มิงกะลาบา วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของเรากัยครับ กับ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือประเทศพม่านั่นเอง โดยจุดหมายหลักๆของเราในทริปนี้คือ เมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศพม่า และเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของพม่าในปัจจุบัน และ เมืองพุกาม ดินแดนแห่งทะเลเจดีย์ อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรพุกามอันยิ่งใหญ่ในอดีต พร้อมกันแล้วก้อตามผมไปเที่ยวกันเลยครับ (มิงกะลาบาเป็นคำสวัสดีของพม่าครับ)

ประเทศพม่าเค้าใช้เงินตราสกุล “จัต” กัน โดย 1จัตเท่ากับ 0.02บาทโดยประมาณ แต่ว่าการจะแลกเงินจัตไปเนี่ย มันหาแลกลำบาก เค้าเลยนิยมแลกเป็น US Dollar ไป แล้วไปแลกที่โน่นเอา โดยแบ๊งค์ US Dollar ห้ามมีรอยยับ ห้ามมีการขีดเขียดใดๆลงไปเด็ดขาด ไม่งั้นเค้าจะไม่รับแลกเอาครับ

ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบิน Air Asia โดยถ้าดูจาก Google Map เมืองมัณฑะเลย์ห่างจากกรุงเทพอยู่ประมาณ 1,300 กิโล บินกันประมาณเที่ยว แต่ดันแจ๊คพอต เครื่อง Dlay ไป 2ชั่วโมงกว่าๆ นั่งบนเครื่องแล้วเครื่องมีปัญหา ถูกสั่งให้เปลี่ยนเครื่องก่อนบิน โอยยยยย โปรแกรมวันนี้จะได้เที่ยวไหมนะ

ด้วยความกลัวว่าวันแรกจะไม่ได้ถ่ายรูป ผมเลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวิวจากหน้าต่างเครื่องบินเล่นไปพลางๆ ได้ภาพถูกใจมาพอสมควรกับโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาครับ

สักพักไม่แน่ใจว่าอยู่ในพม่าแล้วหรือยัง เหมือนเป็นทุ่งนาขนาดใหญ่ สวยมากๆเลยครับ

หลังจากลงเครื่องที่สนามบินแล้ว เรารีบเดินทางกันต่อเลย เนื่องจากเสียเวลาไปมากแล้ว เดี๋ยววันแรกจะอดเที่ยวซะ โดยโปรแกรมวันนี้เราไปอยู่บริเวณหน้าพระราชวังมัณฑะเลย์กันครับ เพื่อที่จะไปชมวิว Mandalay Hill กัน โดย Mandalay Hill ตั้งอยู่กลางเมืองมัณฑะเลย์ มีความสูง 236 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีปูชนียสถานสำคัญๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ด้านบนมีวัดตั้งอยู่ด้วย ในยามค่ำคืนทางวัดก้อจะเปิดไฟประดับสวยงาม เป็นวิวที่ไม่ควรพลาดของเมืองมัณฑะเลย์

ไหนๆก้อมาถึงพระราชวังมัณฑะเลย์ล่ะ ถึงจะไม่ได้เข้าไปชม แต่ขอถ่ายภาพกำแพงพระราชวังมาสักภาพ ในวันแรกนี้เรารีบไปทานข้าว และเข้าโรงแรม เพราะโปรแกรมในวันที่สองจะต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสามเลยทีเดียว

นอนไปได้แป๊ปเดียว เสียงนาฬิกาปลุกก้อดังตอนตีสาม ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเลยครับในการขุดตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง โดยในวันนี้เราจะไปร่วมร่วมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ซึ่งเป็นหนึ่งในห้ามหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆของพม่า

พระมหามัยมุนี หรือ มะฮาเมียะมุนิ (พม่า: မဟာမြတ်မုနိ ရုပ်ရှင်တော်မြတ်ကြီး) เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่า และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" (The Great Sage) เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์หนัก 6.5 ตัน มีการสร้างบนฐานสูง 1.84 เมตร (6.0 ฟุต) รวมองค์พระมีความสูงทั้งหมดกว่า 3.82 เมตร (12.5 ฟุต) ไหล่กว้าง 1.84 เมตร (6.0 ฟุต) และรอบเอวกว้าง 2.9 เมตร (9.5 ฟุต)

ก่อนสร้างกษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้า เสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระพุทธศาสนาไปในภายภาคหน้า โดยในอดีตแม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ในปี พ.ศ. 2327 โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้มาประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา

เราสามารถดูพิธีกรรมได้จากหน้าประตูเท่านั้นครับ โดยจะมีรั้วกั้น ห้ามเข้าไปด้านใน ถ้าอยากถ่ายรูป หรือเห็นชัดๆ ต้องรีบไปแต่เช้า ถึงจะได้อยู่ด้านหน้ารั้ว ระหว่างที่รออยู่ผมลองหันหลังกลับไปดู โอ้โห คนเยอะแยะมากมายครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นไม่ใช่นักท่องเที่ยวนะครับ เป็นคนเมียนมาที่ศรัทธามาร่วมพิธี พิธีกรรมนี้มีทุกวัน แต่คนยังมากันเยอะขนาดนี้ คนที่นี่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากๆ เห็นแล้วขนลุกเลยครับ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าพิธีล้างพระพักตร์นี้ศักดิ์สิทธิ์เอามากๆ โดย 25% ของประชาชนของพม่าออกบวชเป็นพระสงฆ์กันครับ

ด้วยความเชื่อว่าพระพุทธมหามัยมุนีนี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต ด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร หรือบางตำนานก็กล่าวว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวายโดยทุกเช้าในเวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดี พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนที่ถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท แล้วนำกลับคืนแก่สาธุชนผู้นั้นไปบูชาต่อ พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดี เสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่

องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทัวทั้งองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไปจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานหลายศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า "พระเนื้อนิ่ม" แต่น่าแปลกที่ว่าแม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระพักตร์เลยแม้แต่น้อย

หลังจากร่วมพิธีได้สักพัก น่าเสียดายที่ผมต้องไปยังจุดหมายต่อไปล่ะ ได้ยินมาว่าผู้ที่เข้าร่วมพิธีสามารถเข้าไปต่อคิวรับน้ำที่ใช้ล้างพระพักตร์เพื่อกลับไปบูชาได้ ใครมีโอกาสไปก้อลองดูนะครับ

ตอนที่1 คงจบไว้ที่ตรงนี้ ติดตามกันต่อได้ในตอนที่2 นะครับ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.24 น.

ความคิดเห็น