หลังจาก EP.1 Pyin Oo Lwin เราได้เดินทางมาถึง "พิล อูล วิน" เป็นที่เรียบร้อย เราก็จะมาลุยเที่ยวกันใน EP.2 Mandalay นี้ต่อนะครับ

EP.1 Pyin Oo Lwin > https://th.readme.me/p/3053

EP.2 Mandalay > https://th.readme.me/p/3063


ซึ่งทริปนี้ เวลาเราจำกัด โปรแกรมการเดินทางของผมทั้งหมด 3 วัน 2 คืน คร่าวๆ ดังนี้ คือ
วันแรก - เดินทางถึงมัณฑะเลย์ เดินทางต่อไปพิล อูล วิน (นอนที่นี่)
วันที่สอง - เที่ยวพิลอูลวิน บ่ายๆ เดินทางกลับมัณฑะเลย์ ไปชมวิวยามเย็นที่ สะพานไม้อูเบ็ง (นอนมัณฑะเลย์)
วันที่สาม - ตื่นไปชมพิธิล้างหน้าพระมหามัยมุนี และเที่ยวในเมืองมัณฑะเลย์ ก่อนเดินทางกลับ

ออกเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทริปทั้งหมด 3 ท่าน เป็นทริปสั้นๆ สบายๆ ครับ ว่าแล้ว...อย่าเสียเวลาออกไปนั่งรถม้าลุยเที่ยวกันต่อดีกว่าครับ...!!

เมือง พิน อูล วิน (Pyin Oo Lwin) เป็นเมืองตากอากาศที่มีบรรยากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี อยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ ประมาณ 60 กิโลเมตร ที่นี่เราจะพบเห็นอาคารบ้านเรือนภายในเมืองมีความโดดเด่นตามแบบเมืองอาณานิคมของอังกฤษ และระดับความสูงของที่ตั้งเมืองที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1000 กว่าเมตร ช่วยทำให้เมืองมีสภาพอากาศของเมืองเหมาะแก่ การปลูกดอกไม้เมืองหนาวเป็นอย่างมาก เดินเที่ยวเล่นในเมืองนี้ เหมือนมาเที่ยวยุโรปเลยก็ว่าได้

สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ

CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker


หลังจากตื่นเช้า เข้าสู่วันที่ 2 ของการเดินทาง ก็รีบอาบน้ำในบรรยากาศหนาวเย็น และลงมารับประทานอาหารเช้า โดยที่ทาง โรงแรม Grace II ที่เราพัก มีอาหารเช้าบริการ ด้วยนะครับ เป็น ออมเลต ขนมปัง กล้วย ง่ายๆ ทานตอนเช้าครับ และ โปรแกรมของเช้านี้ เราจะออกไปเที่ยว สวนพฤกษศาสตร์กันดอว์จี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองพิน อูล วิน ประมาณ 4 Km. โดยจะขอใช้บริการรถม้าซินเดอเรลล่า ในการเดินทางไปครับ ราคาค่าบริการรถม้าชมเมือง ชม.ละ 100 บาท ต่อคนครับ หรือ ถ้าอยากประหยัดกว่านี้ จะขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างมา (60 บาท) หรือ จะเช่าจักรยานปั่นมาชิลล์ๆ ก็ได้ครับ อากาศดีๆ แต่เราอยากลองขึ้นรถม้าครับ ก็เลยต้องจัดสักหน่อย.. รถม้าจะค่อยๆ วิ่งไปอย่างช้าๆ ครับ นั่งชิลล์ๆ ชมเมืองไปเรื่อยๆ ครับ

แผนที่ เมือง "พิน อูล วิน" แบบคร่าวๆ ครับ

นั่งรถมามาแบบช้าๆ ชิลล์ๆ ประมาณ 30 นาที ก็ถึง สวนพฤกษศาสตร์กันดอว์จี แล้วครับ ซึ่ง ภายในสวนพฤกษศาสตร์นั้นมีการปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองหลากหลายสายพันธุ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและต้นไม้ อย่างดีเลยครับ ในบรรยากาศหนาวๆ แบบนี้

ราคาเข้าชมสวน
ผู้ใหญ่ - 5 USD
เด็ก - 3 USD

เดินเข้าไปภายในบริเวณสวน ที่มีอาณาบริเวณที่ถือว่ากว้างพอสมควรเลยครับ จะเห็นตึกสำนักงาน รูปทรงยุโรป

เดินเข้ามาประมาณ 400 เมตร จะเห็นสระน้ำครับ มีสะพานทอดผ่านตรงกลาง ต้องเดินเท้าเข้ามาอย่างเดียวครับ เอารถเข้ามาไม่ได้

นักท่องเที่ยวจะมากระจุกอยู่โซนนี้เยอะครับ เพราะ เป็นโซนไม้ดอก เหมาะแก่การถ่ายภาพ อากาศดีมากครับ เช้าๆ สดชื่น เย็นสบาย..

บรรยากาศโดยรอบของ "สวนพฤกษศาสตร์กันดอว์จี"

มุมมหาชน...ใครๆ มาก็ต้องมาถ่ายกับป้ายนี้

ถ้า..มีเวลา แนะนำให้อยู่ที่นี่ สัก 3-4 ชั่วโมงได้เลยนะครับ อากาศดี สงบ และสดชื่นมากๆ อีกอย่างจะได้คุ้มค่าตั๋วด้วยครับ

ทางเดินภายในสวน วันนี้ไม่ค่อยมีคน ไม่วุ่นวายดีครับ..

บรรดาพืชหลากหลายสายพันธุ์ภายในสวน มีคนงาน และเจ้าหน้าที่ คอยดูแลต้นไม้ตลอด เยี่ยมมากครับ !!

เราใช้เวลาอยู่ที่ สวน ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็นั่งรถม้าคันเดิมกลับมาที่ตัวเมืองครับ โดยใช้เวลาในการเหมา รถม้าทั้งหมด ก็ 2 ชั่วโมงพอดี ก็ได้เวลาเกือบๆ เที่ยงพอดี เราก็เลยเดิน มาที่ ร้าน PENSI ร้านเดิมที่เรามาทานกันเมื่อคืน คนก็ยังมาใช้บริการกันเยอะเหมือนเดิมครับ ส่วนใหญ่มาจิบน้ำชา ชาร้อน ทานโรตี ครับ อากาศหนาวๆ นั่งจิบชาร้อน นี่เยี่ยมเลยครับ ราคาอาหารถูกมากครับ..น่าสนใจ มีหลากหลาย บางเมนูยังต้องสั่งมาลองชิมดูครับ ที่สำคัญ ร้านนี้มี Free Wi-Fi ครับ.. !!

คนที่นี่ นิยมนั่งนอกร้านอาบแดดอุ่นๆ คลายหนาวครับ..

เมนูนี้น่าจะอิ่ม และอยู่ท้องสำหรับเราสุดแล้วครับ.. "ข้าวผัด" เสริฟพร้อม น้ำซุป มาเป็นเซต เซตนี้ 1500 จ๊าด ครับ (45 บาท) ตอนแรกนึกว่าจะมันๆ เลี่ยนๆ แต่รสโอเคเลยครับ อร่อยใช้ได้

ทานอาหารเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลา อำลาเมือง "พิน อูล วิน" จัดการเชคเอาท์ เรียบร้อย เพื่อเดินทางต่อ เราจะไปกลับไปกันที่ "มัณฑะเลย์" ซึ่งโปรแกรมต่อไปเราจะไปเที่ยว "สะพานไม้อูเบ็ง" ยามเย็นกันครับ หลังจากตอนแรกเราจะนั่งลองนั่งรถโดยสารกลับไป แต่พอคิดๆ ไปแล้วพอเราเข้าเมือง เราก็ต้องหารถ ไปที่สะพานไม้อูเบ็งต่ออีก ดูจะหลายต่อเกินไป ก็เลยลองติดต่อแท็กซี่ดู แท็กซี่ก็คิดราคา 10 USD ต่อคน

ก็ประมาณ 300 บาท ต่อคน โดยที่จะไปส่งที่ สะพานไม้อูเบ็งเลย แล้วรอเรารับกลับเข้าเมืองด้วย ก็คิดว่าคุ้มค่า และไม่เสียเวลาด้วยครับ รู้สึกว่าการเดินทางที่ถือว่าสะดวกสุดในทริปนี้ คงเป็นการใช้บริการ "แท็กซี่" นี่แหละครับ ถ้าไม่ติดข้อจำกัดด้านเวลา โอกาสหน้าคงได้มาลองระบบขนส่งมาลชนที่นี่กันบ้าง

เวลาบ่ายโมง ได้เวลาออกเดินทางจาก "พิล อูล วิน" ลงเขา กลับสู่มัณฑะเลย์ น่าจะใช้เวลาเดินทางอีก 2 ชม. รถแท็กซี่ก็ยังคงเปิดกระจก และเราก็ยังกินฝุ่นกันเหมือนเดิมครับ มาได้สักพัก ก็ขอพักรถ และ เข้าห้องน้ำ(ข้างทาง) ก่อนครับ...

หยุดพักชมวิว..อากาศเย็นๆ แต่แดดแรงสุดๆ..

ประมาณ บ่ายสามโมงกว่าๆ เราก็มาถึงแล้วครับ "สะพานไม้อูเบ็ง" แต่ยังไปเดินเล่นไม่ไหว แดดยังร้อนอยู่ครับ - - "

"สะพานไม้อูเบ็ง" คนเยอะ มากๆ แดดยังร้อนๆ อยู่เลย เดินเล่นดูร้านค้าแถวนี้ไปพลางๆ


แถวนี้..ร้านอาหาร มีให้บริการเยอะมากครับ.. เห็น ปูพม่า ตัวโตๆ เลยลองสั่งมากิน ปูทอด ตัวใหญ่มากๆ


พอแดดร่มลมตก ก็มาเดินเล่นบนสะพานครับ นักท่องเที่ยวเยอะมากครับ รวมทั้งพี่น้องพม่าก็มาเที่ยวกันเยอะ สะพานไม้อูเบ็ง นั้นถือได้ว่าเป็นสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระแห่งนี้ โดยสะพานจะทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ซึ่งพอได้มองจากตรงนี้ก็ไกลลิบครับ เดินไปสุดสะพานคงได้เป็นลม 55+

จะมีสัญลักษณ์ติดอยู่ในแต่ละเสาของสะพานไม้

บรรยากาศสะพานไม้ ที่คนเดินสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่การจราจรจะแอดอัดบริเวณหัวสะพานครับ..

บรรยากาศของ "สะพานไม้อูเบ็ง" หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมาเยือนให้ได้ เมื่อมาเที่ยว "มัณฑะเลย์"

หลังจากได้เวลาอันพอสมควรแล้ว แท็กซี่ก็กลับมาส่งเราในเมืองมัณฑะเลย์ครับ ในเมืองรถราเยอะ ค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร เราเดินหาที่พักย่าน ตะวันตกเฉียงใต้ ของพระราชวังมัณฑะเลย์ แถบนี้ที่พักเยอะครับ

แล้วโปรแกรมต่อไปของเราเย็นนี้ก็ คือ จะไป "กินเป็ด" ครับ ที่ร้าน "โกลเด้น ดั๊ก" ร้านจะตั้งอยู่ติดถนนใกล้พระราชวังครับ ช่วงตะวันตกเฉียงเหนือ ของพระราชวังมัณฑะเลย์ หน้าร้านมี "เป็ด" ตัวนี้อยู่ เห็นแล้ว ก็เข้าไปในร้านได้เลย.. คนเยอะมากครับ อาจจะต้องรอคิวกันสักหน่อย..

มาร้านเป็ด..ก็ต้องสั่งเป็ด กินสิครับ..

รอคิวประมาณ 10 นาทีครับ ก็ได้ไปนั่งโต๊ะอาหารแล้วครับ บรรยากาศบนดาดฟ้า รับลมเย็นๆ อาหารราคาไม่แพงครับ เป็ดทั้งตัวจานนี้ก็ 300 บาท ทานพร้อมกับเบียร์ละ แจ่มเลยทีนี้..!!

ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ก็เดินเล่นกลับโรงแรมครับ อาหารก็แทบจะย่อยพอดี เดินผ่านร้าน ชา กาแฟ โรตี น่าสนใจครับ ลองหาอะไรอุ่นๆ ทานก่อนนอนสักหน่อย..

นมอุ่นๆ โรตี น้ำแกง ขนมหวาน ชุดนี้หมดไป 30 บาท

คืนนี้เรานอนกันที่ Bonanza Hotel Mandalay ครับ ราคาค่าห้องต่อคืน 40 USD มีอ่างอาบน้ำ น้ำอุ่น ทีวี แอร์ ตู้เย็น และ Wifi ครบครับ คืนนี้ต้องรีบเข้านอนหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่น ตี 3 กว่าๆ เพื่อที่จะเตรียมตัวไปดูพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีครับ เราติดต่อรถแท็กซี่จากทางโรงแรมให้มารับ คิดราคาไปกลับ จากโรงแรม คนละ 120 บาท

นอนไปได้แป้บเดียว ก็ต้องตื่นแล้วครับ รถมารอตรงเวลาตีสี่ตามที่นัด ออกเดินทางไป วัดมหามัยมุนี ใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ บรรยากาศคึกคึกมาก ชาวบ้านมากันหนาตาด้วยแรงศรัทธา เรามาถึงไวพอสมควรครับ ก็เลยได้แทรกตัวมารอโซนหน้าๆ ได้ครับ รอเปิดประตูเพื่อชมการทำพิธี

คนเยอะมากๆ ทั้งนักท่องเที่ยว และชาวพม่าเอง ผู้ชายจะได้อยู่ใกล้องค์พระครับ ส่วนผู้หญิงจะอยู่ได้แค่เขตโซนที่กำหนดไว้เท่านั้น

พอถึงเวลาประมาณ ตีสี่ครึ่ง ก็ได้เวลาเปิดประตู ทำพิธีครับ ซึ่งชาวพม่ามีความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ ตีสี่ครึ่ง พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธา จะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดี พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริง ๆ

ลักษณะของพระมหามัยมุนีหล่อด้วยทองสำริด แสดงกิริยาประทับนั่ง ปางมารวิชัยแบบพม่า พระหัตถ์ขวาเหยียดชี้ตรงลงที่พระธรณี ขนาดขององค์พระสูงประมาณ 3 เมตร สวยงามมากครับ..

ถ้าสังเกตจะเห็นว่า องค์พระมหามัยมุนี มีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันหลายชั้น ตลอดระยะเวลานาน ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกชื่อหนึ่งว่า "พระเนื้อนิ่ม"

ภาพเปรียบเทียบ องค์พระมหามัยมุนี เมื่อก่อนครับ.. ซึ่งปัจจุบัน มีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์

พระสวด ในขณะที่กำลังทำพิธี

..ศรัทธาอย่างแรงกล้า..

วัยรุ่นพม่า..นิยมเข้าวัดทำบุญ..

พิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี จะเสร็จสิ้นประมาณ 6 โมงเช้าพอดี เราก็เดินทางกลับโรงแรม โดยแท็กซี่คันเดิมที่เราเหมามา รถกลับมาส่งเราที่โรงแรม บรรยากาศหน้าโรงแรมคึกคักไปด้วยผู้คน เขาตื่นเช้ากันจริงๆ..

...บรรยากาศยามเช้าบริเวณหน้า โรงแรม Bonanza ที่เราพัก...

ได้เวลาอาหารเช้าที่โรงแรมพอดีครับ ก็เป็นอาหารเช้าง่ายๆ ธรรมดาทั่วไปครับ ออมเลต ขนมปัง แยม ชา กาแฟ ตบท้ายด้วยกล้วยหอม อิ่มแล้วเราก็คงต้องขอตัวขึ้นไปงีบสักแป้บครับ เพราะว่านอนน้อยง่วงกันมาก ปกติเราตั้งใจว่าจะเดินทางกลับเลยเพราะ เนื่องจากอยากใช้บริการรถรับ-ส่งฟรี ของแอร์เอเชีย แต่พอดูตารางเวลาแล้ว ออก 9.00 เราคิดว่ายังเร็วไป (ยังไม่อยากกลับ 55) เที่ยวบินก็ตั้งบ่ายโมง เวลายังเหลือ เลยยอมไม่ไปรถฟรี ไปสนามบินครับ

ถ้าต้องการขึ้นรถฟรีกลับสนามบินสามารถไปขึ้น เที่ยวขากลับได้
จากเมืองมัณฑะเลย์ (ถนน 79 ข้างพระราชวังมัณฑะเลย์ ระหว่างถนน 26 และ 27) ► สนามบินมัณฑะเลย์
มี 2 เที่ยว คือ 09:00 น. และ 09:15 น.

งีบไปได้สักพัก.. ก็ตื่นอาบน้ำ เตรียมเช็คเอาท์ออกเที่ยวก่อนที่จะกลับไปสนามบินต่อครับ รถแท็กซี่ไปส่งสนามบินคิดค่าส่งอยู่คนที่ 5 USD ต่อคนครับ ก็เลยติดต่อให้แวะพาเที่ยวก่อนไปส่งสนามบิน ก็ตีราคามาที่ คนละ 8 USD โดยเราดูจากเวลาอาจจะไม่พอไปในหลายๆ ที่ ก็เลยตัดพระราชวังไป เพราะมันกว้างคงต้องใช้เวลาเดินพอสมควร จึงเลือกไป วัดชเวนันดอว์ แทนครับ

รถมารับเราที่ โรงแรม และพามาที่วัด มีค่าเข้าชม 10000 จ๊าด หรือ 300 บาท ตั๋วเข้าชมสามารถใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวในมัณฑะเลย์ได้ทุกที่ ถ้ามีเวลาเที่ยวเยอะๆ ซื้อทีเดียวคุ้มมากๆ ครับ.. แต่น่าเสียดาย เรามีเวลาไม่พอเก็บหมดทุกที่ครับ..

"วัดชเวนันดอร์" เป็นวัดดที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง มีการแกะสลักลวดลายได้อย่างวิจิตรงดงาม ทั้งหลังคา ผนัง บานประตู และหน้าต่าง เป็นรายละเอียดที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ แสดงถึงความงดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ ๆ สวยงามมากๆ เลยครับ วัดนี้..

ใกล้ๆ กับ วัดชเวนันดอว์นั้น ยังมี "วัดอตุมาชิ" เป็นวัดที่สร้างโดยพระเจ้ามินดง เพื่อเป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎก ลักษณะเป็นอาคารไม้ตกแต่งด้วยปูนปั้นมีระเบียงรอบถึง 5 ชั้น นอกจากนี้ ยังสร้างวิหารนี้ด้วยโครงไม้ เอาอิฐพอกถือปูนปั้น จำหลักลวดลายปิดทองล่องชาดประดับกระจกอย่างประณีต รูปลักษณ์คล้ายมีศิลปะยุโรปมาผสม ทำให้แตกต่างจากวิหารอื่นๆในมัณฑะเลย์

คำว่า “อตุมาชิ" นั้นแปลว่า งดงามอย่างไม่มีที่ติ ซึ่งในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2433 วัดนี้จึงถูกไฟไหม้ อาคารวัดที่เห็นในปัจจุบัน คือ การสร้างจำลองขึ้นมาใหม่หลังปี พ.ศ. 2538

หลังจากได้เวลาอันพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับกันครับ โดยแท็กพี่ก้ได้พาเราไปส่งที่สนามบิน โดยใช้เวลาออกจากเมืองมัณฑะเลย์ ไปสนามบินประมาณ 45 นาที มาถึงสนามบินก็จวนเวลาพอดีครับ จัดการเช็คอิน ผ่าน ตม. เดินไป Gate ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับ กทม. พอดี

ทริปนี้.. ก็เป็นทริปสั้นๆ ที่สนุกมากครับ ผมก็ขอจบทริป "มัณฑะเลย์-พิน อูล วิน" ไว้เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาชมนะครับ ^^


การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

FanPage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

ความคิดเห็น