จากความเดิมตอนที่แล้ว เราได้ตื่นกันตั้งแต่ตีสามเพื่อไปเข้าร่วมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี เราอยู่ร่วมพิธีกันจนถึงประมาณตี5 ก้อเริ่มเคลื่อนตัวกันไปต่อที่จุดหมายต่อไป สะพานอูเบ็ง (U-Bein Bridge, ဦးပိန် တံတား) เพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่นี่ครับ
โชคดีมาก ที่พวกเราทำเวลากันได้ดี พอมาถึงที่สะพานอูเบ็ง ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย รอสักพักก้อเริ่มเห็นแสงแรกของวันส่องสว่างเรื่อๆที่ขอบฟ้าไกลๆ เราจะเห็นเรือกอนโดล่าใน version ของพม่า ซึ่งเราสามารถนั่งล่องชมวิวในทะเลสาบตองตะมานได้ แนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยครับ แต่วันนี้เรายังไม่ลงเรือ ขอเดินชมบรรยากาศรอบๆก่อน
ระหว่างที่กำลังถ่ายรูปกันอยู่นั้น พวกเราเหลือบไปเห็นชาวประมงที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจประจำวันในการหาปลา พร้อมกับอาวุธคู่มือหือแหจับปลา หนึ่งในพวกเราไม่รอช้า เข้าไปขอติดต่อมาเป็นแบบถ่ายภาพทันที โดยสื่อภาษากันอย่างกระท่อนกระแท่นมาก โชคดีที่เรามไกด์ท้องถิ่นมาช่วยเป็นล่ามให้ จนในที่สุด เราก้อได้แบบมาถ่ายภาพวิถีชีวิตของชาวประมงแถวนั้นกันได้ คือการเหวี่ยงแหนั่นเอง
หลังจากพระอาทิตย์เริ่มพ้นขอบฟ้า เราก้อเดินชมบรรยากาศของสะพานอูเบ็ง สะพานที่ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลกกัน โดยตัวสะพานมีความยาวถึง 1,200 เมตรเลยทีเดียว บรรยากาศก้ออารมณ์คล้ายๆกับสะพานมอญที่อยู่ที่สังขละบุรีบ้านเรา แต่ว่าสะพานนั้นยาวกว่ากันมาก
เดินๆเล่นอยู่บนสะพาน เราจะเห็น Shwe Modeptaw Pagoda ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบตองตะมาน เรียกได้ว่าถ้าไปเที่ยวสะพานอูเบ็งแล้ว จะต้องเห็นวัดนี้แน่ๆ ตัวเจดีย์เป็นสีขาวบริสุทธิ์ และสะท้อนกับผืนทะเลสาบเป็นเงาสวยงามมากๆ
สะพานอูเบ็งเป็นสะพานไม้สักทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจาะตอจี้ ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ตั้งอยู่ที่อมรปุระ ก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์ มีความยาว 1.2 กิโลเมตร (0.75 ไมล์) สร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1850 และเป็นสะพานไม้สักที่เก่าแก่และยาวที่สุดในโลก
สะพานอูเบ็งสร้างจากไม้สักที่เหลือจากการรื้อพระราชวังเก่ากรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระ จำนวน 1,086 ต้น สำหรับชื่ออูเบ็งอันเป็นชื่อของสะพานนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า "อูเบียน" ซึ่งพระเจ้าปดุงโปรดเกล้าฯ ให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้าง สะพานอูเบ็งเป็นทางผ่านสำคัญสำหรับคนในท้องถิ่นและเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของพม่า โดยในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมจะเป็นช่วงที่น้ำในทะเลสาบมีระดับสูงสุด
หลังจากทานข้าวเช้ากันแล้ว พวกเราก้อเดินทางกันต่อไปยังเมืองพุกาม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองมัณฑะเลย์ออกไปประมาณ 180 กิโลเมตร ใช้เวลากันเกือบ 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว จะว่ากันไปแล้ว เมืองพุกามเนี่ย เป็นดินแดนในฝันของผมเลยทีเดียว หลังจากที่เห็นภาพทะเลเจดีย์อาบแสงของพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ก้อได้บอกกับตัวเองเอาไว้ว่า สักวันนึงจะต้องมาเยือนให้ได้
ก่อนที่จะเดินทางไปยังพุกามทริปนี้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ผมได้ข่าวว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ทางตอนกลางของพม่า สร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่พุกาม วัดเกือบ 400 แห่งได้รับความเสียหาย กรมโบราณคดีแห่งพุกามได้เริ่มต้นการสำรวจและบูรณะ โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญยูเนสโก เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ช่วงที่ได้ไปเที่ยว เห็นร่องรอยความเสียหาย ซากเจดีย์ที่ถล่มลงมา และการซ่อมแซมอยู่ทั่วไป
ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดชมทะเลเจดีย์ ชมพระอาทิตย์ตกดิน เราได้แวะเข้าห้องน้ำกันที่หน้า เจดีย์ชเวสันดอว์ (shwesandaw pagoda) ซึ่งที่นี่ก้อเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามอีกแห่งในเมืองพุกาม
และแล้ว เราก้อเดินทางมาถึง เจดีย์ Pyathatgyi ในช่วงบ่ายแก่ๆ โดยด้านบนของเจดีย์เป็นลานกว้างรอบเจดีย์ สามารถมองเห็นวิวของเมืองพุกามได้ทั้งสี่ด้าน ในช่วงราวๆ 5โมงเย็น ชาวบ้านจะต้อนวัดกลับเข้าคอก ประกอบกับถนนเป็นดินลูกรัง จะเห็นได้จากมีฝุ่นคลุ้งขึ้นมาตลบอบอวล ที่เห็นเหมือนหมอกในภาพไม่ใช่หมอกนะครับ แต่เป็นฝุ่นควันนี่เอง
เป็นที่โชคดีๆมาก ยามพระอาทิตย์อัสดงในวันนี้ แสงสีทองของพระอาทิตย์ได้ฉาบไปทั่วเจดีย์ต่างๆในทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม ก่อให้เกิดเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจมากๆ ผมนี่ถึงกับร้องตะโกน(ในใจ) YESSSSSSS!!!!!!!!!!!!! นี่แหละ ผมมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้เท่านั้น แค่นี้ก้อกลับบ้านได้อย่างมีความสุขแล้ว หลังจากที่ตะลึงงันไปพักใหญ่ๆ ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพอันสวยงามตรงหน้าไว้เป็นหลักฐานว่า ครั้งหนึ่ง ผมได้มายืนอยู่หน้าวิวอันสวยงามแห่งนี้จริงๆ
ณ ปัจจุบัน ผมได้ยินข่าวคราวแห่งเมืองพุกามว่า เจดีย์หลายๆแห่งห้ามเดินขึ้นไปแล้ว เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนขึ้นไปบนเจดีย์ แล้วเกิดอุบัติเหตุ และทำให้เกิดความเสียหายแก่โบราณสถาน ทางการพม่าจึงสั่งห้ามนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเจดีย์ นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถชมภาพอันสวยงามเหล่านี้ได้อีกแล้ว จากการสอบถามเพื่อนหลายๆคนที่ได้ไปเมืองพุกามก้อได้ความว่า เค้าไม่ได้ขึ้นมาชมวิวแบบนี้จริงๆ เพื่อนๆคนไหนมีข้อมูลรบกวนช่วยยืนยันให้ด้วยนะครับ
มาว่ากันถึงเมืองพุกามกันบ้าง ปัจจุบัน พุกาม(Bagan, ပုဂံ) เป็นเมืองโบราณที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลก ตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
พุกามเนี่ยมีประวัติศาสตร์ค่อนข้างจะยาวนานเป็นพันปีมาแล้ว เดิมพุกามเป็นเมืองเล็กๆ จนถึงยุคของพระเจ้าอโนรธา โดยมีพระนิกายเถรวาทองค์นึงมาเผยแพร่ธรรมให้แก่พระเจ้าอโนรธา ทำให้พระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้เดินทางเพื่อไปขอพระไตรปิฎกกับพระเจ้ามนูหะ ที่เมืองสะเทิม(มอญ) แต่พระเจ้ามนูหะไม่ให้แถมต่อว่ากลับมาด้วย ทำให้พระเจ้าอโนรธาโกรธ จึงตีเมืองสะเทิมแตกและได้นำพระไตรปิฎก รวมทั้ง พระ ช่างฝีมือดี และทาสอีกนับหมื่นกลับมาที่พุกาม ช่วงที่พระเจ้าอโนรธาครองราชย์นั้น (33 ปี) พระพุทธศาสนาได้เจริญขึ้นมา และได้มีการปลูกสร้างเจดีย์ขึ้นมากมาย
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 13 เมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรพุกาม อาณาจักรแห่งแรกของชาวพม่า ในช่วงรุ่งเรืองสูงสุดของอาณาจักรระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 13 มีวัด เจดีย์ และอาราม กว่า 10,000 แห่ง ถูกสร้างขึ้นบนที่ราบพุกามเพียงแห่งเดียว ซึ่งยังคงมีวัดและเจดีย์กว่า 2,200 แห่งที่ยังคงอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน
สงสัยกันไหม ว่าทำไมที่พุกามถึงมีเจดีย์เยอะขนาดนี้ ชาวพม่ามีความศรัทธาในพุทธศาสนากันอย่างแรงกล้า ในสมัยก่อนเชื่อว่าการสร้างเจดีย์จะได้บุญมาก บรรดาเศรษฐี ไปจนถึงคนธรรมดาเลยพยายามสร้างเจดีย์ ขนาดก้อแล้วแต่กำลังทรัพย์ จนกลายมาเป็นทะเลเจดีย์จนทุกวันนี้
เมื่อมาถึงยุคตกต่ำของพุกาม ตำนานเล่าว่า ในยุคของพระเจ้านรสีหปติ ทรงให้สร้างเจดีย์ชื่อมิงกาลาเจดีย์ และได้เกิดมีคำทำนายว่าถ้าเจดีย์แห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่จะถึงจุดจบของพุกาม และหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จได้ไม่นาน กองทัพมองโกลก็เข้ามารุกรานพุกาม จนนำไปสู่ความล่มสลายของอาณาจักรพุกามและกลายเป็นเมืองร้างในที่สุด!!
หลังจากหมดแสงอาทิตย์แล้ว ก้อขอตัวไปทานข้าวเย็น และพักผ่อนนอนหลับในโรงแรม เพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นกันตั้งแต่เช้าเหมือนเดิมครับ
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds
Voravud Santiraveewan
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.40 น.