แพลนเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะรอดไหมเพราะความเป็นคนขี้หลงเอามากๆ ขนาดทางกลับบ้านยังหลง(ฮ่าๆๆ) แต่ถ้ามัวแต่กลัวก็ไม่ได้ไป ถามว่ากลัวไหมตอบเลยว่ากลัวแต่ที่กลัวกว่าคือกลัวไม่ได้เที่ยว ถึงแม้จะไม่ใช่การเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกแต่ก็ไม่เคยไปญี่ปุ่นคนเดียวเหมือนกัน แพลนเที่ยวทริปนี้ก็จะประมาณนี้

Day 1:  กรุงเทพฯ - โอซาก้า

Day 2: โอซาก้า - นาโกย่า - มัตสึโมโต้

Day 3: ฮาคุบะ

Day 4: คามิโคจิ - ทาคายาม่า

Day 5: ชิราคาวาโกะ

Day 6: ทาคายาม่า - โอซาก้า

Day 7: อะราชิยาม่า- โอซาก้า

Day 8: โอซาก้า - กรุงเทพฯ

เที่ยวชุบุครั้งแรกแต่ขอบินไปลงที่คุ้นเคยก่อนนั่นก็คือโอซาก้านั่นเอง ออกเดินทางตอนเที่ยงคืนกว่าถึงโอซาก้าประมาณ 7 โมงเช้า กว่าจะผ่าน ตม.และศุลกากรก็ปาไปเกือบ 8 โมง ไปกดตั๋วรถไฟจากตู้ พอไปสอดเข้าเครื่องตรงทางเข้ารถไฟ เครื่องไม่เปิดฮะแถมมีเสียงร้องเตือนอีกต่างหาก เราก็หยิบขึ้นมาดู "ก็ถูกนี่ลง shin-osaka" เสียบตั๋วเข้าไปอีก อาการเดิมจ๊ะ เอาไงดี กำลังจะลองเสียบตั๋วอีกรอบลุงที่ขายของบริเวณนั้นก็เดินออกมาหาและขอดูตั๋ว เขาบอกว่าตั๋วผิด (ห๊ะ! ผิด) ลุงผายมือไปทางช่องขายตั๋วที่มีเจ้าหน้าที่ เราก็เลยต้องเดินลากกระเป๋าไปต่อคิวรอติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อออกตั๋วใหม่ พอไปถึงสถานี shin-osaka แล้วก็ต้องไปซื้อชินคันเซนไปนาโกย่าต้องใช้ขบวน Nozomi นะจ๊ะ อันนี้เร็วสุดใช้เวลาแค่ 50 นาที ก็ถึงนาโกย่าแล้ว สายอื่นเกือบ 2 ชั่วโมงนะจ๊ะ จากนั้นก็ต่อรถไฟไปมัตสึโมโต้ วันนี้เป็นวันที่เดินทางอันยาวนาน แต่เส้นทางสายนี้สวยมากนั่งประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว พอถึงก็เข้าห้องพักแล้วลุยเที่ยวปราสาทมัตสึโมโต้หรือปราสาทอีกาดำกันต่อเลยจ๊ะ

  พอจะออกจากปราสาทแบต wifi หมดจ๊ะกลับไม่ถูกจ๊ะแม่ เดินมั่วไปเรื่อยถามคนแถวนั้นเขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกัน เขายิ้มแบบน่ารักๆ ให้อย่างเดียว แทบจะร้องให้ให้กับความกลัวแต่ก็ต้องตั้งสติหาทางกลับให้ได้สุดท้ายเดินมั่วไปเรื่อยจนเห็นป้ายบอกทางไปสถานีรถไฟ ยิ้มออกได้เพราะที่พักเราอยู่ติดสถานีรถไฟเลย คราวนี้ง่ายล่ะเดินตามลูกศรอย่างเดียวถึงแน่นอน พอเห็นโรงแรมก็สบายใจล่ะไปเดินช้อปหาของกินอร่อยๆ ได้องุ่นมาพวงหนึ่งอร่อยมากแถมได้ถูกอีกราคาเพียง 300 บาท ถ้าพวงนี้มาอยู่ที่ไทยราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทแน่นอนจ๊ะ

เช้าวันถัดมาก็มุ่งหน้าไปเดินเขาที่ฮาคุบะ นั่งรถไฟจากสถานีมัตสึโมโต้ไปลงสถานีชินาโน่-โอมาชิ(สถานีนี้เป็นสถานีเริ่มต้นในการต่อรถไปดูกำแพงหิมะค่ะ) เราข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้ามแล้วต่อรถไฟไปฮาคุบะอีกที ไปถึงก็ต้องไปซื้อตั๋วสำหรับนั่ง Gondola และ Quad lift ขึ้นไปบนเขาราคา 2,900 เยน แล้วค่อยเดินต่ออีก 1.5 กิโล แต่ความหวังที่จะเห็นเทือกเขาเอลป์สะท้อนเงาลงมาบนผืนน้ำของบึงฮัปโป้ที่อยู่บนความสูง 2,000 กว่าเมตรเป็นดับวูบเมื่อขึ้นไปแล้วหมอกหนามากจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร ต้องทำใจยอมรับความผิดหวัง การท่องเที่ยวก็ยังงี้แหละ นอกจากอาศัยเงินแล้วยังต้องอาศัยดวงอีกต่างหาก

วันถัดมาเป็นวันที่ต้องตื่นเช้าสุดๆ เพื่อที่จะไปให้ทันบัสรอบตี 5 ครึ่ง เพื่อไปคามิโคจิ ตอนแรกว่าจะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วค่อยกลับมาเอาตอนที่จะไปทาคายาม่า แต่พอไปซื้อตั๋วแล้วแจ้งที่ที่จะไปกับเจ้าหน้าที่เขาก็ถามว่า"มีความจำเป็นที่จะต้องกลับมามัตสึโมโต้อีกไหม" เราก็ตอบว่า "ไม่" งั้นเอาตั๋วแบบ 5,000 เยนไปถูกกว่ากันเยอะตั๋วนี้เราไม่ต้องกลับมาที่นี่แต่สามารถนั่งรถจากคามิโคจิไปทาคายาม่าได้เลยประหยัดไป 2,000 กว่าเยน สรุปเราเลือกตั๋วแบบนั้นแต่ต้องกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรมก่อนแล้วกลับมามานั่งรถฝ่าความมืดไปคามิโคจิ 

มาถึงคามิโคจิตอนเกือบ 7 โมงเช้า เดินไปฝากกระเป๋า ค่าฝาก 500 เยน แล้วก็ไปซื้อร่มเพราะฝนตก(ดวงในการเที่ยวครั้งนี้ไม่มีอะไรเป็นใจเลยทั้งหมอกทั้งฝน) หลายคนที่ไปถึงเลือกที่จะนั่งรอให้ฝนหยุดตกเพราะอากาศหนาวมาก วั้นนั้นแค่ 1 องศาเท่านั้นแถมทั้งลมทั้ฝนอีกต่างหาก แต่เราเลือกที่จะเดินเลยเพราะเงยหน้าดูท้องฟ้าแล้วคงยากที่ฝนจะหยุด เมื่อไม่มีใครเดินป่าทั้งป่ามีเราคนเดียวที่เดินเที่ยวชมความงามของสายน้ำสีฟ้าอมเขียวไสแจ๋ว ตลอดแนวทางเดินก็มีป่าสนที่กำลังผลัดสีเป็นสีเหลืองทองที่ทอดยาวตามแนวของสายน้ำ ข้างหน้าเป็นแนวเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมทอดเป็นแนวยาว ที่นี่สวยมากยิ่งป่าไม้ทั้งแนวแม่น้ำเป็นของเราแบบนี้ยิ่งสวยขึ้นไปอีก มันเหมือนเราซื้อทริปส่วนตัวจ้างคนทั้งหมดทั้งมวลออกจากป่าเพื่อเที่ยวคนเดียวเลย(ฟังดูรวย ฮ่าๆๆๆ) การถ่ายรูปวันนี้ค่อนข้างยากเพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจมัวๆ ซึมๆ ทึมๆ เพราะฝนตกหนักแถมลมแรงเป็นช่วงๆ เล่นเอาก้านร่มเราหักไปเลย ขอบอกว่ามันหนาวจนนิ้วเท้าชาจนหยิกก็ไม่รู้สึก ภาพที่ได้วันนี้ต้องเร่ง ISO สูงมากถึงจะได้ภาพมา ภาพมันจึงทั้งแตกและนอยส์เต็มไปหมด

  ออกจากคามิโคจิก็ต่อรถบัสเข้าทาคายาม่าโดยใช้ตั๋วใบเดิม พอไปถึงท่ารถบัสก็รีบไปต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วไปชิราคาวาโกะในวันถัดไปแต่คำตอบที่ได้คือตั๋วเต็มทุกรอบ เอาล่ะสิงานเข้าอีกแล้ว ระหว่างที่เดินออกจากสถานีรถบัสก็คิดตลอดว่าจะทำยังไงเพราะการที่เรามาพักที่นี่ก็เพื่อไปชิราคาวาโกะเลย ตอนเช็คอินก็ถามเจ้าหน้าที่โรงแรมเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เดินคอตกลากกระเป๋าเข้าห้องลองค้นหาทัวร์จากกูเกิ้ลดูปรากฎว่าเจอของ klook ความหวังมาวาบเข้ามา พอเข้าไปจองปุั๊ปก็แจ้งปั๊ปว่าเต็ม ตัดสินใจออกจากโรงแรมเดินหาทัวร์ท้องถิ่นฮะคิดว่ามันต้องมีทัวร์ไปที่นั่นแน่นอนเพราะมันเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เดินมั่วไปเรื่อยหน้าก็แหงนมองป้ายเผื่อจะมีที่ไหนที่เขียนว่า tour บ้าง เดินซักพักเจอค่ะคุณ เห็นป้ายเขียนว่า J-hopper tour เดินดิ่งเข้าไปถามและโชคข้าก็มาแล้วเขาบอกมีทัวร์ไปชิราคาวาโกะและว่างด้วยจ้า จัดการจอง และก็เริ่มมีอารมณ์เดินเที่ยวทาคายาม่าต่อแล้ว ที่แรกที่ไปคือวัดฮิดะ โคคุบุนจิ เป็นวัดที่มีต้นเปะก๋วยต้นใหญ่อายุกว่า 2,000 ปี

 แล้วไปต่อที่ถนนคนเดินย่านเมืองเก่าของทาคายาม่า ที่นี่คือสวรรค์ของคนที่ชอบกินเนื้อเลยล่ะ ตามร้านอาหารและถนนคนเดินก็แต่คนไปเข้าคิวรอซื้อเนื้อฮิดะย่างมากิน เราเห็นหน้าแต่ละคนที่กินนี่ฟินเชียว แต่ดิฉันขอบายเพราะไม่กินเนื้อจ้า 

เช้าวันถัดมาก็ไปขึ้นบัสตามสถานที่ที่ทัวร์นัดเพื่อไปชิราคาวาโกะ ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่สวยงามมาก ลองนึกภาพว่าหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาที่กำลังเปลี่ยนสี หมอกจางๆ ยามเช้าลอยเคลียคลออยู่บนยอดไม้เหนือบ้านหลังน้อย ทางเข้าเป็นแม่น้ำสีเขียวมรกตใสแจ๋วไหลผ่าน โอยย..แม่มันสวยงามจริงๆ และไปตอนเช้าๆ นี้แทบไม่มีคนเลยโดยเฉพาะตรงจุดชมวิวจะถ่ายรูปยังไงนานแค่ไหนก็ได้ไม่มีใครมาแย่งเลย

และก็ถึงวันที่จะต้องลาภูมิภาคชุบุกลับสู่ภูมิภาคคันไซแล้ว เรามาขึ้นรถบัสจากทาคายาม่าไปโอซาก้าค่ารถอยู่ที่ 5,000 เยน ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ JR Namba ก็เดินออกมาจากสถานีแล้วลงไปเดินตรง Namba Walk ขึ้น exit 14 ก็เป็นชินไซบาชิย่านช้อปปิ้งหลักของโอซาก้าเลย เราเลือกพักโรงแรมที่อยู่ตรงนี้เพราะจะได้ช้อปกระจาย ณ ที่แห่งนี้

เช้าวันต่อมาก็ไปอะราชิยาม่า ที่แห่งนี้มา 3 รอบแล้วแต่ก็ยังไม่เบื่อมันประทับใจทุกอย่างทั้งบ้านเรือน สายน้ำ และขุนเขา ธรรมชาติที่นี่มันลงตัวมาก

Titi goaround

 วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 16.39 น.

ความคิดเห็น