพระพุทธรูปอีก 2 องค์ในลักษณะและขนาดเดียวกันคือ พระอมิตพุทธเจ้า กับ พระไภษัชคุรุพระพุทธเจ้า ตามความเชื่อของมหายาน สำหรับอารามที่ตั้งอยู่ในสุดเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งเป็นการวางตำแหน่งอารามตามหลักวัดจีนมหายานทั่วไป หากแต่มวลหมู่อารามจำนวนมากที่กล่าวมานี้ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงซึ่งยากในการสร้างกว่าบนพื้นดินทั่วไป จึงสะท้อนให้เห็นแรงศรัทธาที่อยู่สูงกว่าความยากลำบากที่ธรรมชาติได้สร้างไว้

เส้นทางเดินบนยอดเขาเทียนเหมินเป็นเส้นทางวนรอบ หากยึดวัดเทียนเหมินเป็นจุดศูนย์กลาง เส้นทางก็จะแบ่งเป็นฟากตะวันออกกับฟากตะวันตก โดยเส้นทางที่เราใช้เดินที่ผ่านมาเป็นเส้นทางฟากตะวันตกซึ่งมีระยะทางที่สั้นกว่า ขากลับจึงอยากเดินเส้นทางฟากตะวันออกบ้าง เพื่อให้สัมผัสทัศนียภาพที่ต่างกันไป แต่ดูจากระยะทางแล้วยาวไกลกว่าราว 4 เท่า เพราะต้องเลียบเลาะไปตามหน้าผาที่อยู่เหนือประตูสวรรค์ ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายทางของขุนเขา การเดินกลับเส้นทางเดิมจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเวลาที่มีอยู่

การกลับสู่เบื้องล่างนั้น เคเบิลคาร์จะจอดที่สถานีกลางทางไม่ใช่ที่สถานีสุดท้ายซึ่งตั้งอยู่ภาคพื้นดิน เพราะจากจุดนี้มีรถของอุทยานพาไปชมประตูสวรรค์ สิ่งอัศจรรย์ทางธรรมชาติของเทียนเหมินซาน หากแปลเป็นภาษาไทยแล้ว เทียนเหมินซาน ก็จะหมายถึง ขุนเขาแห่งประตูสวรรค์ ฉะนั้นสถานที่ที่เราจะไปเยือนนี้จึงถือเป็นไฮไลท์อันเป็นที่มาของชื่ออุทยาน

จากสถานีเคเบิลคาร์ รถบัสของอุทยานพาเราแล่นไปตามถนนคดเคี้ยวที่พาดผ่านขุนเขาอันสูงใหญ่ ดูแล้วอลังการทั้งจากทิวทัศน์ธรรมชาติและเส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้น

ประตูสวรรค์คือหน้าผาขนาดใหญ่ที่มีช่องทะลุอยู่ด้านบน การไปถึงต้องเดินขึ้นไปตามบันไดร่วมพันขั้น ฉะนั้นจึงเหมือนการเดินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ที่ต้องใช้ทั้งความตั้งใจและความอุตสาหะ

เราเดินขึ้นไปตามบันไดหินที่มีสายหมอกปกคลุมตลอดทาง หยุดถ่ายรูปบ้าง พักเหนื่อยบ้างเป็นระยะ ทีละก้าวที่เราก้าวผ่านนั้นทำให้เราใกล้ประตูสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเมื่อสองเท้ายืนอยู่ที่ปากทางแห่งประตูสวรรค์ สองสายตาก็พบว่า ในเวลานี้สวรรค์ยังไม่เปิดรับพวกเรา เพราะม่านหมอกยังคงแผ่ตัวปกคลุมจนเห็นเพียงช่องขาวๆที่หายลับเข้าไปในฟากฟ้า เราได้แต่ถอนใจยอมรับกับกฎธรรมชาติที่มนุษย์เดินดินไม่อาจฝืน จึงทำได้แต่เพียงรอคอยด้วยความหวังว่า สายลมจะพัดม่านหมอกให้จางหายไป เข็มนาฬิกาเคลื่อนตัวผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า แต่ก่อนที่ความหวังจะริบหรี่ไปมากกว่านี้ เหมือนกับสายลมได้ยินคำขอของเรา จึงพัดให้ม่านหมอกหายไปอย่างปาฏิหาริย์ ประตูสวรรค์บานกว้างจึงเผยโฉมเปิดรับคนเดินดินเช่นเรา ให้ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ในผลงานธรรมชาติอย่างเต็มตา นั่นจึงเป็นสิ่งตอกย้ำให้เราได้รู้ว่า การรอคอยนั้นมีค่าเสมอ

ข้อมูลการเดินทางและเข้าชม

เมืองจางเจียเจี้ยอยู่ในมณฑลหูหนาน เดินทางสะดวกทั้งรถประจำทางและรถไฟ

สถานีเคเบิลคาร์ของอุทยานเทียนเหมินซาน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจางเจียเจี้ย โดยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟและสถานีขนส่ง

ค่าเข้าอุทยานเทียนเหมินซาน (รวมค่าเคเบิลคาร์และค่ารถไปประตูสวรรค์) เดือนมีนาคม – พฤศจิกายน 258 หยวน, เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ 225 หยวน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.14 น.

ความคิดเห็น